พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง – บทที่ 144 ขอคำแนะนำ

อ่านนิยายจีนเรื่อง พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง ตอนที่ 144 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ช่วงต้นเดือนสอง เมืองหลวงยังคงหนาวเย็น หิมะยังคงโปรยปรายไม่หยุด

บ่าวรับใช้บ้านตระกูลโจวกำลังยุ่งอยู่กับการกวาดหิมะบนพื้นถนน

เสียงไอดังขึ้นเป็นระยะลอยออกมาจากห้องของฮูหยิน ยามเปิดประตูกลิ่นยาก็โชยมากระทบจมูก

“ฮูหยินเจ้าคะ” แม่นมคุกเข่าคำนับพร้อมกับยื่นนามบัตรให้ “บุตรสาวสองคนของอำมาตย์เฉินขอพบแม่นางเฉิงเจ้าคะ”

สาวใช้กำลังป้อนยาให้แก่ฮูหยินโจวบนเตียง ฮูหยินโจวยกมือกดที่หน้าอก

“หากมาหานาง ไม่ต้องมาบอกข้า” นางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง

สาวใช้รีบตอบรับและออกไปอย่างรีบร้อน

“ตอนนี้เดือนแรกก็ผ่านไปแล้ว อาการป่วยของนายใหญ่เฉินก็หายเป็นปกติแล้ว ยังจะปล่อยให้นางอยู่ต่อไปทำไม ส่งนางกลับไปเถอะ” ฮูหยินโจวเอ่ยแล้วมองไปที่นายใหญ่โจว

“ถามแล้ว นางไม่ไป” นายใหญ่โจวพูดอย่างเฉื่อยชา

“นี่เป็นบ้านของเรา ไล่นางไป” ฮูหยินโจวเอ่ยอย่างเกรี้ยวโกรธ

“ไล่หรือ” นายใหญ่โจวพูดพร้อมกับมองไปที่ฮูหยิน “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากเราบอกไปว่าจะไล่นางไป ประเดี๋ยวก็ลือกันให้ทั่วว่านางหายป่วย ตายแล้วฟื้นแล้ว”

ฮูหยินโจวกัดฟัน

นายใหญ่โจวแสยะยิ้มและลูบเคราสั้นของตน

“ความคิดเด็กๆ ใครก็ดูออก” เขาเอ่ย

“ข้ามาคิดดูแล้ว พวกเราพึ่งพาชื่อเสียงของนางไม่ได้หรอก นับตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ เรื่องดีๆ ก็ไม่ค่อยจะมี มีแต่สร้างเรื่องน่าอับอาย” ฮูหยินเอ่ยอย่างโมโห “ท่านปู่เก็บผู้เฒ่าซ่านไว้ให้และเราก็เรียกเช่นมาตั้งนานนม นางมาอยู่เพียงหนึ่งถึงสองเดือน ก็เปลี่ยนชื่อที่พวกเราเรียกกันมานานเป็นผู้เฒ่าบ้า”

คิ้วของนายใหญ่โจวกระตุก มือสั่นและดึงเคราออกมาหนึ่งเส้น

ผู้เฒ่าบ้า…

“นางตายแล้วฟื้นเป็นเรื่องจริง บัดนี้บอกเพียงว่าล้มป่วย ไม่ได้พูดว่ารักษาให้ไม่ได้ ในเมื่อแค่ล้มป่วย ก็ต้องมีช่วงเวลาที่หายเป็นปกติ เป็นบ้ายังรักษาหายได้เลย นับประสาอะไรกับโรคอื่น นางรู้ดี พวกเรารู้ดีและคนนอกก็รู้ดีแก่ใจเช่นกัน” เขาเอ่ย

ฮูหยินโจวพยักหน้าอย่างช้าๆ

ตอนนั้นนางบอกว่าป่วยอยู่จึงรักษาให้ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รักษาอีกต่อไป

“ไม่ใช่ว่านางโกรธหรอกหรือ โกรธที่ไม่ดูแลนางตั้งแต่แรก เราก็ปล่อยให้นางโกรธไป จะไม่มีวันหายโกรธเลยหรือ มีญาติเพียงสองตระกูลเท่านั้น ตระกูลเฉิงพึ่งพาไม่ได้แล้ว ตอนนี้เก่งกาจถึงเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าต้องการให้พวกเราทำดีกับนางมากขึ้นหรอกหรือ” นายใหญ่โจวเอ่ยพร้อมกับทุบขาตัวเอง “อีกอย่าง คนนอกอยากพูดอะไร ก็ให้พูดกันไป แค่ชื่อเสียงเท่านั้น มิใช่ความผิดร้ายแรงอะไร มิใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

พูดถึงเพียงเท่านี้ ฮูหยินโจวรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวจนกลั้นเสียงไอไว้ไม่อยู่

“หยุดพูดเรื่องนี้ หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว” นางเอ่ยในทันที

นายใหญ่โจวมองไปด้วยความงวยงง

“เรื่องไหนหรือ” เขาเอ่ยถาม

ฮูหยินโจวลูบหน้าอก สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างกำลังยกน้ำขึ้นป้อนถึงจะบรรเทาอาการไอลงได้

“อย่าพูดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พอท่านพี่พูดถึงเรื่องนั้น หัวใจข้าก็เต้นแรงขึ้นทันที” นางหายใจแรงเอ่ย “พูดว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรทุกครั้ง ผลที่ตามมาคือ สร้างแต่ความวุ่ยวายให้พวกเราจนวันวันหาความสงบสุขไม่ได้”

นายใหญ่โจวหัวเราะลั่น

“ทุกครั้งที่เกิดเรื่องก็เพราะเหตุเหล่านี้ เจ้าเห็นคุณค่าข้า ข้าดูแคลนเจ้า ข้าขอร้องเจ้า เจ้าไม่ขอร้องข้า นี่มันอะไรกัน” เขาลุกขึ้นปัดเสื้อพร้อมเอ่ยพลางยิ้ม

ฮูหยินโจวรีบลุกขึ้นยืนเพื่อส่ง

“เป็นผู้หญิงจะมีเรื่องอะไรได้ หากเจ้าว่าง ไม่มีอะไรทำ ก็อย่าได้เข้าไปใกล้นางเลย ให้นางกินดีอยู่ดี นางอยากทำอะไรก็ให้นางทำไป ให้นางอยู่อย่างสบายใจ เจ้าก็จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานใจ สำหรับตอนนี้กินยาและพักผ่อนให้ดี

เป็นเรื่องสำคัญที่สุด” นายใหญ่โจวเอ่ยต่อ

เมื่อเห็นว่านายใหญ่โจวเดินออกไปแล้ว ฮูหยินโจวจึงเอนกายพิงโต๊ะไม้เตี้ย ส่วนสาวใช้ก็รีบเข้ามานวดขาและทุบหลัง

“คนที่ไปเจียงโจวยังไม่กลับมาอีกหรือ” ฮูหยินโจวนึกบางอย่างออกจึงถามขึ้นอีกครั้ง

“น่าจะกำลังเดินทางกลับมาเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ

ฮูหยินโจวถอนหายใจ

“วันพระสิบห้าค่ำนี้ให้คนไปที่วัดผู่ซิวเติมน้ำมันสักสิบกิโล” นางเอ่ย “ขับไล่วิญญาณชั่วร้ายสักหน่อย”

“แม่นางเฉิงยังเป็นคนเป็นอยู่นะเจ้าคะ หรือจะไปที่วัดฉงเต้าแทน” แม่นมเอ่ยถาม

ทันใดนั้น ฮูหยินโจวก็รู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีและโยนเตาผิงมือที่อยู่บนโต๊ะไม้เตี้ยตรงหน้าออกไป

“ใครจะเผาให้นางกัน! จะเชิดชูนางมากเกินไปแล้ว! ”

เสียงน้อมรับผิดดังไปทั่วห้อง

ภายในห้อง เฉินตันเหนียงยกถ้วยชาขึ้นดื่มคำสุดท้าย ขณะที่ถ้วยชาของแม่นางเฉินสิบแปดที่อยู่ข้างๆ กลับไม่พร่องเลยแม้แต่น้อย

“พี่สิบแปด อีกเดี๋ยว พี่เฉิงก็จะตื่นแล้ว” นางนั่งข้างกายพี่สาว กระพริบตาแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

แม่นางสิบแปดส่งยิ้มให้นาง

หากเป็นบ้านของคนอื่นแล้วมีคนมาเยี่ยมเยียน แม้เจ้าของบ้านจะยังคงนอนหลับอยู่ ก็จะรีบลุกขึ้นมาทันที

แต่ไม่ใช่สำหรับเฉิงเจียวเหนียง เจ้าของบ้านก็เป็นเช่นเดียวกัน หากเป็นคนอื่น ผู้มาเยือนคงจะรู้สึกว่าถูกละเลยหรือถูกกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน พวกเขาคงจะลุกขึ้นแล้วจากไปและคงไม่ไปมาหาสู่กันอีกเลย

แต่ทว่าหญิงสาวผู้นี้อาจจะแค่นอนเฉยๆ ก็เป็นได้ ราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน หิวก็ลุกขึ้นมากิน ง่วงก็นอนพัก

“ใช่ ข้ารู้” นางกระซิบเช่นกัน

เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านใน เฉินตันเหนียงขยับปากทำท่าว่าตื่นกับพี่สาวของตน แม่นางเฉินสิบแปดยิ้ม ทั้งสองละสายตาแล้วรีบนั่งหลังตรง

สาวใช้ในชุดพลิ้วไหวเปิดม่านกั้นออก เฉิงเจียวเหนียงเดินเข้ามา นางสวมใส่ชุดคลุมยาวแขนกว้าง เส้นผมตรงสีดำเงางามถูกปล่อยสยาย ใบหน้าไม่ได้มีการเติมแต่งใดๆ

เมื่อนั่งลงแล้ว ทุกคนต่างคำนับให้แก่กันและกัน

“มาเยี่ยมเยียนอย่างกระทันหันเช่นนี้ หวังว่าแม่นางจะให้อภัย” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยก่อน

“ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางรับน้ำจากสาวใช้

“พี่เฉิงดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่” เฉินตันเหนียงถาม

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าตอบรับ

แม่นางเฉินสิบแปดนึกถึงยามที่เหล่าพี่น้องถกเถียงกันอย่างอดไม่ได้ ทั้งยังพลันนึกถึงคำพูดของท่านปู่

อันที่จริงผู้หญิงคนนี้จงใจเลี่ยงการรักษาในครั้งนี้ ทั้งที่มีวิชาจากเทพเซียน ทั้งที่มีเงินทองมากมายมากองให้ขนาดนั้น

เหตุใดจู่ๆ นางถึงบอกว่าไม่รักษาเล่า

เฉิงเจียวเหนียงเปลี่ยนมาจ้องมองนางแทน แม่นางเฉินสิบแปดหลบสายตาด้วยความตกใจเล็กน้อย

ภายในห้องบรรยกาศค่อนข้างอึดอัด แต่โชคดีที่เฉินตันเหนียงพูดต่อไม่หยุด

“พี่เฉิง พี่สิบแปดขอให้ข้าพานางมาพบพี่” ตันเหนียงเอ่ยด้วยใบหน้าภาคภูมิใจที่เด็กน้อยกลายเป็นคนสำคัญ

ใบหน้าของแม่นางเฉินสิบแปดเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“จริงหรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นาง “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไร”

แม่นางเฉินสิบแปดตื่นตระหนกเล็กน้อย ทั้งเด็กโตและเด็กเล็กต่างพูดจาตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว จะตอบอย่างไรดีเล่า

นางเงยหน้าขึ้นมองหญิงตรงหน้า

เฉิงเจียวเหนียงมองนางด้วยสีหน้านิ่งสงบแล้วดื่มน้ำอย่างช้าๆ

“ข้าอยากจะขอให้แม่นางสอนเขียนพู่กัน” แม่นางเฉินสิบแปดกัดฟันเอ่ยพร้อมกับโค้งศีรษะคำนับ

เฉินตันเหนียงและสาวใช้ในบ้านพากันประหลาดใจอย่างมาก

“พี่สิบแปดอยากเรียนการเขียนอักษรกับพี่เฉิงเหรือ” นางตะโกน

“ใช่” แม่นางเฉินสิบแปดบอกถึงจุดประสงค์การมาของตนอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฉิงเจียวเหนียงแล้วเอ่ยต่อ “ข้าชื่นชมตัวอักษรอันล้ำค่าของแม่นางเฉิง จึงอยากจะขอให้ช่วยสอนเป็นการพิเศษ”

“วัดเขารอดอกบ๊วยบานหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม

แม่นางเฉินสิบแปดพยักหน้า

“ใช่แล้ว ตัวอักษรของแม่นางเป็นที่รู้จักไปทั่วเมืองหลวงแล้ว หากไม่ใช่เพราะได้ยินที่ตันเหนียงพูดก่อนหน้านี้

ข้าคงไม่รู้ว่าแม่นางเป็นคนเขียน” นางเอ่ย

สาวใช้ประหลาดใจอย่างมาก ตัวอักษรเหล่านั้นโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงเลยหรือ

นางไม่เข้าใจในรูปแบบตัวอักษรมากนัก แต่รู้เพียงว่าเขียนเช่นใดถึงเรียกว่างดงาม แต่ให้บอกว่าเขียนดีอย่างไร

ก็อธิบายไม่ถูก

 แต่ทว่านางรู้ดีว่ามีผู้คนชื่นชมในการเขียนพู่กันมากมาย อาทิ บัณฑิตราชสำนักสถาบันฮั่นหลิน ราชบัณฑิตพู่กันแห่งราชวิทยาลัยหลวง กรมขุนนางก็ใช้ตัวอักษรตัดสินคดีเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงตระกูลอื่น แม้แต่สองพ่อลูกราชบัณฑิตของตระกูลนี้ต่างก็ถกเถียงเรื่องนี้เช่นกัน

นายใหญ่รักในการอ่านอย่างมาก แต่นายท่านจางฉุนกลับไม่ค่อยชอบอ่านเท่าไรนัก คิดเพียงว่าตัวอักษรใช้สำหรับการเขียนเท่านั้น ทั้งยังรู้สึกว่าทุกวันนี้ผู้คนการชื่นชมตัวอักษรมากกว่าเนื้อความ ดังนั้นเขาจึงบังคับให้ลูกศิษย์เขียนอักษรบรรจงให้ชัดเจนเท่านั้น มิใช่อาศัยตัวอักษรเข้ารับราชการในศาลาหงส์

ที่แพร่หลายไปทั่วเมืองหลวงได้เช่นนี้ แสดงว่าตัวอักษรที่แม่นางเขียนนั้นมีความวิจิตรงดงามยิ่งนัก

“งานเขียนของแม่นางค่อนข้างแตกต่างจากรูปแบบการเขียนตัวอักษรทั่วไป และทุกตัวอักษรล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย “คำว่าเขาของแม่นางเป็นอักษรหวัดแกมบรรจง ปลายพู่กันที่เขียนตะแคงข้าง คำว่าวัดเป็นตัวอักษรหวัด ผอมบางและแปลกตา คำว่ารอเป็นตัวอักษรหวัดแกมบรรจง แต่กลับเด็ดขาดและอ่อนช้อย คำว่าดอกบ๊วยเป็นอักษรตัวบรรจง ราวกับเมฆลอยและสายน้ำไหล ส่วนคำว่าบานเป็นตัวอักษรหวัด มีลมจากปลายตวัด แต่ท่ามกลางความเป็นอิสระกลับมีความแข็งแกร่งซ่อนอยู่ ตัวอักษรทั้งห้านี้ หากมองดูอย่างละเอียดมีทั้งความสง่างามอย่างน่าเกรงขามมีจุดเด่นของความแข็งแกร่งและอ่อนช้อย ลงพู่กันอย่างหนักแน่น มหัศจรรย์ยิ่งนัก”

ตันเหนียงเพิ่งจะเริ่มเรียนหนังสือ สาวใช้ก็พอรู้เรื่องบทกวีอยู่บ้าง แต่คำพูดของแม่นางเฉินสิบแปดนี้ ทำให้ทั้งสองถึงกับงงงวย

เมื่อแม่นางเฉินสิบแปดพูดจบ นางก็มองไปที่เฉิงเจียวเหนียงด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย ราวกับว่าเพิ่งอ่านคัมภีร์จบอย่างราบรื่นและรอคอยคำตัดสินจากอาจารย์ก็ไม่ปาน

เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นาง

“เจ้าพูดได้ดีมาก” นางเอ่ย “แต่หมายความว่าอย่างไรหรือ”

ทันใดนั้นใบหน้าอันตื่นเต้นของแม่นางเฉินสิบแปดก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อทันที

หรือว่าที่เตรียมมายังไม่พอ

หรือสิ่งที่ข้าพูดยังไม่ตรงประเด็น

แม่นางเฉินสิบแปดตกใจเล็กน้อย แต่เฉินตันเหนียงกลับได้สติกลับคืนมา

“ใช่ใช่ พี่สาวหมายถึงอะไรหรือ” นางเอ่ยถาม “พูดมากมายขนาดนี้ หมายถึงอะไรหรือ”

ฟังไม่เข้าใจหรือ

เฉินตันเหนียงฟังไม่เข้าใจ แต่เฉิงเจียวเหนียงก็ฟังไม่เข้าใจจริงๆ หรือ

………………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด