กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 22 เร่งสู่นครซุยหยาง
ราตรีนี้ผ่านพ้นไปท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ ซ่งชูอีขดตัวเป็นวงกลมอยู่ในกลุ่มคน เหม่อมองเม็ดฝนที่ตกลงมาจากนภากว้าง นอนไม่หลับทั้งคืน
นางไม่เคยเป็นห่วงใครสักคนถึงเพียงนี้มานานแล้ว แม้กระทั่งตอนที่อยู่กับหมิ่นฉือก็สามารถเปิดใจกว้างยอมรับความเป็นและความตายได้ อาจเป็นเพราะว่าเจ้าอี่โหลวเชื่อใจนางอย่างง่ายดายมากกระมัง! ซ่งชูอีครุ่นคิดตลอดคืน รู้สึกว่าตัวเองคงไม่ได้เป็นห่วงเขาเพียงเพราะรูปร่างที่งดงามของเขา
ครั้นท้องฟ้าสดใส กองทหารจัดระเบียบใหม่และจากไป ที่นี่มีฝูงหมาป่าหลอกหลอน ไม่เหมาะสมแก่การอยู่นานๆ
เมื่อวานหลังจากจี๋อวี่ได้รับคำชี้แนะจากซ่งชูอีกับจางอี๋แล้วก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง แม้รัฐเว่ย์มีขนาดเล็ก ก็ใช่ว่าจะถูกล้มโดยง่าย มิเช่นนั้นคงไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้เป็นเวลาหลายปีแม้สถานะอ่อนแอ
“พี่ตวนหรง ข้ากับเจ้าแยกกันตรงนี้เถิด” ซ่งชูอีลุกขึ้นประสานมือคารวะ
จางอี๋มองนางด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่ตามพวกเขาไปหรือ?”
“ข้าคิดจะไปตามหาในละแวกใกล้เคียง หากมีชีวิตจักต้องเห็นคน หากตายจักต้องเห็นศพ” ซ่งชูอีเอ่ย
หากตายแล้วจริงจะเหลือศพได้เยี่ยงไรกัน คงถูกฝูงหมาป่ากินเป็นอาหารนานแล้ว จางอี๋ไม่สามารถเอ่ยเช่นนี้ออกมาได้ ทำได้เพียงกล่าวโน้มน้าว “ที่นี่มีฝูงหมาป่า เจ้าตัวคนเดียวเป็นตายยากจะคาดเดา ตามพวกเขาไปจะดีกว่ากระมัง”
“หมาป่าพักผ่อนในยามกลางวันและออกหากินยามกลางคืน ข้าจะแค่ตามหาในละแวกนี้เพียงสองสามชั่วยาม หากไม่พบก็จะไปจากที่นี่” ซ่งชูอีกล่าว แล้วเดินไปหาจี๋อวี่
จี๋อวี่รู้ถึงที่มาที่ไปก็ยิ่งมีความสนใจในตัวซ่งชูอียิ่งขึ้น การอยู่ต่อเพื่อตามหาคนนั้นง่าย แต่ว่าในป่าแห่งนี้ มีแต่อันตรายที่ไม่อาจคาดเดาทั่วทุกที่ อีกทั้งหากเดินผิดทางก็อาจจะยิ่งเข้าไปในป่าลึก และอาจไม่มีวันพบทางออกอีก การทำเช่นนี้จำต้องมีความกล้าหาญและจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง
จี๋อวี่คิดเอาเองว่าซ่งชูอีเป็นคนที่รักพวกพ้องมาก แต่จางอี๋รู้ดี พวกเขารู้จักกันไม่ถึงหนึ่งเดือน แม้กระทั่งตอนที่ซ่งชูอีเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเจ้าอี่โหลวแล้วก็ไม่ประหลาดใจเท่าเขา นี่ไม่ใช่เป็นการพบกันโดยบังเอิญ หากแต่เป็นความใจกว้างของนางที่ไม่ยี่หระต่อความเป็นความตายต่างหาก
จี๋อวี่เม้มปากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ประสานมือคารวะเอ่ย “ไม่ทราบว่าท่านหวยจินเต็มใจที่จะเป็นที่ปรึกษาให้แก่รัฐเว่ย์ของข้าหรือไม่? ถ้าหากท่านเต็มใจ ทหารสองพันนายของข้าจะทำเต็มความสามารถเพื่อค้นหาคนของท่านให้พบ”
รัฐเว่ย์มิอาจรักษาผู้มีความสามารถไว้ได้ และจี๋อวี่ไม่สามารถปล่อยโอกาสที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ให้หลุดมือ แต่ละรัฐล้วนมีวิธีของตนเองเพื่อคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์โดยจะปฏิบัติต่อแขกเหรื่อผู้มียศสูงส่งด้วยความใจกว้างเป็นพิเศษ ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ รัฐใหญ่เหล่านั้นมีกำลังการต่อสู้สูง ซึ่งยิ่งทำให้พวกเขาสามารถยึดครองพื้นที่ได้มากขึ้น
“ท่านช่างเป็นผู้มีใจจงรักภักดี” ซ่งชูอีประสานมือคำนับ พร้อมเงยหน้ามองผู้ชายคนนั้นที่สูงกว่านางเกินหนึ่งช่วงศีรษะ “ได้! แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่ชอบเอาเปรียบผู้ใด ข้าจะไปเพื่อการเจรจาในคราวนี้ ส่วนท่านก็อยู่ที่นี่ช่วยข้าตามหาคน เช่นนี้ยุติธรรมหรือไม่?”
ในโลกใบนี้ไม่มีการเอาเปรียบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด รับของคนอื่นมาก็จักต้องคืน ดังนั้นตั้งแต่ไรมาซ่งชูอีจึงรับเพียงสิ่งที่นางสามารถคืนกลับได้เท่านั้น
จี๋อวี่ตั้งใจที่จะเป็นหนี้บุญคุณซ่งชูอีอยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่า นอกเหนือจากจางอี๋ นางคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ที่นี่ล้วนมีเพียงคนธรรมดา เขารู้เพียงการสั่งทหารสู้รบ วิธีที่จะทำให้ซ่งทีเฉิงจวินประทับใจอย่างหมดจดงดงามนั้นต้องอาศัยความรู้และวาทะศิลป์ ไม่ใช่เพียงแค่ส่งหญิงงามแล้วซ่งทีเฉิงจวินจะรับปาก
“เช่นนั้นก็ลำบากท่านหวยจินแล้ว!” จี๋อวี่โค้งคำนับ
จางอี๋เอ่ย “ข้าไปกับเจ้าเถิด”
“ท่านจะไปเยี่ยมชมรัฐเว่ย์ของข้าหรือไม่?” จี๋อวี่ก็ต้องการพาจางอี๋ไปเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเสียจางอี๋คือศิษย์สำนักกุ่ยกู๋จื่อ คงไม่เห็นรัฐเว่ย์ที่เล็กจ้อยอยู่ในสายตา
จางอี๋เข้าใจในเจตนาของเขา เอ่ยขึ้น “ที่ข้าไม่ไปรัฐเว่ย์ ใช่ว่าเพราะรัฐอ่อนแอหรือเพราะเป็นรัฐเล็ก แต่เพราะเว่ย์โหวไร้หัวใจที่จะต่อสู้ ข้าได้ยินมาว่าช่วงหลังเว่ย์โหวลดตำแหน่งตัวเองมาเป็นจวินงั้นรึ?”
จวินแห่งรัฐเว่ย์ ลดตำแหน่งจากเว่ย์อ๋องเป็นเว่ย์โหว ตอนนี้ตนกลับรู้สึกว่าแม้แต่ตำแหน่งโหวก็มิอาจเป็นได้แล้ว จึงคิดจะลดตำแหน่งเป็นเว่ย์จวิน
“แม้แต่เว่ย์ยาง บัดนี้อยู่ในรัฐฉินก็เป็นซังจวินแล้ว” จางอี๋กล่าวด้วยความนุ่มนวล
เว่ย์ยาง หรือเรียกว่า กงซุนยาง บัดนี้ถูกเรียกว่า ซางยาง เขามีแซ่จี “เว่ย์” นี้หมายถึงรัฐเว่ย์ “กงซุน” นั้นเป็นการบ่งบอกว่าเป็นลูกหลานแห่งราชสำนัก เป็นทายาทของจวินแห่งรัฐเว่ย์ ไม่ว่าจะเป็น “เว่ย์” “กงซุน” หรือ “ซัง” ล้วนเป็นสกุล ซึ่งอาจถูกเรียกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์
ความหมายของจางอี๋ก็คือ เว่ย์ยางที่เดินออกไปจากรัฐเว่ย์ก็ยังใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองไต่เต้าเป็น “จวิน” ได้ แต่เว่ย์โหวคือจวินอ๋องโดยชาติกำเนิด แต่หลังจากลดขั้นตัวเองมาครั้งหนึ่งแล้ว กลับไม่คิดหาทางที่จะทำให้บ้านเมืองแข็งแกร่ง หากยังคิดที่จะลดขั้นตัวเองอีกครั้ง ครั้นเขาได้ยินเรื่องของซังจวิน ไม่รู้สึกว่าพฤติกรรมของตนน่าละอายไปหน่อยหรือ?
คำพูดของจางอี๋ดูเหมือนไม่หนักหนาเลยสักนิด ที่จริงคนที่ฟังเข้าใจ เกรงใจว่าอาจจะรอไม่ไหวที่จะขุดหลุมฝังตัวเองเลยทีเดียว
จี๋อวี่ถูกว่าจนหน้าชาก็ไม่กล้าชักชวนอีก หันไปมองซ่งชูอี กลัวว่านางจะกลับคำ จึงเอ่ยเพื่อให้มั่นใจอีกครั้ง “หากท่านหวยจินก็คิดเช่นเดียวกัน เช่นนั้นแล้ว ท่านจะเต็มใจไปรัฐเว่ย์กับข้าหรือไม่?”
ซ่งชูอีรวบแขนเสื้อ ครุ่นคิดในใจ ‘นี่มันอะไรกัน คนที่ไร้อนาคตกว่าเว่ย์โหวเช่นข้าก็เคยช่วย…แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วเรื่องจะกระจ่าง ดินเหนียวไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถยึดเกาะกำแพงได้’
“คำพูดของลูกผู้ชายกล่าวแล้วไม่คืนคำ” ซ่งชูอีกล่าว ถึงอย่างไรนางก็มิได้รับปากว่าจะอุทิศทั้งชีวิตให้กับรัฐเว่ย์
หลังจากทั้งสามคนเจรจาต่อรองกันแล้ว จี๋อวี่ก็มอบหมายให้ผู้อารักขาที่ไว้ใจได้สองนายปกป้องซ่งชูอีและจางอี๋ไปถึงซุยหยาง ซ่งชูอีจำได้ว่าที่นี่ค่อนข้างไกลจากนครเมืองแห่งรัฐซ่ง หากเดินทางด้วยม้าต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวัน
เมื่อฟ้าสว่าง ฝนก็ค่อยๆ หยุดตกแล้ว ซ่งชูอีสวมเสื้อคลุมฝนฟางเรียบง่ายชั้นหนึ่ง เสื้อผ้าเปียกชื้นบนร่างกายทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกท่ามกลางสายลม อีกทั้งร่างกายอันอ่อนเยาว์ของนางนั้นอ่อนแอเกินคาด เดินยังไม่ถึงครึ่งวัน ทั้งตัวก็ราวกับว่าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผิวหนังที่ขาก็แตกระแหง เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยโคลน จนถึงเวลาพลบค่ำ ผู้คนจำนวนหนึ่งต่างรีบร้อนเข้าเมืองระหว่างที่ประตูเมือง
ซุยหยางกำลังปิดลง โชคดีที่ซ่งชูอีให้ผู้อารักขาสองนายทิ้งเสื้อเกราะผู้พิทักษ์และเสื้อผ้าอันโดดเด่นไปแล้ว เหลือเพียงเสื้อผ้าเรียบง่ายชั้นหนึ่ง อาจจะเย็นสักหน่อย แต่หลังจากผ่านการตรวจค้นก็สามารถเข้าเมืองได้อย่างง่ายดาย
สองข้างทางมีต้นไม้ประปราย บัดนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ใบไม้เหี่ยวเฉา ใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นส่งเสียงซูซ่าขณะที่สายลมพัดผ่าน ร้านค้าและบ้านเรือนสองข้างเรียงกันเป็นแถว แม้ว่าซุยหยางเทียบกับเมืองใหญ่เช่นลั่วหยาง ต้าเหลียง หลินจือ หรืออานอี้ไม่ได้ แต่ว่าแผ่นดินของรัฐซ่งนั้นอุดมสมบูรณ์ ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ร่ำรวยมั่งคั่ง เมืองหลวงก็ย่อมไม่เลวร้ายเป็นธรรมดา
หลังจากที่ซ่งชูอีฟื้นคืนชีพ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเมืองใหญ่ แม้ว่าฟ้ามืดแล้ว ผู้คนบนถนนบางตา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกตื่นเต้นของนางได้
พวกเขาเดินอย่างเชื่องช้าบนถนนอันกว้างใหญ่ ซ่งชูอีเอ่ยขึ้น “อยากไปแวะคารวะเถาติ้งกับข้าหรือไม่?”
เถาติ้งเป็นขุนนางชั้นสูงแห่งรัฐซ่ง สามารถพูดจาต่อหน้าซ่งทีเฉิงจวินได้ ที่สำคัญที่สุดคือเถาติ้งเป็นศิษย์สำนักขงจื้อ ใช้คุณธรรมปกครองประเทศตามหลักของขงจื้อที่ว่า ‘เหรินอี้หลี่ซิ่น’ หรือความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ความเที่ยงธรรมถูกต้อง พิธีการความเคารพ และความเชื่อใจต่อกันเสมอมา ซ่งชูอีเลือกที่จะไปแวะคารวะเขา ก็เพื่อกำหนดทิศทางของเนื้อหาในการเจรจานี้ด้วย
“หากมีเรื่องน้อยก็จะทุกข์น้อย” เห็นได้ชัดว่าจางอี๋ไม่ยินดีที่จะเข้าร่วมด้วย “เจ้ารู้เรื่องขุนนางผู้ทรงอำนาจในแต่ละรัฐไม่น้อยทีเดียว”
………………………………
คอมเม้นต์