พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง – บทที่ 67 ปันสุข

อ่านนิยายจีนเรื่อง พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง ตอนที่ 67 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.
บทที่ 67 ปันสุข

ตลาดตงแสนคึกคัก ที่ซึ่งไม่ใช่สถานที่ค้าขายประจำสำหรับพ่อค้าอู๋ ตลอดทั่วชุมชน เขาเดินตะโกนขายของเพื่อเลี้ยงชีพ

พ่อค้าอู๋วางคานหาบลง เช็ดเหงื่อด้วยแขนเสื้อ แล้วหยุดพัก

ชั้นวางด้านใน สิ่งที่ควรจะมีก็มีครบหมด ตั้งแต่เครื่องสำอางค์ ของเล่น ผลไม้ดอง เข็ม ด้าย ยันลวดเงิน

เสียงเด็กร้องดังมาจากในบ้าน

ลูกค้ามาแล้ว พ่อค้าอู๋กระตือรือร้นขึ้นทันทีและเขย่าป๋องแป๋งเสียงดัง

“พ่อค้า มาทางนี้”

หญิงมีอายุทั้งสองจับมือเด็กไว้ แล้วโบกมือเรียก

พลิกหยิบสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในหาบขึ้นลง เพื่อหยอกล้อให้เด็กน้อยดีใจ เด็กอายุราวสามสี่ขวบก็ปีนหาบเพื่อหยิบจับอย่างอยากรู้อยากเห็น

“กินผลไม้ดองไหม” หญิงมีอายุพูดพร้อมกับพลิกหาออกมาสองถึงสามห่อ “เฮ้ นี่คืออะไรหรือ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

“บนห่อมีตัวหนังสือด้วย เขียนว่าอะไรหรือ” หญิงมีอายุอีกคนก็เข้ามาถาม

พ่อค้าอู๋มองไป พลันนึกขึ้นได้ทันที

เป็นของขวัญที่ได้มาจากวัดเสวียนเมี่ยวเมื่อวานนี้

เรียกว่าอะไรหรือ

เทศกาลไหว้พระจันทร์ อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน…

“ขนมไหว้พระจันทร์” เขากล่าว “นี่เป็นของขวัญจากวัดเสวียนเมี่ยว เซียนหญิงที่ประจำที่นั่นบอกมาว่า วันไหว้พระจันทร์กินขนมนี้มีความหมายว่าการอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า เจ้าลองดูสิ ทรงกลมเหมือนพระจันทร์เลย”

หญิงมีอายุหยิบขึ้นมาไว้ในมือโดยไม่ได้สังเกตอย่างละเอียด ก็ถูกเด็กที่อยู่ข้างๆ คว้าไปแล้วฉีกกระดาษเคลือบน้ำมันออก

“มีดอกไม้ มีดอกไม้” เด็กน้อยคนนั้นมองขนมไหว้พระจันทร์ในมือแล้วตะโกนออกมา พร้อมกับอ้าปากกัดขนมนั่น

“ไอ้หยา กินได้หรือไม่นี่” หญิงสาวอุทาน แต่ก็สายเกินไปแล้ว ขนมที่กัดไปแล้วคำหนึ่งไม่สามารถส่งคืนให้กับพ่อค้าได้ นางจึงต้องจ่ายเงินอย่างไม่เต็มใจ “เท่าไหร่หรือ”

“แม่นาง ขอคำพูดเพียงเท่านี้ ก็ไม่คิดเงินแล้ว นี่เป็นของขวัญจากทางวัดเต๋า ถือว่าแบ่งปันความสุขแล้วกัน” พ่อค้าอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม

คำพูดนี้ถึงกับทำให้หญิงมีอายุทั้งสองดีใจมีความสุข พวกเขาเลือกซื้อด้ายอยู่หลายเส้นแล้วก็จ่ายเงิน

ผู้หญิงเหล่านี้ หากเอาเปรียบได้ ก็มักจะทำเช่นนี้อยู่เสมอๆ พ่อค้าภูมิใจเล็กน้อยแล้วแบกหาบขึ้นพร้อมกับเขย่าป๋องแป๋งตะโกนขายของ แล้วก็เผชิญหน้ากับชายชราร่างท้วมที่เดินเซไปมา เด็กน้อยที่อยู่ห่างไกลออกไปเมื่อเห็นจึงตะโกนเรียก

“ท่านปู่ ท่านปู่”

ชายร่างท้วมรีบเร่งฝีเท้าแล้วอุ้มเด็กที่กำลังวิ่งมา เด็กน้อยยกขนมไหว้พระจันทร์ที่อยู่ในมือขึ้น แล้วถูเต็มหน้า

“นี่คืออะไรหรือ” ชายชรายิ้มกล่าว

“คือพระจันทร์” เด็กน้อยตะโกน ซึ่งจำคำที่เพิ่งจะได้ยินได้

“หา” ชายชราเอ่ยด้วยความประหลาดใจ เด็กน้อยยกขนมไหว้พระจันทร์จนถึงมุมปากเขาแล้ว

“อร่อยมาก อร่อยมาก” เขาตะโกน

ชายชราอ้าปากแล้วกัดไปหนึ่งคำ ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นทันที

“เฮ้” เขาพูดพลางกินขนมไปอีกสองสามคำ แต่เขารู้สึกว่าอยากจะกินต่อ จึงกัดเพิ่มอีกหนึ่งคำ “ไม่เลว ไม่เลว ไม่เลว”

 เด็กที่อยู่ในตรอกซอยร้องไห้เสียงดัง

“ท่านปู่กินพระจันทร์ของข้าหมดแล้ว…”

“เด็กดี เด็กดี ไว้ปู่จะซื้อให้เจ้าอีก…พ่อค้า พ่อค้า…พ่อค้าเดินทางปลอดภัย…”

ขณะที่ นายน้อยเฉิงสี่เดินเข้าไปในลานกว้าง สาวใช้หลายคนรวมตัวพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

นายน้อยเฉิงสี่ไม่พอใจเล็กน้อย จึงกระทืบเท้า ทำให้เหล่าสาวใช้รีบแยกย้ายกันออกไป

“วันนี้ท่านชายกลับมาเร็วนะเจ้าคะ” ชุนหลานรีบเข้าไปกล่าวทักทาย แล้วรับเสื้อคลุมของนายน้อยเฉิงสี่มา

“ประเดี๋ยวจะมีแขกมา” นายน้อยเฉิงสี่กล่าว

“เจ้าค่ะ” ชุนหลานขานตอบ

“ชาหรือเหล้าเจ้าค่ะ” นางเอ่ยถาม

“ชา” นายน้อยเฉิงสี่กล่าว พร้อมกับก้าวเข้าไปในบ้าน ชุนหลานก็เดินตามเข้าไป

“ท่านชายเจ้าคะ” นางลังเลชั่วครู่และอดไม่ได้ที่จะพูด “ที่วัดเสวียนเมี่ยว เปลี่ยนสาวใช้อีกแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม” นายน้อยเฉิงสี่กล่าว โดยไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูดไปชั่วครู่

“วัดที่เฉิงเจียวเหนียงอาศัยอยู่ สาวใช้ที่มาทำหน้าที่แทนปั้นฉินก็ไปแล้วเจ้าค่ะ” ชุนหลานพูดอย่างรีบร้อน เมื่อพูดแล้วก็หยุดไม่ได้ “จริงๆ แล้ว เมื่อวานที่นายท่านเรียกนางมาพบก็เพื่อจะส่งไปจวนของท่านผู้เฒ่าจาง บอกว่าทำขนมหวานถูกปากเจ้าค่ะ”

นายน้อยเฉิงสี่ผงะไปชั่วขณะ เปลี่ยนคนแล้วก็ถูกคนอื่นเอาไปอีกแล้วหรือ

เหตุใดเจียวเหนียงบ้านั่นถึงไม่สามารถรักษาสาวใช้ไว้ได้เลย เหตุใดถึงแย่งกันเช่นนี้

“ท่านชายเจ้าคะ คุณชายของตะกูลจางมาแล้วเจ้าค่ะ”

เสียงจากข้างนอกประตูขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขาทั้งสอง

“พี่สาว ของว่างแค่นี้ไม่พอหรอก”

สาวใช้ในบ้านพูดพลางมองไปที่จานของว่าง

“ตรงนี้ยังมีอีกหลายอย่าง” สาวใช้อีกคนพูดพลางหยิบผลไม้ดองที่ห่อด้วยกระดาษเคลือบน้ำมันสองถึงสามห่อจากโต๊ะข้างๆ

“เอามาจากที่ไหนหรือ” สาวใช้กล่าว “เฮ้ บนห่อมีตัวหนังสืออยู่”

“เสร็จแล้วหรือยัง” ชุนหลานเข้ามาเร่ง “คุณชายของตระกูลจางมาถึงแล้วนะ”

สาวใช้ทั้งสองมิบังอาจชักช้า จึงรีบจัดเตรียมอาหารว่าง แล้วยกตามชุนหลานไปที่ห้องหนังสือ

คุณชายทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่จำเป็นต้องมีสาวใช้ยืนปรนบัติอยู่ข้างๆ แม้แต่สาวใช้ประจำกายอย่างชุนหลาน ยังต้องยืนรออยู่ด้านนอกประตู

ภายในบ้านแห่งนี้ ทั้งสองพูดคุยตั้งแต่บทกวีจนถึงภาพวาดและหัวเราะกันเสียงดัง จนถึงพระอาทิตย์ตกดินถึงจะบอกลากัน ทั้งที่อยากจะพูดคุยต่อ

“อืม ใช่แล้ว นายสี่ ของว่างบ้านเจ้ารสชาติไม่เลวเลย ข้าขอเอากลับไปฝากท่านแม่สิบสามหน่อย นางชอบกินขนมนี้นัก” คุณชายแห่งตระกูลจางเดินถึงประตูบ้าน แล้วเอ่ยปากพูด

“ได้เลย ได้เลย” นายน้อยเฉิงสี่ยิ้มกล่าว “ชอบอันไหนหรือ”

“ลูกท้อที่ห่อในถุงกระดาษนั่น” คุณชายแห่งตระกูลจางพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่สิ่งนั้น

นายน้อยเฉิงสี่สั่งสาวใช้ให้ไปหยิบมา

รออยู่ชั่วครู่ เหล่าบรรดาสาวใช้ก็เดินเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก

“นายน้อยเจ้าคะ ขนมนี่ไม่ใช่ของที่บ้านเจ้าค่ะ” สาวใช้นางหนึ่งตอบ

คุณชายแห่งตระกูลจางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ขณะที่นายน้อยเฉิงสี่กลับรู้สึกเขินอาย

“ไปซื้อมาจากที่ไหน ก็ไปซื้อมาเพิ่มสิ” เขาพูด

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก บอกข้าแทนก็ได้ว่าซื้อจากที่ไหนมา ประเดี๋ยวข้าจะไปซื้อเอง”คุณชายแห่งตระกูลจางรีบพูดด้วยรอยยิ้ม

สาวใช้สบตากันแล้วมองไปที่ชุนหลาน

“พี่ชุนหลานเอากลับมาเจ้าค่ะ” พวกนางกล่าว

ชุนหลานถึงกับชะงักไป

“อ๋อ อันนั้น…” นางนึกขึ้นได้ว่าอะไรจึงพูดว่า “ใช่ขนมว่างจากวัดเสวียนเมี่ยวหรือไม่เจ้าคะ”

“วัดเสวียนเมี่ยวหรือ” คุณชายแห่งตระกูลจางถามซ้ำอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน หลายคนในเมืองก็กำลังอ่านชื่อนี้เช่นกัน

“วัดเสวียนเมี่ยว” พวกเขาอ่านพร้อมกับมองไปที่ข้อความลายพิมพ์บนถุงกระดาษในมือ แล้วมองไปที่พ่อบ้านตรงหน้า “นี่คือของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ท่านผู้เฒ่าจางส่งมาให้หรือ”

สำหรับแม่ชีแห่งวัดเสวียนเมี่ยวแล้ว ก็ใช้ชีวิตไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม แต่ก็ไม่เหมือนไปสักทั้งหมด

เพราะว่าสาวใช้ไม่อยู่วังไท่ผิงบนเขาแล้ว

“ท่านอาจารย์จะย้ายไปอยู่ที่วังไท่ผิงนับจากนี้ไป ศิษย์น้องเล็กกับศิษย์พี่รองตามไปช่วยท่านอาจารย์ หลินฮุ่ยเจ้าเฝ้าธูปเทียนด้วยนะ” แม่ชีรูปหนึ่งและแม่ชีอีกรูปกล่าว “ข้ารับผิดชอบอาหารเจเอง”

“ศิษย์พี่ไม่เป็นไรเลย เจ้าไม่ต้องกังวลไป พวกเราสองคนก็เพียงพอแล้ว”

ก่อนที่เสียงพูดจะหมดลง ฝีเท้าที่อยู่ด้านนอกประตูเหมินซานก็ดังขึ้น

“เซียนหญิง เซียนหญิง”

มีคนตะโกนเข้ามาเสียงดัง

ทันทีที่พูดถึงคนก็มีคนมาจริงๆ แม่ชีทั้งสองรูปรีบจัดหน้าจัดผมให้เรียบร้อยพร้อมต้อนรับ

“พวกเจ้าทำขนมไหว้พระจันทร์หรือไม่” ชายชราเดินเข้ามาถาม

เมื่อพูดจบ ก็มีคนอีกหลายคนเข้ามาจากประตูด้านนอก

“เซียงหญิง ของขวัญของเทศกาลไหว้พระจันทร์ยังมีอีกหรือไม่”

“เซียงหญิง ไม่ทราบว่าขอพรได้หรือไม่”

“เซียนหญิง ที่นี่มีอาหารเจและของว่างให้ทานหรือไม่”

คำถามประดังเข้ามามากมาย ทำให้แม่ชีทั้งสองถึงกับมึนงง โดยไม่รู้ว่าจะตอบใครก่อนดี

นี่เกิดอะไรขึ้น

เหตุใดถึงมีคนมามายมายเช่นนี้

เวลานี้ วัดเต๋าแห่งนี้ สองคนไม่พอแล้ว!

วัดเต๋าที่เชิงเขาคึกคักมาก ทว่า วังไท่ผิงบนเขายังคงเหมือนเดิม

มีกลิ่นหอมและเสียงพูดเจื้อยแจ้วลอยเข้ามาจากห้องครัว ซึ่งไม่รู้ว่าสาวใช้ทั้งสองทำอาหารอะไรอยู่

เด็กน้อยคนหนึ่งเดินมาจากห้องโถงด้านหน้า แล้วมองเข้าไปในบ้านก่อน แต่ตรงฉากกั้นลมกลับไม่มีคนอยู่

“นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงเจ้าคะ” เด็กน้อยตกใจเล็กน้อยแล้วรีบตะโกน

ในบ้านไม่มีคนตอบ เด็กน้อยจึงรีบเดินไปที่ห้องครัวแล้วถามสองสาวใช้

“เมื่อชั่วครู่ยังนั่งอยู่ที่ระเบียงนะ” สาวใช้ทั้งสองกล่าว พร้อมกับมองออกไปข้างนอก “ไอ้หยา คนบ้านี่วิ่งเร็วนัก หายไปที่ไหนอีกแล้ว”

“พวกเจ้าระวังกันหน่อย” เด็กน้อยพูดอย่างเป็นกังวล

“ใครเฝ้าเล่า พวกเจ้ามีหน้าที่เฝ้าประตู แล้วจะมีพวกเจ้าไปทำไม กินดื่มของบ้านเราฟรีเช่นนี้” สาวใช้ทั้งสองไม่ยอมแพ้ ท้าวสะเอวแล้วตะโกนสู้

เด็กน้อยตกใจกลัว แล้วถอยหลังไปสองก้าว

“รีบไปหาเลย” สาวใช้ทั้งสองเลิกคิ้วแล้วชี้นิ้วสั่ง

เด็กน้อยหันหลังกลับด้วยความตกใจ แล้วสะดุดล้มตรงประตู ทำให้สาวใช้ทั้งสองหัวเราะออกมา

เด็กน้อยทั้งอายและทั้งกลัว จนน้ำตาเกือบร่วงลงมาและมองไปรอบๆ อย่างไม่สบายใจ

ท่านอาจารย์และศิษย์พี่กลางคืนต้องเฝ้านายหญิง เวลานี้จึงรีบออกตรวจความเรียบร้อยของวัดก่อน โดยนางไปตรวจธูปเทียนในโถงใหญ่ กลับมาก็ไม่เจอนายหญิงแล้ว หากตกเขาไป จะทำอย่างไรเล่า

 “นายหญิงเจ้าคะ” นางร้องเรียกเสียงหลง

“อืม”

มีคนตอบตรงประตูด้านข้าง

เด็กน้อยรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วก็พบกับหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเดินก้าวเข้ามา ซึ่งสวมใส่เสื้อคลุมสีเรียบ กระโปรงสีแดง รองเท้าเกี๊ยะ ถุงเท้าสีขาวเหมือนกับทุกวันและผมยาวถึงเอว คือเฉิงเจียวเหนียงนี่เอง

“นายหญิงเจ้าคะ…” เด็กน้อยรีบก้าวเดินเร็วหลายก้าว แล้วตะโกนเรียก

เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นางแล้วหยิบกิ่งไม้ในมือทำเป็นพวงดอกไม้

“เป็นอย่างไรบ้าง” นางเอ่ยถาม

“ท่าน ท่านหายไปไหนมาเจ้าคะ” เด็กน้อยถาม

“เดินเล่น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วเดินตรงไปที่ศาลาเล็กๆ

ครั้นเมื่อพี่ปั้นฉินยังอยู่ นายบ่าวทั้งสองมักต้องเดินเล่นบนเขากันทุกวัน เด็กน้อยถอนหายใจ บัดนี้เหลือเพียงนางคนเดียวแล้วที่เดินเล่นตามลำพัง

“นายหญิงเจ้าคะ หากครั้งหน้าท่านจะไปเดินเล่น เรียกข้าด้วยนะเจ้าคะ” เด็กน้อยเศร้าใจเล็กน้อย รีบเดินตามขึ้นไปและพูดเสียงดัง จากนั้นก็พูดเบาลง “หากพบเจอหมาป่า ต้องกินท่านแน่ ดังนั้น เรียกข้าด้วยเจ้าค่ะ”

 เฉิงเจียวเหนียงนั่งลงบนฐานของศาลา แล้วมองไปที่นาง โดยปากโค้งขึ้น

“ได้” นางพูดพร้อมกับถือกิ่งไม้ที่อยู่ในมือวาดเขียนลงบนพื้น

“นายหญิงอยากดื่มน้ำหรือไม่เจ้าคะ”

“…ก้อนหินนั่นเย็นนะเจ้าคะ พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”

“นายหญิงหิวหรือยังเจ้าคะ”

เด็กน้อยถามเป็นระยะๆ แต่เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ตอบนาง เพราะจดจ่ออยู่แต่กับการถือกิ่งไม้ขีดเขียนไปมา

“นายหญิงกำลังวาดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” เด็กน้อยถามอย่างสงสัยและเดินไปสองถึงสามก้าวแล้วก้มหน้าลงมอง

รอยขีดบนพื้นดูยุ่งเหยิงนัก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นตัวอักษร แต่ก็ถูกกิ่งไม้ขีดไปมาอย่างรวดเร็ว ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ทำให้ไม่เห็นลายมือเดิมแล้ว

วาดเขียนไปเรื่อยล่ะสิ

เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นและเห็นเฉิงเจียวเหนียงเปลี่ยนมือถือกิ่งไม้จากมือขวาเป็นมือซ้ายและวาดภาพบนพื้นต่อไป

วาดเขียนไปเรื่อยแน่นอน เด็กน้อยแน่ใจว่าไม่มีใครเขียนตัวหนังสือด้วยมือซ้ายหรอก

“นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงเจ้าคะ”

เสียงของเจ้าอาวาสซุนดังมาจากด้านหน้าของโถงใหญ่ เฉิงเจียวเหนียงและเด็กน้อยมองไปทางที่พวกนางได้ยินและเห็นเจ้าอาวาสซุนกำลังรีบวิ่งไปทางบ้าน

“ท่านอาจารย์ อยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ” เด็กน้อยรีบเรียก

จากนั้น เจ้าอาวาสซุนกวนก็มองเห็นพวกนางแล้วเดินไปอย่างเร่งรีบ ซึ่งเดินโซเซไปมาและตื่นตระหนกมาก ทำให้สองสาวใช้ที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องครัวหัวเราะอีกครั้ง

“นี่กลายเป็นพระของพวกนางไปเสียแล้ว ไม่พบเพียงชั่วครู่ก็ตกใจเช่นนี้” สาวใช้นางหนึ่งกล่าว

“ใช่สิ หากไม่มีนางบ้าเจียวเหนียง วัดเสวียนเมี่ยวคงต้องถูกปิดแน่” สาวใช้อีกนางหนึ่งพูด “เจ้าลองดูสิ ไม่แน่ธูปดอกต่อไปไม่รู้ว่าจะต้องไปจุดที่ไหน คงต้องถามนางบ้าเจียวเหนียว ถึงจะรู้ความ”

สองสาวใช้เดาไม่ผิดเลย

“นายหญิงนี่เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ เหตุใดผู้คนถึงมามากมายเช่นนี้…” เจ้าอาวาสเอ่ยถาม

เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมองนาง ซึ่งกิ่งไม้ในมือของนางยังคงขีดเขียนไปมาไม่หยุด

“ปันสุขไง” นางกล่าว “เจ้าลืมไปแล้วหรือ”

เจ้าอาวาสซุนเมื่อถูกถามจึงชะงักไปชั่วครู่ แล้วมองไปที่หญิงสาวซึ่งทำหน้านิ่งเฉยอยู่ นางก็สงบลง

“หมายถึงเมื่อวานซืนที่พวกเราได้ให้ของขวัญแก่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหรือเจ้าคะ” นางถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

เพราะเช่นนี้เองหรือ ไม่มีทางหรอก

“นี่อีกคน นั่นก็อีกคน อยากจะมาขอบคุณปั้นฉิน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

ปั้นฉินหรือ

เจ้าอาวาสซุนรู้สึกตะลึงอีกครั้ง แล้วนึกขึ้นได้ว่าวันนั้นปั้นฉินใส่ผลไม้อบแห้งที่เป็นของขวัญไว้เต็มตระกร้า บอกว่าจะนำไปส่งให้กับท่านผู้เฒ่าที่อยู่ในเมือง จากนั้นนางก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

สถานะของท่านผู้เฒ่าไม่ธรรมดาเลย คนที่ได้รับของขวัญเหล่านี้ เห็นแก่หน้าของปั้นฉิน จึงสร้างชื่อเสียงให้แก่วัดเสวียนเมี่ยวของพวกเราอย่างนั้นหรือ

คนฉลาดพวกนั้นก็เป็นเช่นนี้แล ให้กินอาหารฟรีๆ พวกเขาไม่เคยคิดที่จะกิน ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อซื้อความสบายใจ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวพร้อมกับทำกิ่งไม้ในมือเป็นพวงดอกไม้

มือและเท้าที่ยืดหยุ่นได้ ช่างสบายยิ่งนัก

คิดว่าใช้เวลาอีกไม่นาน นางก็จะสามารถพูดจาได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว

ขณะที่นางสลับมือเขียนตัวหนังสือ เจ้าอาวาสซุนก็หยั่งรู้แล้ว มองหน้าหญิงสาวที่นั่งนิ่งเหมือนเช่นเคย ภายในใจก็มีพลังอันมหาศาล ยากที่จะสงบนิ่ง

ต้องขอบคุณปั้นฉิน ขอบคุณท่านผู้เฒ่า และที่สำคัญคือ ต้องขอบคุณคนที่อยู่ตรงหน้า

นางถามเพียงว่าอยากมีชื่อเสียงเพียงเล็กน้อยหรือชื่อเสียงใหญ่โต ไม่ใช่ถามว่าอยากมีชื่อเสียงหรือไม่ ราวกับว่าการมีชื่อเสียงสำหรับนางแล้ว เป็นเรื่องที่สร้างได้ง่ายดายนัก

เพียงพริบตาเดียว ชื่อเสียงก็มาแล้วจริงๆ

“ขอบคุณมากเจ้าค่ะนายหญิง” นางแสดงความเคารพอย่างจริงจัง

 เฉิงเจียวเหนียงไม่พูด แต่กลับลุกขึ้นยืน วางกิ่งไม้ในมือนางลง

“นายหญิงเจ้าคะ ของขวัญแจกจ่ายไปหมดแล้ว ต้องเร่งทำใหม่หรือไม่เจ้าคะ” เจ้าอาวาสซุนนึกขึ้นได้ จึงรีบถาม

“เซียนหญิง เจ้าลืมอีกแล้ว” เฉิงเจียเหนียงมองหน้านางแล้ว “ที่นี่เป็นวัดเต๋า ไม่ใช่ร้านอาหาร”

เจ้าอาวาสซุนที่ตื่นเต้นอยู่ก็นิ่งสงบลง

“ของที่หายากย่อมมีราคาแพง” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางเดินผ่านนางไป แล้วเดินเข้าไปในบ้าน “ของที่มีค่าย่อมต้องมีความละเมียดละไมเป็นสำคัญ”

เจ้าอาวาสซุนพูดพึมพำอย่างเงียบๆ อยู่ชั่วครู่ แล้วรู้สึกขบขันเล็กน้อย

“ข้าบำเพ็ญปฎิบัติมานานหลายปี ถือว่าเสียเปล่าแล้ว” นางส่ายหัวแล้วกล่าว

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก” เฉิงเจียวเหนียงหันหน้ากลับมาตอบ “เซียนหญิงเป็นคนในต่างหากเล่า”

เจ้าอาวาสซุนแสดงความเคารพอีกครั้งด้วยความอับอาย

เมื่อเฉิงเจียวเหนียงกำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน นางก็หันหลังกลับแล้วเดินลงเขาไป หากเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว นางก้าวเดินได้อย่างคล่องแคล่ว ท่าทางก็สงบนิ่ง

เฉิงเจียวเหนียงและเจ้าอาวาสซุนแยกกันไปคนละทาง โดยทิ้งเด็กน้อยที่กำลังเหม่อลอยอยู่ข้างศาลาเพียงลำพัง

เมื่อครู่ท่านอาจารย์และนางบ้าเจียวเหนียงคุยอะไรกันหรือ เหตุใดถึงดูคุยกันถูกคอเช่นนี้ เหตุใดนางถึงฟังไม่ออกเลยสักคำ

“หรือว่าข้าเองที่เป็นคนบ้า” นางบ่นพึมพำ

ณ วัดเสวียนเมี่ยวที่ตีนเขา มีฝูงชนมารอมากมาย ด้วยเสียงสวดมนต์นั้น ทำให้ทุกคนต่างมองไปที่เจ้าอาวาสเซียนหญิงที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ก้าวอย่างดีอกดีใจ บัดนี้ แสงอาทิตย์ของสารทฤดูส่องสว่างไปที่ร่างกายของเจ้าอาวาส ช่างสว่างไสวและทำให้วัดเต๋าที่ทรุดโทรมมีชีวิตชีวาขึ้น

วัดเสวียนเมี่ยวแห่งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ทุกคนที่มาในวันนี้ก็ฉายความคิดนี้อยู่ภายในใจ

ท่านผู้เฒ่าจางที่นั่งอยู่บนรถลาลากละสายตาจากการมองดูความคึกคักของวัดเสวียนเมี่ยว แล้วหันมามองหน้าสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างรถ

สาวใช้ดูเศร้าใจและอดกลั้นอย่างหนัก จนตัวของนางสั่น

“ปั้นฉิน เจ้าไม่เต็มใจที่จะติดตามพวกเราไปยังเมืองหลวงใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถาม

หญิงสาวตกใจแล้วได้สติกลับคืนมา

“ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้เฒ่า ข้าเต็มใจจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยเสียงสั่น

ท่านผู้เฒ่าจางหัวเราะเสียงดัง

“หากข้าเชื่อคำพูดเจ้า ข้าคงเป็นคนบ้าแล้ว” เขาหัวเราะกล่าว “สุภาพชนไม่แย่งของรักของคนอื่น เจ้าไปเถอะ”

พูดเพียงเท่านี้ เขาก็ยื่นมือออกไปชี้ ซึ่งชี้ไปทางวังไท่ผิงที่อยู่บนเขา

……………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด