ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 7 หน้าตาของตระกูลเย่ว์กับคู่สวรรค์ประทาน

อ่านนิยายจีนเรื่อง ราชินีพลิกสวรรค์ ตอนที่ 7 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

 

 

 

ดวงตาของเย่ว์หนานซีประกายแวววูบไหวด้วยความเอือมระอา ตะโกนหยุดสองแม่ลูกข้างหน้า 

 

 

แน่นอนอย่างมิต้องสงสัย ชื่อที่เขาตะโกนเรียกออกจากริมฝีปากคือชื่อของหญิงสาวโฉมสะคราญผู้นั้น 

 

 

“อวี๋เอ๋อร์ พวกเรากลับกันเถอะ คงมิต้องพูดถึงหรอกกระมังว่านางอาจจะเป็นเพียงแค่ทาสผู้ต่ำต้อยคนหนึ่ง หรือต่อให้นางไม่ได้เป็น ยังไงเสียดูท่าแล้วนางคงช่วยอะไรข้าไม่ได้” 

 

 

เจียงอวี๋เอ่ยตอบในท่าทีเรียบนิ่ง “ท่านพี่หนานซี อย่ากล่าวเช่นนี้เลย ท่านกับน้องหญิงอาหลียังไงเสียก็เคยมีวาสนาร่วมกันมาตั้งครั้งหนึ่ง อีกอย่างตอนตระกูลเจียงของข้ากำลังเดือดร้อน ตระกูลเย่ว์มิเพียงหยิบยื่นน้ำใจช่วยเหลือ แต่ยังช่วยจัดการเรื่องให้หลังจากท่านป้าใหญ่ตายแล้ว ทั้งจัดพิธีศพให้ท่านป้าเรียบร้อยเป็นอย่างดี นี่เป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงที่ตระกูลเจียงได้ติดค้างตระกูลเย่ว์เอาไว้ น้องหญิงอาหลีต้องทำหน้าที่ตอบแทนคุณนับว่าเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว” 

 

 

“ข้าต้องการให้เจ้าตอบแทนข้าเพียงผู้เดียวก็พอ” เย่ว์หนานซีขยับกายเข้ามาใกล้ชิดเจียงอวี๋ ฉวยมือน้อยนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกขึ้นมาลูบเบาๆ ในอุ้งมือของตนอย่างมิต้องสงสัยแม้แต่น้อย นัยน์ตาคมฉายแววลึกซึ่งอย่างปิดไม่มิดเลยสักนิด 

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับคุณชายน้อยที่เพียบพร้อมสง่างามเยี่ยงนี้ เจียงอวี๋จึงใจเต้นระส่ำราวกับกวางน้อยที่กำลังตกใจตื่นตระหนก ก้มพยักหน้าเอียงอาย ร่างอันบอบบางเอนเองค่อยๆ ขยับอิงแอบแนบชิดร่างสูงของเย่ว์ซีหนานที่ยืนตระหง่าน 

 

 

จารีตประเพณีของราชวงศ์โฮ่วจิ้นเปิดกว้างเป็นอย่างมาก มิใช่เรื่องแปลกที่คู่รักหนุ่มสาวจะแสดงความรักหรือกิริยาท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกันกลางถนนใหญ่ถนนหลวงเยี่ยงนี้ 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เย่ว์หนานซีและเจียงอวี๋ต่างก็เป็นชายรูปหล่อและหญิงรูปงาม ยืนเคียงคู่กันแล้วช่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก จะให้ผู้อื่นที่พบเห็นรู้สึกตะขิดตะขวงใจได้อย่างไรล่ะ 

 

 

“แม่นางผู้นี่เป็นใครกัน แล้วเหตุใดเมื่อก่อนพวกเราถึงไม่เคยพบเห็นนางที่เมืองซูหนาน ไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูมาจากตระกูลใด ดูท่าทางแล้วคงจะเป็นหญิงในใจของคุณชายน้อยเย่ว์” 

 

 

“ดูแล้วทั้งสองคนช่างเหมาะสมกันจริงๆ” 

 

 

“สมแล้วที่เป็นคู่เทพเซียนกันราวกับสวรรค์ประทาน” 

 

 

“อีกสามเดือนก็จะถึงงานประลองชิงเจียวแห่งแคว้นซูหนานของพวกเราแล้ว เมื่อถึงคราวนั้นหนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์ทั้งในเมืองซูหนานและอีกสามเมืองต่างมาประลองฝีมือกัน หากคุณชายน้อยเย่ว์สามารถคว้าชัยมาได้ล่ะก็ รับรองว่าสามารถเข้าฝึกสำนักหลิงอู่ถังได้อย่างแน่นอน รอเขาเข้าเมืองหลวงก่อนเถอะ เจอสาวงามมากมายยิ่งกว่านี้ ไม่รู้ว่าจะยังคงจดจำแม่นางผู้งดงามคนนี้ไว้ในใจได้หรือเปล่า” 

 

 

“ชู่ว เบาเสียงหน่อยสิ ประเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินเข้าหรอก”  

 

 

“เหอะๆ นี่ข้าพูดความจริงยังไงเล่า แต่ไหนแต่ไรสตรีงามเหมาะสมกับวีรบุรุษ ด้วยพรสวรรค์ของคุณชายน้อยเย่ว์ ในภายหน้าหากต้องการสาวงามมากน้อยเพียงใดก็ไขว่คว้ามาครองได้ แล้วทำไมจึงต้องรีบเอาตัวเองไปผูกไว้กับดอกไม้เพียงดอกเดียวด้วยเล่า” 

 

 

เสียงวิพากษ์วิจารณ์บนท้องถนนนั้น ในคราแรกยังทำให้เจียงอวี๋และเย่ว์หนานซีชมชอบอยู่หรอก โดยเฉพาะฮูหยินผู้นั้นที่ยืนอยู่อีกด้าน หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ระหว่างคิ้วของนางที่เหมือนกับเจียงอวี๋ไม่มีผิดเพี้ยนถูกฉาบย้อมไปความได้ใจ เมื่อมองไปยังแววตาของเย่ว์หนานซีก็ยิ่งสะใจขึ้นไปอีก 

 

 

จากนั้นเมื่อคำพูดข้างหลังเข้าหูฮูหยินเข้า การแสดงออกทางสีหน้าของนางก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และแววตาไม่พอใจของนางก็เขม่นไปที่คนพูดจาปากไม่มีหูรูด 

 

 

เจียงอวี๋ว้าวุ่นใจแอบลอบมองเย่ว์ซีหนาน ทว่ากลับเห็นความวูบไหวในดวงตาของเขา ประหนึ่งว่าหวั่นไหวเล็กน้อยไปกับคำนินทาพวกนั้น 

 

 

“ท่านพี่หนานซี ท่านเพียบพร้อมเก่งกาจถึงเพียงนี้ อนาคตเมื่อประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่คับฟ้า ท่านพี่จะทอดทิ้งอวี๋เอ๋อร์หรือไม่ อวี๋เอ๋อร์ไม่คิดมักใหญ่ใฝ่สูงทะเยอทะยาน ขอเพียงแค่ได้ดูแลท่านพี่หนานซีของข้าเป็นอย่างดีก็พอแล้ว” น้ำเสียงอ่อนหวานของเจียงอวี๋ทำให้หัวใจที่กำลังเต้นระส่ำของเย่ว์หนานซีถูกบีบรัดแน่นจนหัวใจแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ 

 

 

หากตอนนี้ไม่ได้อยู่กลางถนนหนทางล่ะก็เขาคงจูบคงหอมแก้มนางเป็นแน่แท้ “ไม่หรอก ข้าจะใจร้ายกับเจ้าได้เยี่ยงไร อวี๋เอ๋อร์ของข้าแสนดีขนาดนี้ ข้าเย่ว์หนานซีต้องทะนุถนอมเป็นอย่างดีถึงจะถูก” 

 

 

เขากระซิบข้างหูนางอย่างรักใคร่ เจียงอวี๋เผยสีหน้าเขินอาย อ่อนปวกเปียกเหมือนไร้กระดูกเอนตัวในอ้อมแขนออดอ้อนเขา “ท่านพี่หนานซี” 

 

 

“อ่ะแฮ่ม” ฮูหยินที่อยู่อีกด้านปิดปากกระแอมไอหนึ่งเสียง จึงทำให้สองคนที่รักกันจนพอใจแล้วเก็บอาการเล็กน้อย “เอาล่ะ พวกเรายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ยังไงก็รีบไปกันเถอะ การไปครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะเจอนางเด็กคนนั้นหรือเปล่า” เมื่อกล่าวถึงเจียงหลี สายตาของฮูหยินแวววับไปด้วยความจงเกลียดจงชังลึกๆ 

 

 

เย่ว์หนานซีกับเจียงอวี๋สบตากันครั้งหนึ่ง พนักหน้าให้กันเงียบๆ รีบก้าวเดินตามนางและไม่สนใจสายตาช่างสังเกตของคนสารทิศโดยรอบอีกต่อไป 

 

 

“ครั้งนี้หากเห็นร่องรอยนางเด็กคนนั้น ทางที่ดีอย่าปล่อยไปเด็ดขาด ยังเหลืออีกสามเดือนกว่าจะถึงงานประลองชิงเจียว ที่สำคัญหากภายในสามเดือนนี้หากนางสามารถทำให้นายน้อยตระกูลลู่ชอบนางได้ล่ะก็ เมื่อถึงเวลานั้นเชิญให้นายน้อยลู่เขียนจดหมายแนะนำหนึ่งฉบับ หนานซีของพวกเราก็หนีไม่พ้นที่หนึ่งในงานประลองชิงเจียวแน่ๆ แล้วยังสามารถเข้าสำนักหลิงอู่ถังได้อย่างราบรื่นอีกด้วย อยู่เหนือยิ่งกว่าใครๆ” แววตาของนางเผยความมาดมั่น กลับไม่ทันสังเกตเห็นถึงความไม่พอใจในนัยน์ตาของเย่ว์หนานซี 

 

 

คำพูดเช่นนี้ทำไมฟังแล้วถึงไม่เข้าหูเลยสักนิด ราวกับว่าเขาด้อยความสามารในการเอาชนะเป็นที่หนึ่งได้อย่างนั้นแหละ 

 

 

งานประลองชิงเจียวคราวนี้ บุคคลที่สามารถมีคุณสมบัติต่อสู้กับเขาได้ เขาสืบถามมาชัดเจนแล้ว ก็มีเพียงแค่สี่ห้าคน เขาจึงมั่นใจเป็นอย่างมาก 

 

 

ฮูหยินที่ไม่ทันได้สังเกต แต่เป็นเจียงอวี๋ที่ลอบสังเกตอาการของเย่ว์หนานซีมาตลอดกลับสังเกตเห็นขึ้นเมื่อมองเห็นนัยน์ตาของชายคนรักแฝงไปด้วยความไม่พอใจ จึงรีบขัดจังหวะมารดาที่กำลังพูดอยู่ “ท่านแม่ อย่ากล่าวเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ความสามารถของท่านพี่หนานซีหากจะคว้าที่หนึ่งในงานประลองชิงเจียวมาครองมีหรือที่จะเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ ที่ขอร้องให้นายน้อยลู่เขียนจดหมายแนะนำก็เพียงเพื่อปูทางให้ เมื่อมีจดหมายท่านพี่หนานซีก็จะได้คำนับซือจุน ที่มีความเก่งกาจสามารถมากว่าใครในสำนักหลิงอู่ถังเพื่อฝึกศาสตร์การต่อสู้  

 

 

เมื่อถูกลูกสาวตำหนิติเตียนนางจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง หัวเราะแห้งๆ อย่างร้อนรน “ใช่ๆๆ โทษข้าปากเสียเอง พูดจาไม่เข้าท่าเหมือนลูกสาว หนานซีอย่าถือสาน้าเลยนะ” 

 

 

“ไม่หรอกขอรับ” เย่ว์หนานซียิ้มแห้งๆ ตอบแบบขอไปที 

 

 

“ข้าเป็นห่วงก็มีเพียงแต่นิสัยใจคอของน้องหญิงเจียงหลี เกรงว่าคงจะทำให้นายน้อยลู่ชมชอบมิได้ง่ายๆ” เจียงหลีเปลี่ยนเรื่องพูด ใบหน้างดงามหมดจดฉายความกังวล 

 

 

“เจ้าอย่าห่วงเลย นางเด็กคนนั้นแม้จะยังเด็ก แต่ตอนที่เจียงหลินเฟิงยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ชื่นชมนาง จะว่าไปนางก็มีความสามารถในการทำให้ผู้ชายชื่นชอบอยู่ไม่น้อย” มารดาของเจียงอวี๋เอ่ยประชดเสียงเย็น 

 

 

เจียงอวี๋เตือนกันและกันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่ ทำไมจู่ ๆ จึงเอ่ยชื่อท่านลุงล่ะเจ้าคะ” 

 

 

“ข้าเอ่ยชื่อเขาแล้วยังไงล่ะ คนก็ตายไปแล้วยังจะไม่ให้พูดถึงอีกเหรอ เหอะ! ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ท่านพ่อของเจ้า น้องชายของเจ้าก็คงไม่ต้อง…ไม่ต้อง…” นางพูดถึงคนในครอบครัวออกมาอย่างยากลำบาก อีกทั้งยังร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม 

 

 

นางเกลียดชังคนในเรือนใหญ่ยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะเจียงหลินเฟิง ตระกูลเจียงก็ยังคงอยู่เหนือคำฟ้า แล้วจะมาอาศัยชายคาคนอื่นซุกหัวนอนที่ซูหนานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร นางกลับลืมไปแล้วว่าชื่อเสียงหน้าตาของตระกูลเจียงได้มาเพราะขุนนางใหญ่อย่างเจียงหลินเฟิง! 

 

 

ฉะนั้นหลังจากการตายอย่างลึกลับของพี่สะใภ้ใหญ่ ฮูหยินรองจึงทำลายการแต่งงานของเจียงหลี อีกทั้งยังขายนางไปเป็นทาส ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเจียงหลี นางจะแย่งเอามาเป็นของลูกสาวนางให้หมด 

 

 

อีกทั้งยังแอบจ้างให้คนไปสืบหาร่องรอยของเจียงเฮ่า ลูกชายของนางตายไปแล้ว แล้วลูกชายของเจียงหลินเฟิงยังจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร 

 

 

ภายใต้ผืนผ้าที่กำลังซับน้ำตาได้บดบังความเกลียดชังเข้ากระดูกดำของฮูหยินรองเจียง 

 

 

“ท่านแม่อย่าได้เสียใจเลย” เจียงหลีเดินไปข้างๆ ประคองท่านแม่เอาไว้ 

 

 

“ท่านน้า หักห้ามใจเสียเถิด อย่าอาลัยอาวรณ์เลย” เย่ว์หนานซีปลอบไปหนึ่งประโยค เพียงเพราะว่าเรื่องที่นางเหอซื่อกล่าวมาเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจนัก ฉะนั้นคำพูดปลอบใจของเขามิได้มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ด้วยสติปัญญาของนางเหอซื่อ ทำไมถึงฟังไม่ออกว่าเย่ว์หนานซีพูดแบบขอไปที 

 

 

แต่ทว่า ตอนนี้พวกนางสองแม่ลูกกำลังอาศัยชายคาตระกูลเย่ว์อยู่ ยังไม่สามารถล่วงเกินได้ตามอำเภอใจ ฉะนั้นนางจึงไม่ได้เปิดเผยธาตุแท้ออกมา 

 

 

นางเหอซื่อแววตาวูบไหว เช็ดน้ำตาจนเหือดแห้งแล้วยิ้มตอบ “ดูข้าสิ คิดถึงเรื่องพวกนี้อีกแล้ว” 

 

 

สามคนเดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุด ในที่สุดก็เดินมาถึงหน้าประตูจวนตระกูลลู่จนได้ 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด