เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 51 สองบุคลิก

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว!剑仙在此 ตอนที่ 51 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 51 สองบุคลิก

ดูเหมือนมู่ซินเยว่จะนึกถึงชื่อที่เป็นนามต้องห้ามขึ้นมาได้แล้ว

แน่นอนว่าวินาทีต่อมา มู่ซินเยว่ย่อมได้ยินเด็กสาวผิวขาวหัวเราะเยาะว่า “ข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ? เจ้าจงตั้งใจฟังให้ดี ชื่อของข้าคือหลิงเฉิน…ทีนี้เจ้ารู้แล้วหรือยังว่าข้าเป็นใคร?”

หลิงเฉิน เพศหญิง อัจฉริยะอันดับ 1 ประจำการสอบกลางภาค

นางคือผู้ชนะอันดับ 1 ที่สามารถกำราบทุกคนได้อย่างง่ายดาย

มู่ซินเยว่รู้สึกเคว้งคว้างในฉับพลัน ราวกับว่าอะไรบางอย่างในตัวนางได้สูญสลายไปแล้ว

“นางเนี่ยนะหลิงเฉิน?”

มู่ซินเยว่ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

ถึงมู่ซินเยว่จะไม่เคยพบเจอตัวจริงของอีกฝ่ายมาก่อน แต่นางก็ได้ยินชื่อเสียงของหลิงเฉินมาแล้วหลายสิบครั้ง

หลิงเฉินเป็นยอดอัจฉริยะประจำชั้นปีที่ 2 ของสถานศึกษากระบี่หลวง ในกลุ่มยอดอัจฉริยะประจำเมืองหยุนเมิ่ง นางเป็นรองเพียงหลินถิงชาน ซึ่งถือเป็นยอดไข่มุกงามประจำอาณาจักรคนเดียวเท่านั้น

แต่ที่สำคัญก็คือ หลิงเฉินยังมีอีกสถานะหนึ่ง

นางเป็นถึงบุตรสาวข้าหลวงใหญ่ประจำเมืองหยุนเมิ่ง เป็นผู้ที่มีชาติกำเนิดสูงส่งมาตั้งแต่เกิด

ไม่ว่าจะเป็นสถานะทางสังคมหรือความสามารถเฉพาะตัว มู่ซินเยว่ไม่มีทางนำตนเองไปเปรียบเทียบกับหลิงเฉินได้เลย

แต่หญิงงามยอดอัจฉริยะอย่างนี้ มาเป็นคนรักของหลินเป่ยเฉินได้อย่างไร?

พวกเขาไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน?

ทำไมหลินเป่ยเฉินจึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน?

“ขออภัย ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านคือพี่หลิง…”

มู่ซินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงยอมแพ้

นางจำเป็นต้องยอมแพ้

เด็กสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ ไม่ว่ามองจากมุมไหน ก็เป็นคนที่นางไม่สามารถแตะต้องได้ทั้งสิ้น

ตราบใดที่ตนเองยังไม่มีอำนาจ มู่ซินเยว่ไม่มีทางสร้างความบาดหมางกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างหลิงเฉินแน่นอน

“แค่ขอโทษมันไม่พอหรอกนะ”

หลิงเฉินยังคงกอดแขนหลินเป่ยเฉินแนบแน่น และออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “เจ้าต้องคุกเข่าขอโทษคนรักของข้าเดี๋ยวนี้”

“ว่าไงนะ? เจ้า…”

มู่ซินเยว่เงยหน้าอุทานอย่างไม่เชื่อหู

นางไม่คิดเลยว่าหลิงเฉินจะรังแกผู้คนถึงขนาดนี้

“เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” หลิงเฉินกล่าวต่อด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก “จงคุกเข่าขอโทษ ไม่อย่างนั้น ข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจ…ข้าสามารถรับประกันได้เลยว่า นับจากการแข่งขันครั้งนี้ไป เจ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในฝันร้ายตลอดกาลในเมืองหยุนเมิ่ง”

ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของหลิงเฉิน เนื่องจากทุกคนทราบดีว่านางสามารถทำให้เป็นจริงได้แน่นอน

มู่ซินเยว่ตื่นกลัวสุดขีด

นางหันไปมองหลี่เทาด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ

แต่เขาก็จ้องมองกลับมาด้วยความจนใจ

“ข้า…”

สุดท้าย มู่ซินเยว่ก็ตัดสินใจเด็ดขาด รีบคุกเข่าลงทันที

“เมื่อสักครู่นี้ข้าน้อยทำตัวไม่เหมาะสม ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง” พูดจบนางก็ก้มหน้าต่ำ

ความรู้สึกอับอายทำให้เด็กสาวร่างกายสั่นเทาไปเกือบทั้งตัว

“ข้าเคยเจอเด็กสาวทำตัวอวดดีแบบเจ้ามาแล้วนับไม่ถ้วน…เอาเป็นว่า ข้ามีคำแนะนำจะมอบให้เจ้าอยู่สองอย่าง”

หลิงเฉินหัวเราะเหยียดหยามเล็กน้อย ก่อนพูดเน้นเสียงด้วยอารมณ์สั่งสอน เหมือนเทพธิดาที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆ กำลังก้มมองลงมายังมนุษย์ผู้ต่ำต้อย “อย่างแรก ในเมื่อเจ้าทำให้ผู้อื่นอับอายขายหน้า เจ้าก็ต้องเตรียมใจที่จะโดนใครสักคนทำให้อับอายขายหน้าเช่นกัน อย่างที่สอง เจ้าเป็นคนฉลาด แต่ได้โปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองฉลาดมากที่สุด อย่าทำกับผู้อื่นเหมือนเขาเป็นตัวโง่งม และสามารถถูกเจ้าหลอกใช้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

มู่ซินเยว่หัวไหล่สั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง

แม้ว่าหลิงเฉินจะให้คำแนะนำเพียงสองอย่าง แต่ก็เหมือนลากมู่ซินเยว่ไปตบหน้ากลางตลาดสดชัดๆ

“ทีนี้ก็ไสหัวไปได้แล้ว”

หลิงเฉินยกมือโบกสะบัดด้วยความรังเกียจ

มู่ซินเยว่ลุกขึ้นยืนไม่พูดอะไร ก่อนจะหันหลังกลับเดินจากไปในความเงียบ

“เจ้าสองคนก็ไสหัวไปได้แล้วเหมือนกัน”

พลัน หลิงเฉินออกคำสั่งอย่างต่อเนื่อง

เถาว่านเฉิงกับหลี่เทา สองเด็กหนุ่มอัจฉริยะประจำสถานศึกษากระบี่หลวง ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด รีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างว่าง่ายเหลือเชื่อ

แต่ตอนที่เถาว่านเฉิงสะบัดหน้าจากไปนั้น เขาก็ยังไม่วายหันหน้ามายิ้มเยาะหลินเป่ยเฉิน และยกนิ้วโป้งคว่ำลงเป็นสัญลักษณ์เหยียดหยาม

ชัดเจนแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้แค้นหลินเป่ยเฉินฝังใจไปแล้ว

“ทุกคนไสหัวไปให้หมด” หลิงเฉินออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

กลุ่มศิษย์ที่รวมตัวกันอยู่พร้อมใจแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง เหมือนหน่วยทหารที่ได้รับคำสั่งให้สลายตัว

เพียงพูดไม่กี่ประโยค หลิงเฉินก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

หลังจากนั้น นางจึงได้หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน

“อิอิ พี่เฉิน พี่ว่าข้าเก่งขึ้นหรือยัง?”

ความเย็นชาดุดันร้ายกาจเมื่อสักครู่นี้หายวับไปกับตา หลิงเฉินกำลังเขย่าแขนหลินเป่ยเฉินเหมือนตนเองเป็นเด็กหญิงตัวน้อย พูดด้วยน้ำเสียงงอแงว่า “ข้าอุตส่าห์ออกหน้าช่วยพี่เชียวนะ ชื่นชมข้าสักหน่อยสิ”

“ข้า…”

หลินเป่ยเฉินตกอยู่ในความมึนงงอีกครั้ง

นี่ฉันกลายเป็นใครไปแล้ว?

ฉันอยู่ที่ไหน?

ฉันกำลังทำอะไรอยู่?

โดยปกติแล้ว ประโยคคำถามเหล่านี้มักจะเป็นตัวเปิดเรื่องของพระเอกหน้าโง่ ที่ได้รับความสามารถพิเศษบางอย่างโดยไม่คาดคิด ทำให้จากเดิมที่เคยอ่อนแอก็สามารถพิชิตศัตรูได้อย่างง่ายดาย มันคงเป็นเรื่องราวที่มีเหตุผลดี หากจะอยู่ในนิยายแฟนตาซีบนเว็บไซต์ขายนิยายติดเหรียญในอินเทอร์เน็ต และถึงแม้ตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทว่าหลินเป่ยเฉินก็ยังรู้สึกเชื่อทุกอย่างไม่ลงอยู่ดี

นี่ฉันกลายเป็นพระเอกดวงนารีอุปถัมภ์ ได้สุดยอดสาวงามเป็นคนรักโดยไม่รู้ตัวแล้วเหรอ?

แถมนางเอกของฉันก็ร้ายกาจกับคนอื่น และจะทำตัวน่ารักกับฉันแค่คนเดียวเท่านั้น

แต่ดูแล้วไม่ค่อยน่าไว้ใจ ยัยนี่จะเป็นโรคสองบุคลิกหรือเปล่าหว่า?

หรือว่าหญิงงามอย่างนี้ก็เป็นโรคประสาทด้วย?

บ้าน่า เราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง?

หลากหลายความคิดผุดวาบเข้ามาในสมองของหลินเป่ยเฉิน

“พี่เฉิน อยู่ดีๆ ทำไมไม่พูดไม่จาล่ะจ๊ะ? พี่โกรธข้าอยู่หรือ?” หลิงเฉินเขย่าแขนเด็กหนุ่มอีกครั้ง ดวงตาของนางเป็นประกายสดใสราวกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว “หรือจะให้ข้านำตัวเถาว่านเฉิงมาให้พี่สั่งสอนระบายความโกรธแค้นดีไหม”

“ยะ…อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย…ข้าไม่ได้โกรธใครหรอก…ข้าเพียงแต่…เอ่อ…”

ให้ตายเถอะ ทำไมในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ สมองถึงได้ตีบตันคิดหาข้ออ้างอะไรไม่ออกเลยนะ

หลินเป่ยเฉินอยากจะร้องไห้แล้ว

“ฮั่นแน่ พี่ตกใจใช่ไหมล่ะที่ได้เจอข้าแบบไม่ทันตั้งตัว?”

“เอ่อ…”

หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางตัวเอง แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า

เด็กหนุ่มพยายามทบทวนทุกซอกหลืบในความทรงจำอย่างหนัก

แต่เขาก็จำไม่ได้เลยว่าเคยพบเจอนางที่ไหน

หรือว่าเขากับนางจะรู้จักกันก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะทำเรื่องย้ายโรงเรียน?

“บ้าเอ๊ย!”

ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งหงุดหงิดก็ยิ่งสับสนไปหมด…

“หลิงเฉิน เจ้ารู้ไหม ข้า…คือข้าได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะน่ะ” หลินเป่ยเฉินนึกหาเหตุผลเพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า “มันก็เลยทำให้ข้าลืมเลือนเหตุการณ์ทุกอย่างก่อนที่ศีรษะจะได้รับบาดเจ็บ ความทรงจำของข้าก็เลยไม่ชัดเจน ดังนั้น…เอ่อ…พวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นหรือ?”

“อย่าบอกนะว่าท่านพี่ความจำเสื่อม?”

หลิงเฉินมีสีหน้าตกตะลึง

หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาในทันใด

“ถูกต้อง ข้าความจำเสื่อม”

ฮัดช่า! มันต้องอย่างนี้สิ ค่อยฟังดูน่าเชื่อถือหน่อย

“หลังจากที่ข้าเข้าเรียนต่อในสถานศึกษากระบี่ที่สาม ข้าก็ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะหลายครั้ง บางทีสวรรค์คงอยากให้ข้าได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนใหม่กระมัง…แต่เรามาพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาเลยดีกว่า ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้ากับข้าจะเป็นอะไรกัน แต่เจ้าจงลืมมันไปให้หมดเสียดีกว่า”

“เจ้าก็สวยอยู่หรอกนะ แต่ว่า…ข้าเป็นคนที่เจ้าไม่ควรรักจริงๆ เพราะข้าต้องกลับโลกมนุษย์ ตราบใดที่ข้ายังมีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว ข้าจะรักใครไม่ได้เด็ดขาด” หลินเป่ยเฉินอยากจะพูดประโยคเหล่านี้ตามออกไปด้วย แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น

เมื่อหลิงเฉินได้ยินคำตอบของเด็กหนุ่ม หยดน้ำตาก็เอ่อคลอเต็มสองเบ้า “พี่เฉิน ท่านกำลังขับไล่ข้าอยู่ใช่ไหม? ท่านไม่ชอบข้าแล้วหรือ?”

“คือว่า…”

เมื่อเห็นสาวงามต้องเสียใจให้กับคำพูดของตนเอง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกปวดใจเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกำลังขยุ้มหัวใจของเขาอยู่

“แย่จริง นี่มันนางฟ้าตกสวรรค์ชัดๆ ทำไมโลกนี้ถึงต้องมีคนสวยขนาดนี้ด้วยนะ ฉันไม่น่าพูดออกไปแบบนั้นเลย” หลินเป่ยเฉินได้แต่โทษตัวเองอยู่ในใจ จากนั้นจึงกล่าวออกไปว่า “ใช่ ข้ากำลังขับไล่เจ้า ทีนี้เจ้าเข้าใจความหมายของข้าแล้วหรือยัง”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด