ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 117 ข้าชอบให้หลีเอ๋อร์ปกป้องข้า

อ่านนิยายจีนเรื่อง ราชินีพลิกสวรรค์ ตอนที่ 117 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“สิ่งที่องค์หญิงเปล่งวาจาออกมา มิได้มองว่าตระกูลลู่ของข้าอยู่ในสายตาเลย!” พระชายาลู่ลุกขึ้นยืนด้วยความสง่างามและเต็มไปด้วยความสูงส่งในคำพูดของนาง

 

 

พระชายาลู่รู้ดีแก่ใจว่าฮ่องเต้แห่งโฮ่วจิ้นคงไม่เห็นด้วยกับคำขอที่ไร้เหตุผลเช่นนั้นจากองค์หญิงน้อยแห่งรัฐฉู่อย่างแน่นอน จุดประสงค์เดียวของเขาคือ ทำให้ตระกูลลู่ต้องอับอายเพียงเท่านั้น

 

 

ทว่า นางก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อปกป้องบุตรชายของนาง

 

 

เจียงหลีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ นาง ก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เช่นกัน แววตาที่เย็นชากวาดขึ้นไปที่แท่นสูงซึ่งมีคนสวมชุดสีเหลืองสดใสและสวมมงกุฎมังกรนั่งอยู่

 

 

ส่วนองค์หญิงแห่งรัฐฉู่นั่น

 

 

ถูกนางเพิกเฉย

 

 

“พระชายาลู่ ชิงชิงเพียงล้อเล่นเท่านั้น” มู่เจิ้งเฟิงยิ้มจางๆ และกล่าวอย่างไม่แยแส

 

 

น้ำเสียงนั่นปนความเอาอกเอาใจอยู่ด้วย ทำให้การแสดงออกของฉู่เฟยชิงยิ่งพึงพอใจนักแล้วมองไปที่ลู่เจี้ยและสายตาก็เต็มไปด้วยชัยชนะ “เจ้ากลับไปกับข้า เจ้าอยากได้อะไร ข้าจะจัดหาให้แก่เจ้าทั้งสิ้น”

 

 

นางไม่แยแสกับคำพูดของพระชายาลู่และเอ่ยกับลู่เจี้ยโดยตรง

 

 

กำเริบเสิบสาน! ช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก!

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึง

 

 

แม้แต่ฮ่องเต้ของพวกเขา ก็ไม่พูดจาโจ่งแจ้งเช่นนี้

 

 

องค์หญิงแห่งรัฐฉู่ ถือว่าลู่เจี้ยเป็นบุคคลยอดนิยมของสถานที่เริงรมย์เหล่านั้นจริงๆ หรือ

 

 

“ขอบพระทัยสำหรับความเมตตาขององค์หญิง รัฐฉู่อยู่ห่างไกลออกไปมากและร่างกายของเจี้ยก็อ่อนแอนัก ไม่สะดวกที่จะเดินทางระยะไกล ความเมตตาจากองค์หญิง ข้าคงไร้ซึ่งวาสนาที่จะรับไว้ได้” ลู่เจี้ยกล่าวด้วยเสียงเรียบ

 

 

ถูกทำให้อัปยศอดสูเช่นนี้ กลับมองไม่ออกว่ากำลังมีความสุขหรือโกรธเคืองอยู่

 

 

สิ่งนี้ทำให้แววตาของมู่เจิ้งเฟิงขุ่นมัว นายน้อยลู่ แม้ว่าจะขี้โรค แต่กลับรับมือยากเช่นนี้เชียวหรือ

 

 

“เจ้าอย่ากังวลไป ตราบใดที่เจ้ายอมตกลงไปกับข้า ข้าก็จะพาเจ้าไปยังรัฐฉู่อย่างสะดวกและปลอดภัยเอง” ฉู่เฟยชิงฟังคำปฏิเสธของลู่เจี้ยไม่เข้าใจ

 

 

ลู่เจี้ยละสายตาลงและเผยรอยยิ้มที่ไม่สามารถอธิบายได้พุ่งออกมาจากมุมปากแล้วหยุดพูด

 

 

“เจ้า!” พระชายาลู่โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก

 

 

ท่าทีของฮ่องเต้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเจตนาตามใจองค์หญิง นางจะปกป้องบุตรชายของตนจากตำหนักบุปผานี้อย่างไรดี

 

 

“ชิงชิง อย่าพาลหาเรื่องเลย” ฉุนกุ้ยเฟยเอ็ดเบาๆ

 

 

ฉู่เฟยชิงหันไปมองนาง “เสด็จอาเพคะ คนที่รูปงามเช่นนี้ อาศัยอยู่ที่โฮ่วจิ้นนานมาแล้ว กลับรัฐฉู่กับข้าก็ไม่เห็นเป็นอะไรหนิเพคะ”

 

 

“ชิงชิง เจ้าเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน จะพาผู้ชายกลับไปได้อย่างไร หากท่านพี่ทรงทราบเรื่องเข้า คงต้องลงโทษเจ้าเป็นแน่” ฉุนกุ้ยเฟยกล่าวด้วยความโมโห

 

 

ฉู่เฟยชิงยังคงไม่ยอมแพ้ “ข้าจะเอากลับไปดูเล่นไงเพคะ!”

 

 

“…”

 

 

นี่คือคำพูดที่ควรพูดออกมาหรือ

 

 

เอากลับไปดูเล่นหรือ นี่คือคน ไม่ใช่สิ่งของ!

 

 

ทุกคนต่างพูดไม่ออก ทำให้พวกเขาต้องทำความเข้าใจกับองค์หญิงน้อยแห่งรัฐฉู่ที่หยิ่งผยองนี้เสียใหม่

 

 

“กุ้ยเฟยที่รักของข้า เจ้าอย่ากังวลไปเลย” มู่เจิ้งเฟิงกล่าวขัดจังหวะพูดของฉุนกุ้ยเฟย

 

 

แววตาของฉุนกุ้ยเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมกับหยุดพูด แต่ดวงตาของนางไม่สามารถละสายตาจากลู่เจี้ยไปได้

 

 

การกระทำเช่นนี้ แม้จะหลบซ่อนมู่เจิ้งเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าของนางได้ แต่หลบไม่พ้นเจียงหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ พระชายาลู่ไปได้ แววตาเขินอายและชื่นชมเช่นนั้นทำให้เจียงหลีเข้าใจทันทีว่าฉุนกุ้ยเฟยที่อยากช่วยอยู่นั้น ก็มิได้มีเจตนาที่ดีเลย

 

 

เพียงแต่ว่า หากฮ่องเต้โฮ่วจิ้นรู้ว่าสนมอันเป็นที่รักของตน ก็ชื่นชมคนที่เขาอยากทำให้อับอายเช่นกัน แล้วเขาจะรู้สึกเช่นไร

 

 

เจียงหลียิ้มออกมาทันทีและกล่าวกับพระชายาลู่ที่อยู่ข้างๆ ว่า “พระชายาเพคะ สนมท่านนี้ช่างดีกับนายน้อยของพวกเราจริงๆ เลยเพคะ นางก็ไม่ได้เต็มใจให้นายน้อยกลับไปพร้อมกับองค์หญิงแห่งรัฐฉู่เพคะ”

 

 

คำพูดเฉกเช่นคำพูดของเด็กๆ ไม่ควรถือสา

 

 

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พูดคำนั้นออกไป ทุกคนต่างก็ตะลึงงัน หรือแม้แต่พระชายาลู่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉุนกุ้ยเฟย

 

 

มู่เจิ้งเฟิงหันหน้าไปมองหญิงงามที่อยู่ข้างหลังด้วยแววตาที่เศร้าหมอง ประจวบเหมาะที่จะใช้เวลานี้มองดูความตื่นตระหนกจากแววตาของนาง

 

 

“ฝ่าบาทข้า…ข้ามิได้…” ฉุยกุ้ยเฟยอยากอธิบาย

 

 

แต่ทว่า คำพูดที่นางเพิ่งจะเกลี้ยกล่อมฉู่เฟยชิงไปและยังติดอยู่ที่ข้างหู บัดนี้ จะอธิบายอย่างไรก็ไร้ซึ่งน้ำหนักแล้ว

 

 

“ฮึ่ม” มู่เจิ้งเฟิงตะคอกอย่างเย็นชา สีหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเล็กน้อย

 

 

เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเหยียดหยามลู่เจี้ย แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าพระสนมของตนจะแทงข้างหลังเขาเช่นนี้

 

 

มู่เจิ้งเฟิงมองไปที่ผู้คนในท้องพระโรงที่อยู่ด้านล่างอีกครั้ง สายตาที่หลบเลี่ยงทำให้เขารู้สึกขัดลูกหูลูกตาเป็นพิเศษ ดูเหมือนว่าด้านบนศีรษะจะถูกสวมหมวกสีเขียว ถูกสวมเขาไปเสียแล้ว

 

 

“ขอขอบพระทัยฉุนกุ้ยเฟยเป็นอย่างมากเพคะ” พระชายาลู่เข้าใจพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่สง่างาม

 

 

พอนางพูดเช่นนี้ สีหน้าของฉุนกุ้ยเฟยก็เปลี่ยนไปทันที แววตาของนางตื่นตระหนกยิ่งนัก ซึ่งทุกคนดูเหมือนจะรู้สึกว่าแสงสีเขียวเหนือศีรษะของฮ่องเต้พวกเขาได้เพิ่มสีเขียวไปอีกเล็กน้อยแล้ว

 

 

ลู่เจี้ยละสายตาลงและมุมปากของเขาก็โค้งขึ้น เขาชอบมาก ชอบความรู้สึกที่ได้รับการปกป้องจากหลีเอ๋อร์เป็นอย่างมาก

 

 

ดูเหมือนว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ เขาก็พลันคิดถึงแต่เรื่องนั้นไปเสียแล้ว

 

 

ดังนั้น เขาจึงยืนกรานที่จะพาเจียงหลีมางานเลี้ยงของราชสำนักด้วย เพราะเขารู้ว่าหลีเอ๋อร์จะไม่ปล่อยให้เขาต้องอับอายอย่างแน่นอน

 

 

คำพูดปกป้องเพียงประโยคเดียว ดูเหมือนจะทำให้ความหม่นหมองในใจของเขาจางหายไปแล้ว ใช่! ต่อให้นางทำเพื่อพลังนั้นแล้วเจตนาเข้าใกล้ข้าแล้วจะอย่างไรเล่า ขอเพียงแค่เป็นประโยชน์ต่อนาง ก็เพียงพอแล้ว

 

 

“ทุกคนก็ล้วนรักของสวยงามกันทั้งนั้น เขาสง่างามเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องปกติที่กูกูของข้าจะชอบเขา” ฉู่เฟยชิงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดเพี้ยนไป จึงรีบช่วยพูดแทนอาหญิงของตน

 

 

เพียงแต่พอนางพูดถึงเพียงเท่านี้ ทั้งตำหนักบุปผากลับเงียบสงบลงอย่างแปลกประหลาด ซึ่งแทบจะทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

 

 

สีหน้าของมู่เจิ้งเฟิงยิ่งอยู่ยิ่งหม่นหมองและดูแย่ลงไปเรื่อยๆ ฉุนกุ้ยเฟยดึงฉู่เฟยชิงไว้อย่างร้อนใจ “ชิงชิง เจ้าหยุดพูดได้แล้ว”

 

 

“กูกู ข้าช่วยท่านอยู่นะเพคะ!” ฉู่เฟยชิงกล่างอย่างงวยงง

 

 

“พอได้แล้ว!” มู่เจิ้งเฟิงอดไม่ได้ที่จะตะโกนด้วยความโมโห

 

 

เขามองไปที่ร่างเล็กข้างๆ พระชายาลู่ด้วยแววตาดุดัน “เจ้าเป็นใครกัน” นางคือต้นตอของปัญหา

 

 

เจียงหลียิ้มเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวอย่างไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนเกินไป “ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ตัวน้อยๆ ของตระกูลลู่เพคะ”

 

 

ขณะนี้ ข้าหลวงมองไปที่เจียงหลีอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งทำให้ประหลาดใจเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปกระซิบข้างหูมู่เจิ้งเฟิง

 

 

มู่เจิ้งเฟิงหรี่ตาทั้งสองข้าง แสงอันดุดันสะท้อนผ่านดวงตา “เจ้าเป็นบุตรสาวของเจียงหลินเฟิงนี่เอง แล้วไปเป็นสาวใช้ของตระกูลลู่ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

 

 

“เกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้นระหว่างนั้น ฝ่าบาทคงไม่อยากฟังเพคะ” เจียงหลียิ้มกล่าวต่อ

 

 

โดยมิได้รู้สึกเคอะเขินจากการถูกเปิดเผยสถานะ

 

 

“ในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นเพียงสาวใช้ ณ ท้องพระโรงแห่งนี้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงพูดออกมาเช่นนั้น”

 

 

เริ่มหาคนมาเอาผิดแล้วหรือ เจียงหลีโต้เถียงในใจ

 

 

นางมิได้เกรงกลัวต่อพลานุภาพของมู่เจิ้งเฟิงเลย แต่กลับเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย

 

 

“หลีเอ๋อร์!” พระชายาลู่ตกใจและรีบเอื้อมมือไปคว้านางไว้

 

 

แต่ทว่า เจียงหลีหลบหลีกอย่างกระฉับกระเฉงพร้อมกับก้าวเดินอกไปอย่างสงบและเยือกเย็นแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าลู่เจี้ย

 

 

ร่างเล็กๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อปกป้องตน แววตาที่แวววาวของลู่เจี้ยเหมือนดั่งการแปรเปลี่ยนอันรวดเร็ว โดยมิอาจคาดเดาได้

 

 

ความอ่อนโยนที่เขาก็ไม่ทันสังเกตปรากฏขึ้นในส่วนที่ลึกที่สุดของดวงตาของเขา

 

 

“หลีเอ๋อร์กลับมา” พระชายาลู่เอ่ยด้วยเสียงทุ่มต่ำและน้ำเสียงแลดูกังวลเล็กน้อย

 

 

ฮ่องเต้เหยียดหยามลู่เจี้ย แต่ไม่ถึงขั้นเอาชีวิตหรอก แต่ทว่า ไม่เหมือนกับเจียงหลี สถานะของนางวางอยู่ตรงนั้นแล้ว หากทำให้ฮ่องเต้เกรี้ยวโกรธ แล้วสั่งตัดคอประหาร ก็คงไม่มีใครว่าอะไรอย่างแน่นอน

 

 

อย่างไรก็ตาม เจียงหลีกลับไม่สนใจคำพูดของพระชายาลู่ เพียงเงยหน้าที่ผอมเรียวขึ้นแล้วมองไปที่คนทั้งสามซึ่งนั่งอยู่ด้านบนสุด

 

 

ที่สุดแล้ว แววตาของนางก็จ้องไปที่ฉู่เฟยชิง…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด