กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 129 ความทะเยอทะยานของท่าน

อ่านนิยายจีนเรื่อง กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ ตอนที่ 129 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ขณะที่มารับซ่งชูอี อิ๋งซื่อก็ได้ส่งทหารม้ากองหนึ่งอ้อมไปโจมตีนครแห่งรัฐเว่ยโดยสวมรวยเป็นกองทหารหาน

ก่อนหน้านี้ขณะที่ทหารหานเข้าใกล้ในระยะหนึ่งลี้เพราะไล่ล่าซ่งชูอีก็ถูกสงสัยว่าจะบุกเข้าโจมตีแล้ว บวกกับมีรัฐฉินเข้ามาสมทบ ทหารรักษาการณ์ส่วนใหญ่ของรัฐเว่ยนึกว่ารัฐหานใช้แผนการหลอกล่อ ตอนนี้คล้ายกับเสือตัวหนึ่งที่ถูกกระตุกหนวก เตรียมพร้อมที่จะโจมตีกลับได้ทุกเมื่อ

ครั้นซ่งชูอีฟังบทสนทนาของพวกเขาก็พอจะเดาสถานการณ์โดยรวมได้เลือนลาง ในใจคิดว่าอิ๋งซื่อนั้นยอดเยี่ยมมาก ออกมาทั้งทีทว่าไม่เสียเที่ยวเลยจริงๆ

หลังจากเข้าสู่ด่านหานกู่แล้ว อิ๋งซื่อเพียงกล่าวกับซ่งชูอีไม่กี่คำ จากนั้นก็รีบกลับเสียนหยางไป เชออวิ๋นรีบจัดแจงให้

ซ่งชูอีได้พักผ่อนในค่ายทหารรักษาการณ์ รอจนได้ผ่อนคลายสักสองสามวันค่อยออกเดินทาง

เพื่อชำระล้างความวุ่นวายและเหนื่อยล้า ซ่งชูอีนอนขลุกถึงสองวันเต็ม

“ท่านขอรับ” เชออวิ๋นอยู่นอกกระโจม

“เข้ามา” ซ่งชูอีลุกขึ้นมาจากเตียง จากนั้นก็คว้าเสื้อคลุมมาสวม แล้วเดินออกมา

เชออวิ๋นเห็นลักษณะ “หมดสภาพ” ของนางก็อึ้งไปเล็กน้อย ไอแห้งทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ท่านปรมาจารย์แห่งสำนักม่อท่านนั้นพำนักอยู่ไม่ไกล ข้าได้ส่งสารไปให้เขาแล้ว บอกว่าสหายแซ่เจ้าต้องการจะแวะคารวะ อาจจะต้องเดินทางภายในไม่กี่วันนี้”

ซ่งชูอีค้างอยู่ในท่ารินน้ำ เหลือบตาขึ้นมองเขา “เหตุใดท่านไม่ไปบอกเขาเรื่องนี้แต่มาบอกข้า?”

“ข้าเห็นว่าสหายแซ่เจ้าดูเหมือนจะเคารพการตัดสินใจของท่านมากทีเดียว…ฉะนั้นจึงมาแจ้งให้ท่านทราบก่อน” เชออวิ๋นเอ่ย

ซ่งชูอีหาว ขยี้ผมที่ยุ่งเหยิง “มีอะไร ท่านไปบอกเขาก็พอ เขาก็มิใช่บ่าวของข้าเสียหน่อย”

“ขอรับ” เชออวิ๋นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่ทราบว่าท่านตั้งใจจะไปเสียนหยางเมื่อใด?”

“เรื่องนี้…ท่านจวินว่าเยี่ยงไรบ้าง?” ซ่งชูอีถาม

เชออวิ๋นกล่าว “ฝ่าบาททรงตรัสแล้วว่าสุดแล้วแต่ท่าน”

การให้คำตอบที่คลุมเครือเช่นนี้ตัดสินได้ยากที่สุดแล้ว ซ่งชูอีพิจารณา บัดนี้เกรงว่าราชสำนักรัฐฉินกำลังวุ่นวายด้วยเรื่องปฏิรูปกฎหมายใหม่ ซ่งชูอีไม่ใคร่ชำนาญเรื่องนี้เท่าใดนัก หากไปก็คงเปล่าประโยชน์ หากไม่ไป จะไม่เป็นการดูถูกที่อิ๋งซื่อวิ่งมารับนางถึงที่นี่ด้วยตัวเองอย่างยากลำบากหรอกหรือ?

“รออีกสามถึงห้าวันเถิด” ซ่งชูอีกล่าว

นางจะต้องไปอย่างแน่นอน ทว่าหากล่าช้าได้ก็ล่าช้าเถิด หากยิ่งสามารถหลบเลี่ยงความวุ่นวายภายในได้ก็จะยิ่งดี

“ท่านขอรับ” จี้ฮ่วนยืนอยู่นอกกระโจมด้วยสีหน้าเปี่ยมความยินดี

ซ่งชูอีขยี้ตาที่บวมเป่ง ยิ้มเอ่ย “เข้ามา ดีใจเพียงนี้ มีนางฟ้าตกจากสวรรค์หรือ?”

“เปล่าขอรับ ท่านนายพลจี๋กับหนิงยามาแล้ว” จี้ฮ่วนก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา เมื่อเห็นว่าเชออวิ๋นก็อยู่ด้วยจึงกำหมัดคารวะ

“ฮ่วน ไม่มีนายพลจี๋อะไรแล้ว” ซ่งชูอีกล่าว

“ขอรับ ข้าลืมไป” จี้ฮ่วนเพิ่งจะพูดจบ จี้ฮ่วนกับหนิงยาก็อยู่ที่หน้าประตูกระโจมแล้ว

ไม่ทันรอให้จี๋อวี่พูด ซ่งชูอีเอ่ยขึ้นทันที “รีบเข้ามา”

จี๋อวี่ยังคงเดินเป๋ คิดว่าเพราะยังไม่ชินกับการที่ขาดนิ้วเท้าไปสามนิ้ว หากจะบาดเจ็บในสนามรบก็มิใช่เรื่องแปลก ทว่าจี๋อวี่ถูกมาตุภูติที่เขาจงรักภักดีที่สุดเสมอมาทำร้ายถึงขั้นนี้ คงมิได้มีเพียงบาดแผลทางกายแล้ว

“ท่าน” จี๋อวี่ประสานมือเอ่ย

“เชิญนั่ง” ซ่งชูอีมองดูใบหน้าที่เคยหล่อเหลาของเขามีบาดแผลเพิ่มขึ้นมา เอ่ยถาม “อาการบาดเจ็บเป็นเยี่ยงไรบ้าง? ยังเจ็บอีกหรือไม่?”

“ไม่ขอรับ ท่านสั่งข้าจากไปก่อน การเดินทางเป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีอุปสรรคใด” จี๋อวี่เอ่ย

ซ่งชูอีเห็นว่าเคราใต้ขากรรไกรเขายุ่งเหยิงเหมือนวัชพืช สีหน้าก็เศร้าสร้อย ลมหายใจแห่งความกล้าหาญในอดีตลดลงไปบ้างเล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้น “อวี่ เจ้าไปพักผ่อนสักครู่ก่อนเถิด รักษาบาดแผลให้หายดีก่อนค่อยคิดเรื่องอื่น”

“อืม” จี๋อวี่ตอบรับ

หนิงยาไม่รู้ว่าซ่งชูอียังคงขุ่นเคืองนางหรือไม่ จึงหดตัวอยู่ด้านข้างไม่กล้าพูดจา จี๋อวี่ก็ยังเคยพูดถึงนางสองสามอย่าง เขาบอกว่า ซ่งชูอีคนนี้เจ็บป่วยอย่างสมบูรณ์ ทว่ามีข้อดีก็คือนิสัยดี ขอเพียงจงรักภักดีต่อนาง แม้นจะทำเรื่องผิดวิสัยอีกสักเท่าใด นางก็จะไม่ค่อยใส่ใจนัก

หนิงยาก็เข้าใจข้อนี้ดี การปฏิบัติที่นางได้รับจากซ่งชูอีเป็นสิ่งที่สาวใช้ทั่วไปไม่สามารถจินตนาการได้

เชออวิ๋นขอตัวถอยออกไปเพื่อสั่งให้คนจัดแจงสถานที่ให้จี๋อวี่ จี้ฮ่วนเห็นว่าจี๋อวี่ดูเหมือนอารมณ์ไม่ดี จึงตามออกไปปลอบโยนเขา

“ท่านเจ้าคะ” หนิงยาเห็นซ่งชูอีลุกขึ้นเดินไปยังห้องด้านใน ก็รีบหมอบลงไปกับพื้น “ท่านเจ้าคะ บ่าวสำนึกผิดแล้ว”

ซ่งชูอีตอบอืมเสียงเบา กลับห้องไปนอนต่อ

หนิงยาดวงตาแดงก่ำ แม้นท่าทางของซ่งชูอียังคงเย็นชายิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ขานรับนางแล้ว

ไม่รู้ว่าซ่งชูอีนอนอยู่บนเตียงนานเท่าใด ขณะที่ตื่นขึ้นมาภายในห้องก็มืดสนิท พลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่หน้าอก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือลูบคลำ

“ข้าเอง” เจ้าอี่โหลวกล่าว

“เจ้ามีที่พำนักของเจ้ามิใช่หรือ!” ซ่งชูอีเอ่ย

เจ้าอี่โหลวพลิกตัว หันหน้าไปหานาง “ข้านอนไม่หลับ”

“เป็นอะไรไป มีเรื่องในใจรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน

เขาตอบนางด้วยความเงียบงัน

“เจ้าเด็กหมีขี้อาย!” ซ่งชูอีด่าไปคำหนึ่ง หลับตาลงกำลังจะหลับต่อ

ทางเจ้าอี่โหลวพลิกตัวไม่หยุด ซ่งชูอีอดไม่ไหวกดเสียงคำรามต่ำ “พูด! แม่งเอ๊ยเจ้าต้องการจะกลั้นใจตัวเองจนตาย หรือว่าคิดจะทำให้ข้ารำคาญจนตาย!”

“ไม่มีอะไร!” เจ้าอี่โหลวกล่าวด้วยเสียงตึงเครียด

ซ่งชูอีก็มิใช่คนประเภทที่ซักไซ้ไล่เลียงจนถึงที่สุด จึงเงียบสงบตลอดทั้งคืน

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ซ่งชูอีตื่นขึ้นมา เจ้าอี่โหลวก็ไม่อยู่แล้ว

เมื่อมาถึงนอกห้อง หนิงยาเห็นนางก็รีบเอ่ย “ท่านเจ้าคะ องค์ชายทิ้งข้อความให้ท่าน เขากล่าวว่าเขาไปแล้ว”

“เร็วเช่นนี้?” ซ่งชูอีเอ่ย “ติดตามเชออวิ๋นไปงั้นหรือ?”

เมื่อวานเชออวิ๋นยังกล่าวว่าจะไปในอีกไม่กี่วัน เหตุใดจึงกะทันหันนัก ปรมาจารย์ท่านนั้นร้อนใจที่จะรับศิษย์จนรอมิได้เชียวหรือ?

“เจ้าค่ะ” หนิงยากล่าว

ซ่งชูอีพยักหน้า จากนั้นก็ถามต่อ “ไป๋เริ่นเล่า?”

“ก็ตามไปด้วยแล้วเจ้าค่ะ” หนิงยาตอบ

ซ่งชูอีกัดฟัน “เจ้าหมาป่าเนรคุณ!”

หลังจากทำความสะอาดร่างกายและทานอาหารเช้าแล้ว ซ่งชูอีก็ออกมาเดินเล่นรอบๆ ค่ายทหาร ชาวฉินเคารพนักวิชาการเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะซ่งชูอีที่ยังเป็นนักวิชาการผู้ได้รับการยกย่อง ทหารทุกคนจึงเกรงใจนางเป็นพิเศษ

ทิวทัศน์ของรัฐฉินยังดูคุ้นเคยเช่นเดิม แม้นไม่เทียบเท่าความงดงามของที่ราบตอนกลาง ทว่าไม่ว่าภูเขาพงไพรหรือแม่น้ำหุบเขาก็ยังให้ความรู้สึกที่ไร้ขีดจำกัดและทำให้ผู้คนเปิดใจกว้าง

ครั้นเดินมาถึงด้านหลังค่าย ซ่งชูอีก็เห็นบุรุษรูปร่างกำยำสวมชุดธรรมดาผู้หนึ่งยืนอยู่ในทุ่งหญ้าโล่งแจ้ง แผ่นหลังของเขาดูอ้างว้างเล็กน้อย ทว่าราวกับมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่

ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าซ่งชูอีก็ยังเดินเข้าไป หยุดยืนเคียงข้างเขาสักพักก่อนเอ่ยขึ้น “ว่าเยี่ยงไร? รัฐฉินยิ่งใหญ่มากใช่หรือไม่?”

“มันเปิดกว้าง” จี๋อวี่กล่าว

“เมื่อก่อนตอนที่ข้ามองท้องฟ้าเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามนุษย์ตัวเล็กจ้อยเหลือเกิน จึงตัดสินใจที่จะเล่นกับมันด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี เพื่อกุมใต้หล้าให้อยู่ในมือของข้า” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย

จี๋อวี่คล้ายมีความเคลื่อนไหว หันมองนางพร้อมเอ่ย “ความทะเยอทะยานของท่านอยู่ไกลเกินเอื้อมของคนทั่วไป”

ซ่งชูอีส่ายหน้า เอามือสอดไว้ในแขนเสื้อโน้มตัวเข้าหาเขา กระซิบเอ่ย “ความทะเยอทะยานอะไรกัน ช่วยเหลือผู้คนเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ มันเป็นเพียงความสบายใจของข้า”

ซ่งชูอีพูดจบ ยกแขนเสื้อขึ้นกล่าว “เจ้าดูทิวทัศน์อันกว้างใหญ่นี้เถิด หากไม่เล่นกับมันเสียหน่อย ไม่รู้สึกว่าเสียชาติเกิดหรอกหรือ!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด