ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD – บทที่ 56 อย่าสะเออะยิ้ม… มิเช่นนั้นข้าจะโยนเจ้าออกไปเสีย
มุมปากของเซียวเยวี่ยมีเลือดไหลออกมาเป็นสาย อีกทั้งใบหน้าหล่อเหลายังดูน่าสยดสยองเล็กน้อย กระนั้นเขาก็ยังบังคับตนเองให้ยิ้มออกมาขณะมองปู้ฟาง
“เถ้าแก่ปู้ มีคนมาก่อความไม่สงบในร้านของเจ้า… เจ้าจะเข้ามาห้ามทัพหรือไม่ “
หุนเชียนต้วนที่มีใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษหันไปมองเซียวเยวี่ยราวกับชายหนุ่มตรงหน้าได้เป็นบ้าไปเรียบร้อยแล้ว เขาอดคิดไม่ได้ “ไอ้เวรนี่… สมองมันถูกกระทบกระเทือนไปแล้วหรือไร มาพ่นอะไรไร้สาระไม่ได้ความ ข้างนอกนั่นมีผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการอยู่ถึงสองคน! แล้วมันจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านอาหารเนี่ยนะ”
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ! แค่ก… หมอนี่มันเป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นคลั่งยุทธการ คิดจริงๆ หรือว่าจะช่วยอะไรเราได้” หุนเชียนต้วนกระอักเลือดออกมาขณะส่ายหน้าไหวๆ ด้วยความสิ้นหวัง
เก้าสำนักใหญ่สูญเสียไปมากเหลือเกินในศึกนี้ ผู้ฝึกตนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งถูกฆ่าตายระหว่างภารกิจช่วยเหลือตัวประกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าจีฉางเฟิ่งจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!
“หุบปากเสีย! หากลูกน้องหน้าโง่ของเจ้าไม่เปิดเผยตัวตนก่อนเวลาอันควร… ผลที่ออกมามันจะกลายเป็นเช่นนี้ไหม สำนักวิญญาณของเจ้าต้องรับผิดชอบความผิดพลาดในครั้งนี้!” ดวงตาของเซียวเยวี่ยเย็นเยียบขณะจ้องไปที่หุนเชียนต้วนเขม็ง “ตอนนี้ข้าจะไม่มานั่งเถียงกับเจ้าก็แล้วกัน หากเจ้ายังอยากมีลมหายใจอยู่ต่อไปก็เงียบปากไปเสียแต่โดยดี ร้านนี้ไม่ได้กระจอกงอกง่อยอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ!”
“เจ้า!”
หุนเชียนต้วนหัวเสียมากเสียจนอาการบาดเจ็บที่หน้าอกเริ่มปวดขึ้นมา ชายหนุ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป จนกระอักเลือดออกมาอีกยกใหญ่ เขารีบหยิบโอสถออกมากระเป๋าตรงหน้าอกแล้วยัดโอสถเข้าปากทันที
เซียวเยวี่ยหันกลับไปมองปู้ฟางด้วยสายตามีความหวัง เขารู้ว่าโอกาสที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้ของตนขึ้นอยู่กับปู้ฟาง
ชายหนุ่มเจ้าของร้านกำลังนอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ แสงอาทิตย์ที่ส่องใบหน้าทำให้เขาดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อย
โอวหยางเสี่ยวอี้หอบตัวโยนด้วยความโกรธ นางวิ่งไปซ่อนตัวด้านหลังปู้ฟางแล้วจ้องไปที่เซียวเยวี่ยด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว นางคิด “หมอนี่มันชั่วช้า… กล้ามาอุ้มข้า! แถมยังพูดว่าจะฆ่าข้าอีก! ยกโทษให้ไม่ได้เด็ดขาด!”
ปู้ฟางจ้องเซียวเยวี่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ส่วนเซียวเยวี่ยเองก็จ้องกลับด้วยสีหน้าสงบ
จนในที่สุดเซียวเยวี่ยก็ดูเหมือนจะทนสายตาตายด้านของปู้ฟางไม่ไหวอีกต่อไป หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างยอมจำนน ก่อนหลบตาไปทางอื่นอย่างอดรนทนไม่ได้
ปู้ฟางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจพลางคิด “ใช่แล้ว คนอย่างข้าไม่กลัวการแข่งจ้องตาหรอก!”
“เถ้าแก่ปู้” เสียงทุ้มดังมาจากภายนอกร้าน แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงในชุดเกราะเดินมาหยุดยืนหน้าร้านด้วยท่าทางทรงอำนาจ สีหน้าจริงจัง
“ต้องการอะไร” ปู้ฟางจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้างุนงง
“เถ้าแก่ปู้ อาชญากรที่วังหลวงต้องการตัวเพิ่งเข้าไปในร้านของเจ้า ข้าต้องการเข้าร้านไปเพื่อจับอาชญากรทั้งสองนี้จะได้หรือไม่” แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงรู้สึกเกรงกลัวร้านสุดลึกลับนี้เล็กน้อย
เถ้าแก่เจ้าของร้านที่ไม่รู้ประวัติที่มา สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่ทั้งลึกลับและทรงพลัง รวมทั้งหุ่นเชิดที่ต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการได้อย่างสูสี… หากเขาเดินเข้าร้านไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เรื่องนี้คงจบไม่สวยเป็นแน่
เหลียนฟู่มองเซียวเหมิงด้วยสีหน้างุนงง เขาตวัดแส้ฟาดม้าในมือแล้วจีบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกันก่อนพูดด้วยเสียงสูง “แม่ทัพเซียว เหตุใดเราจึงไม่เข้าไปจับอาชญากรจากสำนักที่ซ่อนอยู่ในร้านนี้ไปเลยเล่า อย่าบอกนะว่าท่านยังมองอาชญากรรายนี้ว่าเป็นบุตรของท่านอยู่”
“ท่านขันที ท่านไม่เข้าใจ… ร้านนี้ไม่ใช่ร้านธรรมดาทั่วไป ทางที่ดีอย่าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าเลยดีกว่า!” เซียวเหมิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แม่ทัพเซียว… ท่านกลัวร้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในตรอกร้างผู้คนในนครหลวงเช่นนี้รึ ไม่สมกับสมญานามวีรบุรุษอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วเลยนะ” เหลียนฟู่เย้ย พร้อมหันไปมองแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงและจีบมือชี้ไปทางอีกฝ่าย
“คิดว่าเจ้ากำลังพยายามหลอกใครอยู่ ร้านเช่นนี้ในนครหลวงมีเป็นดอกเห็ด แค่มองปราดเดียวก็รู้ระดับพลังปราณของเจ้าของร้านแล้ว หมอนี่เป็นแค่ขั้นคลั่งยุทธการ จะกลัวอะไรกันนักหนา เจ้าเองเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการ ต้องมาลังเลว่าจะเข้าหรือไม่เข้าร้านด้วยรึ” เหลียนฟู่คิด
ปู้ฟางมองแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนหันไปมองขันที… ผู้นั้น
“หา… ขันทีรึ” ปู้ฟางคิดพลางกะพริบตาปริบ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นขันทีตัวเป็นๆ “น่าสนใจดี”
“จะเข้าร้านก็ได้ แต่ห้ามสู้กันหรือก่อเรื่องเป็นอันขาด มิเช่นนั้นคงรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ปู้ฟางพูดเรียบๆ
แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงขมวดคิ้ว หากเข้าไปแล้วทำอะไรไม่ได้จะจับเซียวเยวี่ยได้อย่างไรกัน แม้เซียวเยวี่ยจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ใช่ว่าจะจับกันได้ง่ายๆ เพราะหมอนี่ต้องใช้กลเม็ดอะไรในการพยายามเอาตัวรอดอย่างแน่นอน
“ให้ตายเถิด! แค่เพราะว่าพวกเราสุภาพกับเจ้านิดหน่อย ก็คิดไปแล้วรึว่าตนเองช่างยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเสียเต็มประดา… เป็นแค่พวกระดับสามแต่กลับทำตัวจองหองราวมีปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม ตายๆๆ ข้าละกลัวจริงๆ”
ก่อนที่เซียวเหมิงจะทันได้ตอบ เหลียนฟู่ก็เยาะเย้ยขึ้นมาก่อน เขาจีบมือชี้ไปที่ปู้ฟาง ยกอีกมือมาค้ำไว้ใต้คาง
ทันใดนั้นขนทั่วร่างกายของปู้ฟางก็ลุกซู่… ชายหนุ่มคิด “สวรรค์ช่วย… พี่ชาย ไม่เห็นจะต้องรุนแรงเลย เรามาคุยกันดีๆ ไม่ดีกว่ารึ”
ขวับ ขวับ ขวับ!
ขณะที่ทั้งสามกำลังเจรจากันอยู่ ร่างสองสามร่างก็ปรากฏตัวขึ้นในตรอก
โอวหยางซงเหิงมาถึงอย่างองอาจพร้อมด้วยพลังอำนาจเปี่ยมล้น ใบหน้าโกรธเกรี้ยว ตัวสั่นด้วยโทสะ เขาต่อกรกับจอมยุทธ์มากมายบนลานประหาร จนไล่ผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการไปได้หลายคน ทั้งยังฆ่าระดับห้าไปมากโข โอวหยางซงเหิงเปรียบเสมือนเครื่องจักรสังหารในคราบมนุษย์ที่ถูกปล่อยออกจากตรวนอย่างไรอย่างนั้น!
“พับผ่า! ดูซิว่าใครกันที่ยังเหลือรอดอยู่!” โอวหยางซงเหิงลูบหนวดตนเอง เขาช่างเป็นชายที่แสนโหดร้ายจริงๆ
“สวรรค์ช่วย! ลูกสาวตัวน้อยที่แสนเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ของพ่อ เจ้าไปทำอะไรในร้านนั้น มันอันตรายนะ รีบออกมาเร็วเข้า!” เมื่อโอวหยางซงเหิงเห็นโอวหยางเสี่ยวอี้อยู่ในร้าน หัวใจเขาก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ มีคนคลั่งโหดเหี้ยมมากมายอยู่ในร้าน หากนางเป็นอะไรไปละก็… มารดาของนางคงฆ่าเขาตายคามือเป็นแน่!
“ท่านพ่อ!” ดวงตาของโอวหยางเสี่ยวอี้เป็นประกายเมื่อเห็นโอวหยางซงเหิง นางตะโกนออกมาด้วยท่าทางน่ารัก
“โอ้ ลูกสาวตัวน้อยที่แสนเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ของพ่อ” โอวหยางซงเหิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความรักต่อแก้วตาดวงใจ ภาพปีศาจร้ายเครื่องจักรสังหารเมื่อครู่ปลิวหายไปในอากาศโดยสิ้นเชิง
ทหารมากมายที่ยืนอยู่เบื้องหลังโอวหยางซงเหิงต่างมีสีหน้างุนงงขณะมองไปที่แม่ทัพของตน… เกิดอะไรขึ้นกับศักดิ์ศรีที่ท่านเพียรแบกไว้บนบ่ามาทั้งชีวิตกัน
มุมปากของเซียวเยวี่ยยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เซียวเหมิง… ไม่กล้าบุกเข้ามาในร้านนี้ และรู้สึกกลัวร้านลึกลับนี้เช่นเดียวกับเขาจริงๆ เสียด้วย
เขาตัดสินใจถูกแล้ว!
หุนเชียนต้วนมองปู้ฟางด้วยสีหน้าเหมือนเห็นผี เจ้าของร้านที่ดูอ่อนแอเหมือนมดปลวก… สามารถทำให้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของจักรวรรดิวายุแผ่วไม่กล้าตัดสินใจจริงๆ เสียด้วย เกิดเหตุอาเพศอะไรขึ้นกันแน่
หุนเชียนต้วนไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเหมือนขันทีเหลียนฟู่ไม่มีผิด
“แม่ทัพเซียว รีบเข้าไปจับพวกวายร้ายจากสำนักที่ซ่อนตัวอยู่ในร้านมาเสีย!” เหลียนฟู่พูดเสียงเย็น
“ไม่ได้!”
“ไม่ได้!!”
โอวหยางซงเหิงและเซียวเหมิงตะโกนตอบพร้อมกัน เซียวเหมิงกลัวร้านนี้ ส่วนโอวหยางซงเหิงก็กลัวว่าโอวหยางเสี่ยวอี้จะเป็นอะไรไป
“เสี่ยวอี้ มานี่มา มาหาพ่อ เป็นเด็กดีนะ” หลังจากที่ตะโกนห้ามเสร็จ โอวหยางซงเหิงก็พูดเสียงหวานอ่อนโยนกับบุตรสาวคนเล็กของตน
โอวหยางเสี่ยวอี้หันไปหานายท่านตัวเหม็น แล้วหันกลับไปมองบิดาที่ดูเหมือนปีศาจร้ายของนาง เด็กหญิงลังเลเล็กน้อยว่าควรไปทางไหนดี นางกะพริบตากลมโตน่ารักปริบๆ
“เจ้าไปหาบิดาเจ้าตรงนั้นเถิด” ปู้ฟางพูดพร้อมลูบศีรษะเด็กหญิง
“ได้! นายท่านตัวเหม็น ท่านระวังตัวด้วยนะ” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดอย่างน่ารัก นางเขย่งตัวขึ้นเพื่อเอื้อมมือมาแตะไหล่ปู้ฟาง
เมื่อร่ำลากันเสร็จ เด็กหญิงก็รีบวิ่งไปยืนข้างโอวหยางซงเหิงทันที
“พับผ่าสิ! ใครก็ได้! เข้าไปจับไอ้พวกชั่วจากสำนักสามานย์นั่นออกมาที!” ทันทีที่โอวหยางเสี่ยวอี้มายืนข้างตนเรียบร้อย โอวหยางซงเหิงก็ประกาศกร้าวออกมา ความอ่อนโยนถูกโยนปลิวหายวับไปในอากาศอีกครั้ง เขายกมือขึ้นท้าวสะเอว พลางตะโกนออกคำสั่งด้วยความโกรธเกรี้ยว มือชี้ไปที่ร้านอาหารตรงหน้า
สีหน้าของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงพลันเปลี่ยนไป
เหลียนฟู่ยิ้มบาง พร้อมจีบมือ
เมื่อได้รับคำสั่งจากแม่ทัพของตน ทหารห้านายในอาณัติของโอวหยางซงเหิงที่มีปราณขั้นราชันยุทธการก็ตะโกนกร้าวออกมา แล้วพุ่งเข้าใส่ร้านตรงหน้าทันที เป้าหมายของพวกเขาคือการจับเซียวเยวี่ยและหุนเชียนต้วนให้จงได้!
ใบหน้าของเซียวเยวี่ยซีดขาว แต่ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ขณะมองทหารห้าคนที่กำลังพุ่งเข้ามา
ตอนนั้นเองร่างใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าร้าน ดวงตาเป็นประกายกะพริบแสงวาบ
ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการห้าคนชะงัก แต่ก็ยังเรียกพลังปราณเที่ยงแท้ของตนออกมา เล็งไปยังหุ่นเชิดจักรกลที่ขวางทางอยู่
เกิดเสียงดังโครม ตามมาด้วยร่างของผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการห้าคนที่ปลิวไปด้านหลัง ร่างกระแทกปักลงบนพื้น กลิ้งหลุนๆ สองสามทีก่อนแน่นิ่งไป
“ข้าบอกแล้วมิใช่รึ จะเข้าร้านก็เข้ามา แต่อย่าก่อเรื่อง…” ปู้ฟางกอดอกพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คิดว่าข้าล้อเล่นหรืออย่างไร”
ตอนนั้นเองผู้คนรอบร้านก็สูดลมเย็นเข้าปอดลึก พลางคิดเหมือนกันว่า “เพียงฝ่ามือเดียวก็จัดการผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการห้าคนได้ราบคาบ ไอ้หุ่นเชิดนี่มันอะไรกัน! ไอ้หนุ่มนี่… มันเป็นใครกัน!”
ใบหน้าของหุนเชียนต้วนแข็งทื่อ ส่วนเซียวเยวี่ยยังคงยิ้มกริ่ม
ทันใดนั้นปู้ฟางก็หันหน้ามามองเซียวเยวี่ย แล้วพูดเสียงตายด้าน “ข้าเกลียดการโดนผู้อื่นหลอกใช้เป็นที่สุด ดังนั้นอย่าสะเออะยิ้มโดยเด็ดขาด… หากข้าเห็นเจ้าแล้วไม่สบายลูกตา ข้าจะจับเจ้าโยนออกจากร้านไปเสีย”
สีหน้าของเซียวเยวี่ยพลันแข็งทื่อตามอาชญากรร่วมชะตากรรมทันที…
…………………………..
คอมเม้นต์