ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD – บทที่ 7 กฎของร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้
เถ้าแก่ เอาข้าวผัดไข่มาก่อนเลยสิบชาม!
หากคำพูดนี้ดังขึ้นในร้านอาหารเล็กๆ ร้านอื่น เจ้าของร้านคงพากันปลื้มปิติเป็นล้นพ้นแน่นอน แต่ร้านของปู้ฟางกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ปู้ฟางที่กำลังจะเข้าครัวพลันหยุดชะงัก เขาหันตัวกลับมามองซุนฉีเซี่ยงที่อยู่ในชุดคลุมยาวหลากสี แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คุณลูกค้า ร้านของเราขายข้าวผัดไข่ให้ลูกค้าแค่วันละชามต่อคนเท่านั้น แต่เจ้าจะสั่งผัดผักหรือบะหมี่แห้งคลุกแทนได้… อ๋อ หรือเจ้าอยากจะสั่งข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงก็ได้เช่นกัน”
ซุนฉีเซี่ยงรู้สึกประหลาดใจที่ตนเองโดนปฏิเสธเช่นนี้ เขามองปู้ฟางด้วยสายตาราวกับว่าไอ้หมอนี่มันโง่บ้าเซ่อหรืออย่างไร ก่อนจะยกพัดขึ้นชี้หน้าชายหนุ่มแล้วพูดด้วยรอยยิ้มกริ่ม “เจ้าไม่รู้รึว่าข้าคนนี้เป็นใคร”
เขาเป็นถึงหนึ่งในสามเสือผู้หญิงที่โด่งดังที่สุดในนครหลวง ผู้มีนามว่าซุนฉีเซี่ยง ไม่มีใครในที่แห่งนี้ที่ไม่รู้จักเขา! การที่เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ นี้บังอาจปฏิเสธเขา ก็ไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย!
ปู้ฟางมุ่นคิ้วก่อนมองดูซุนฉีเซี่ยงดีๆ อีกครั้ง ดวงตาของชายตรงหน้าปู้ฟางเรียวเล็ก ปากยื่นหนา แก้มตุ่ยเหมือนลิง แม้ซุนฉีเซี่ยงคนนี้จะหน้าตาอัปลักษณ์เสียจนปู้ฟางอาจพาลเข้าใจผิดไปว่าเขาเป็นสายพันธุ์อื่น… แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียทีว่าชายตรงหน้านี้เป็นใคร
“ข้าไม่รู้จักเจ้า แต่ร้านของเรามีกฎวางไว้ชัดเจน หากไม่กินก็ออกไปเสีย” ชายหนุ่มพูดเรียบๆ
“พับผ่าสิ! น่าสนใจดีนี่ ข้าเป็นพวกชอบแหกกฎยิ่งกว่าอะไรเสียด้วย! หากเจ้าไม่เอาข้าวผัดไข่สิบชามมาให้ข้า ข้าจะพังร้านเจ้าให้เละมันเสียเลย! เป็นแค่ร้านรูหนูแท้ๆ ยังมีน้ำหน้ามาพูดเรื่องกฎกับข้าอีก!” ซุนฉีเซี่ยงหัวเราะลั่น พลางคิดไปว่าแปลกดีกับการที่มีคนในเมืองหลวงไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
เซียวเยียนอวี่ทนดูโดยไม่ทำอะไรไม่ไหวอีกต่อไป นางไม่คิดว่าซุนฉีเซี่ยงจะถึงกับตามมาที่ร้าน หากร้านนี้ถูกทำลายจะกลายเป็นความผิดของนางไปโดยปริยาย
“ซุนฉีเซี่ยง หัดระวังกิริยาเจ้าเอาไว้บ้าง! หากเจ้ามาเพื่อกินก็แค่กินเสีย อยากให้ข้าโยนเจ้าออกไปรึ” เสียงของเซียวเยียนอวี่เจือความเย็นเยือกเล็กน้อย
ส่วนเซียวเสี่ยวหลงนั้นมองซุนฉีเซี่ยงด้วยสายตาเย็นเยียบอยู่แล้ว
ปู้ฟางยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์หลังจากที่ได้ยินคำขู่ของซุนฉีเซี่ยง
เขาถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันและเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย “พังร้านข้ารึ เจ้าไม่มีปัญญาหรอก หากจะสั่งอะไรก็รีบสั่ง รายการอาหารอยู่บนกำแพงโน่น หากยังทำให้ข้าเสียเวลา ข้าจะใส่ชื่อเจ้าเข้าไปในบัญชีหนังหมาของร้านเสียเลย”
เซียวเยียนอวี่มีสีหน้าเหมือนต้องมนต์สะกด ส่วนเซียวเสี่ยวหลงเองก็อึ้งไปเช่นกัน ทั้งสองไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดปู้ฟางจึงไม่กลัวซุนฉีเซี่ยง ซุนฉีเซี่ยงนั้นมีอำนาจมากในนครหลวงแห่งนี้ แม้แต่ร้านอาหารอันดับหนึ่งประจำเมืองอย่างร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ยังไม่กล้าหือกล้าอือกับเขา แล้วปู้ฟางไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากแห่งหนใดกัน
ซุนฉีเซี่ยงยิ้มด้วยความโกรธ การที่เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ กล้าท้าทายเขาอย่างโอหังเช่นนี้ ทำให้เขาเข้าใจอะไรขึ้นมาได้
“ไอ้ลูกกรอกนี่บ้าดีเดือดดีเหมือนกัน คนสุดท้ายที่กล้าพูดเช่นนี้กลับข้ากลายเป็นอาหารปลายุ่ยๆ ไปเรียบร้อยแล้ว” ซุนฉีเซี่ยงยิ้มเย็นก่อนหันหน้าไปมองรายการอาหาร บนผนังมีชื่ออาหารเขียนเอาไว้เพียงสี่รายการเท่านั้น
เพียงสั่งคำเดียวเขาก็สามารถนำคนมาพังร้านนี้ได้ทันที แต่แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ตอนที่เซียวเยียนอวี่ยังอยู่ ถึงอย่างไรก็ยังทำไม่ได้ตอนนี้ ซุนฉีเซี่ยงจึงตัดสินใจว่าจะลองสั่งมากินดูสักหน่อย
“ฮ่าๆ ร้านนี้เป็นร้านรูหนูจริงๆ เสียด้วย มีอาหารอยู่แค่สี่รายการ แถมยังซ้ำกันอีก… เจ้าคิดว่าตัวเองจะขายแค่ข้าวผัดไข่ตลอดไปเช่นนั้นรึ” ซุนฉีเซี่ยงมองชื่อรายการอาหารโดยไม่สนใจดูราคาแม้แต่น้อย
ราคารึ คนอย่างซุนฉีเซี่ยงมีเงินล้นเหลือ!
“จะสั่งอะไร” ปู้ฟางถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เอามาอย่างละจาน” ซุนฉีเซี่ยงเดินลงไปนั่งที่โต๊ะ เขาอยากรู้ว่าร้านเล็กๆ นี้มีดีอะไรถึงเรียกสาวงามที่สุดในนครหลวงมานั่งกินได้
ชายหนุ่มในชุดคลุมหลากสีมองไปรอบๆ ร้าน ต้องยอมรับว่าการตกแต่งนั้นเป็นเอกลักษณ์มากทีเดียว ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นดี
“ทุกรายการรึ ย่อมได้ ทั้งหมดสิบเอ็ดผลึก สองร้อยเหรียญทอง”
ปู้ฟางยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ ก่อนแจกแจงราคาอย่างไร้ความรู้สึก
ซุนฉีเซี่ยงกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ ตอนที่ปู้ฟางบอกราคาออกมา สีหน้าของเขาก็แข็งทื่อไปทันที เขาหันกลับมามองปู้ฟางด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนสติไม่สมประกอบ
“เจ้าคิดว่าข้าโง่รึ กับอีแค่ข้าวผัดไข่สองชาม ผัดผักหนึ่งจาน กับบะหมี่แห้งคลุกอีกชาม เอาบ้าอะไรมาเก็บเงินสิบเอ็ดผลึกสองร้อยเหรียญทอง ถ้ามีน้ำหน้ามารีดทรัพย์ก็เลือกเหยื่อให้มันดีๆ หน่อย บังอาจมาหลอกเอาเงินข้ารึ”
ซุนฉีเซี่ยงตะโกนออกมาเสียงดังลั่น แม้ตัวเขาเองจะร่ำรวยเงินทองมากเหลือ แต่ก็ไม่ได้โง่เง่าไร้ปัญญา
“แล้วเจ้าล่ะตาบอดรึ ราคามันก็เขียนอยู่บนนั้น หากไม่สั่งก็ไสหัวออกไปเสีย!” ความอดทนของปู้ฟางหมดลงในที่สุด เขาไม่ปรานีแม้กระทั่งลูกค้าตนเอง ชายผู้ซึ่งใฝ่ฝันอยากเป็นพ่อครัวเทพย่อมต้องมีศักดิ์ศรีเป็นธรรมดา
“อย่ามาแสร้งทำเป็นคนรวยเลยถ้าความจริงถังแตก”
ตอนที่เซียวเสี่ยวหลงเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของซุนฉีเซี่ยงนั้น เขาแทบหัวเราะออกมาเสียงดัง นั่นก็เพราะตัวเขาเองก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกันตอนที่เห็นราคาอาหารครั้งแรก เมื่อได้มาเห็นการแสดงออกเช่นเดียวกันนี้บนใบหน้าคนอื่น เขาก็รู้สึกพึงพอใจอย่างประหลาด
“ถังแตกรึ น่าหัวเราะให้ฟันหลุด! คนอย่างข้าเอาเงินมาทับเจ้าจนตายก็ยังได้! เลิกพล่ามไร้สาระได้แล้ว! เอาจานแรกออกมาก่อน! ข้ามีปัญญาจ่ายแล้วกัน!” ซุนฉีเซี่ยงเหล่ตามองเซียวเสี่ยวหลงด้วยความเกลียดชัง ก่อนจะกางพัดกระดาษออกพัดวีตนเองขณะเอื้อนเอ่ย
เขาทำตาล่อกแล่กไปมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ปู้ฟางไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ในเมื่อซุนฉีเซี่ยงสั่งอาหารแล้วเขาก็จะทำให้กิน ใครก็ตามที่เข้ามาในร้านย่อมถือว่าเป็นลูกค้า ปู้ฟางไม่ได้กลัวว่าจะมีคนมาสร้างเรื่องที่ร้าน เนื่องจากร้านของเขามีระบบที่สร้างขึ้นเพื่อจัดการปัญหาจำพวกนี้อย่างเด็ดขาดโดยเฉพาะ
“โปรดรอสักครู่”
จากนั้นชายหนุ่มก็เดินเข้าครัวไปโดยไม่พูดอะไรอีก
“เยียนอวี่ เหตุใดหญิงงามอย่างเจ้าจึงมาเหยียบสถานที่รูหนูเช่นนี้แค่เพื่อกินข้าวผัดไข่โง่ๆ หนึ่งชามกัน!” ขณะที่รออาหาร ซุนฉีเซี่ยงก็เกิดเบื่อขึ้นมา เขาหันหน้าไปหาเซียวเยียนอวี่ผู้สง่างามที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แล้วเริ่มต้นบทสนทนา
แต่เซียวเยียนอวี่กลับนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นอยู่ตรงนั้น ทำเป็นไม่ได้ยินอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
ซุนฉีเซี่ยงเคยชินกับการถูกเซียวเยียนอวี่เมินอยู่เป็นทุนเดิม จึงไม่ได้คิดมากอะไร นี่เป็นปฏิกิริยาที่เขาเจอบ่อยจากการตามรังควานสาวงาม ด้วยเหตุนี้เขาจึงหันไปมองรอบๆ ร้านต่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ
เมื่อซุนฉีเซี่ยงหันไปเจอราคาที่เขียนอยู่บนรายการอาหาร ดวงตาของเขาก็ฉายแสงเย้ยหยันออกมา
เซียวเสี่ยวหลงนั่งอยู่มุมหนึ่งด้วยความรู้สึกหดหู่ เขามองเซียวเยียนอวี่อย่างอาฆาตแค้น พี่สาวคนพาลของเขาแย่งผลึกไปเสียหมด จนตอนนี้เหลือเพียงเหรีญทองให้ใช้เท่านั้น เขาจึงสั่งได้แค่บะหมี่แห้งคลุกหนึ่งชาม
แม้จะไม่ใช่ข้าวผัดไข่ แต่อาหารจากร้านเดียวกันก็คงยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน อย่างไรเสีย… มันก็มีราคาถึงร้อยเหรียญทองเลยทีเดียว
ทุกคนที่นั่งอยู่ในร้านเล็กๆ แห่งนี้ต่างมีความคิดในใจของตนเอง
ทันใดนั้นกลิ่นหอมของอาหารก็ลอยล่องออกมาจากห้องครัว ราวกับเป็นผ้าไหมนุ่มนวลที่พุ่งเข้ามาสัมผัสใบหน้าพวกเขาอย่างอ่อนโยน
เซียวเสี่ยวหลงดื่มด่ำกับกลิ่นหอมนี้อย่างเต็มที่ “อ้า! กลิ่นนี้ กลิ่นที่น่าหลงใหลเหมือนความทรงจำในวัยเด็ก!”
ดวงตาของเซียวเยียนอวี่สว่างวาบด้วยความประหลาดใจ “นี่มัน… หอมเหลือเกิน!”
ซุนฉีเซี่ยงทำจมูกฟุดฟิด ก่อนที่ดวงตาของเขาจะลุกโชน “ดูเหมือนว่าไอ้ร้านรูหนูนี่จะมีดีอยู่เหมือนกัน! กลิ่นนี้… ช่างวิเศษเหลือเกิน!”
ปู้ฟางเดินออกจากห้องครัวด้วยท่าทางสบายๆ ท่ามกลางสายตาสามคู่ที่จับจ้อง
“นี่ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงที่เจ้าสั่ง กินให้อร่อยล่ะ” ปู้ฟางถือชามกระเบื้องสีฟ้าขาวเอาไว้ในมือ กลิ่นหอมหวนชวนฝันลอยล่องออกจากชามนั้น ก่อเป็นหมอกสีขาวเบื้องบนชามที่บดบังหน้าตาของอาหารเอาไว้
เมื่อปู้ฟางวางชามกระเบื้องสีฟ้าขาวลงตรงหน้าเซียวเยียนอวี่ กลิ่นหอมหวนเข้มข้นก็พุ่งเข้าหานางเหมือนพายุที่กรรโชกแรง
กลิ่นนั้นลอยเข้าจมูกของเซียวเยียนอวี่เหมือนสายธารที่ประสานกันทะเล ลมอ่อนๆ ยกเอาผ้าคลุมหน้าสีชมพูของนางขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าสะสวย
โครก
เซียวเยียนอวี่กลืนน้ำลายเอื๊อก เสียงท้องร้องแผ่วเบาลอยออกมาจากท้องของนาง ใบหน้าสวยเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอาย
การที่ข้าวผัดไข่หนึ่งชามทำให้ผู้ฝึกตนระดับสี่ขั้นจิตยุทธการรู้สึกหิวได้นั้น… ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากทีเดียว!
เมื่อหมอกซึ่งบดบังหน้าตาของอาหารสลายหายไปเรียบร้อย แสงสีทองเรืองรองก็สว่างเจิดจ้าออกมาจากภายในชาม
ทั้งซุนฉีเซี่ยงและเซียวเสี่ยวหลงต่างตกใจเป็นล้นพ้น!
แม้กระทั่งเซียวเยียนอวี่เองยังยกมือขึ้นปิดปากแล้วอุทานด้วยความประหลาดใจ
………………………………..
คอมเม้นต์