พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง – บทที่ 167 รู้

อ่านนิยายจีนเรื่อง พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง ตอนที่ 167 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ฮูหยินตระกูลฉินได้จากไปแล้ว เหลือเพียงนายใหญ่โจวและฮูหยินโจวที่ยังคงยืนตะลึงอยู่ในห้องโถง

“นี่คือเรื่องจริงหรือ” ฮูหยินโจวถาม

สายตาหยุดลงตรงหน้า บนพื้นมีฤกษ์เกิดสำหรับผูกดวงวางอยู่

เพราะเหมือนจริงเกินไป ฮูหยินโจวไม่กล้ายื่นมือออกไปหยิบขึ้นมา

มีฝ่ามือหนึ่งยื่นออกไปหยิบฤกษ์เกิด

ฮูหยินโจวผงะ แต่ฤกษ์เกิดนั้นไม่ได้หายไปไหน ทว่ากลับมาอยู่ในมือของท่านชายโจวหกแทน

ท่านชายโจวหกเปิดออก เมื่อเห็นชื่อและวันเกิดของฉินสิบสามเขียนอยู่ด้านในอย่างถูกต้องทุกอย่าง แท้จริงไม่มีบิดเบือน

ใช่ไหมเล่า สุดท้ายก็เก็บเอามาคิด สุดท้ายก็หวั่นไหวแล้วใช่ไหม

เหตุใดจะไม่เก็บเอามาคิดได้เล่า

เหตุใดจะไม่หวั่นไหวได้เล่า

รักษาขาให้หายดีได้นี่ จะได้เป็นเหมือนคนปกติเชียวนะ

ไม่ว่าจะทุ่มเทสิ่งใดไปย่อมคุ้มค่า แต่การทุ่มเทเช่นนี้ไม่ควรให้ผู้อื่นเป็นคนทำ นี่เป็นเรื่องของเขาเอง!

ท่านชายโจวหกหยิบฤกษ์เกิดขึ้นมาก่อนจะเดินออกไป

“เจ้าจะทำอะไร” ฮูหยินโจวรีบร้องเรียก

“ข้าจะเอาไปคืนเขา!” ท่านชายโจวหกเอ่ย

ลูกชายแย่งภรรยากันหรือ

นายใหญ่โจวและฮูหยินโจวสบตากันอย่างตื่นตระหนก

นังเด็กบ้านั่นยั่วยวนทั้งสองคนเลยหรือ นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไรเอง! จริงๆ เลย รู้หน้าไม่รู้ใจ……

นางคงไม่ได้เจอผู้บำเพ็ญพรตหลี่ แต่คงเจอเซียนจิ้งจอกแทนแล้วกระมัง

“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ ห้ามไปเด็ดขาด!” ฮูหยินโจวตะโกน น้ำเสียงแฝงด้วยความโกรธเล็กน้อย “เล่นอะไร! เอามาคืนให้ข้า!”

“เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าสู่ขอนางเองก็สิ้นเรื่อง!” ท่านชายโจวหกเอ่ย กำฤกษ์เกิดไว้ในมือใบหน้าแดงก่ำ

“ลูกทรพี!” นายใหญ่โจวเอ่ย พลางยื่นแขนออกไปชี้นิ้ว “หากกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะตัดขาเจ้าให้ขาด!”

ฮูหยินโจวรีบร้อนเดินเข้าไปคว้าข้อศอกของเขาไว้

“ชายหก หญิงสาวดีๆ ใต้หล้ามีถมเถไป แม่ย่อมหาคนที่ดีกว่ามาให้เจ้าได้อยู่แล้ว อีกอย่างเจ้ากับคุณชายฉินสนิดสนมกัน เพียงเพื่อสตรีนางเดียวเหตุใดถึงได้ทำร้ายมิตรไมตรีที่มีต่อกันเล่า หญิงนางนี้มีค่าอะไรมากมาย มิตรภาพต่างหากที่สำคัญที่สุด อย่าได้ทำเรื่องเหลวไหลเด็ดขาด” นางเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

ท่านชายโจวหกถอนหายใจ

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว!” เขาเอ่ย “ไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้”

“เช่นนั้นเพื่อสิ่งใดเล่า” ฮูหยินเอ่ยพลางดึงให้เขานั่งลง “ลูกของแม่ แม่เข้าใจ แม่เข้าใจ ชายหนุ่มคนไหนบ้างที่ไม่อยากมีความรัก เพียงแต่เจ้าโตกว่านี้หน่อยก็จะเข้าใจ ว่าการแต่งงานต้องแต่งกับสตรีที่ดี ไม่… ไม่… แม่ไม่ได้หมายความว่าท่านชายฉินจะแต่งกับเจียวเจียวร์ไม่ได้……”

“ท่านแม่ ที่เขาสู่ขอ ไม่ใช่… ไม่ไช่เพราะถูกใจนาง” ท่านชายโจวหกเอ่ยขัดฮูหยินโจวก่อนจะพูดต่อ “ปะ… เป็นเพราะนางรักษาขาของชายสิบสามได้ต่างหาก!”

นายใหญ่โจวกับฮูหยินโจวตะลึงอีกครั้ง

“ว่าอย่างไรนะ นางรักษาเจ้าเป๋ได้หรือ” นายใหญ่โจวโพล่งถาม

เจ้าเป๋ เจ้าเป๋ ถึงแม้เพราะฐานะและภูมิหลังของตระกูลท่านชายฉิน จะทำให้คนเคารพนอบน้อมเขามากเพียงใด

แต่ความจริงแล้วท้ายที่สุดเขาก็เยาะเย้ยและดูหมิ่นอยู่ในใจ

เขารู้ ท่านชายฉินก็รู้เช่นกัน ไม่ว่าท่านชายฉินจะทำอะไร ได้ดีอย่างไร หรือไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง มันก็เป็นความจริงที่ติดตัวไปตลอดชีวิตและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

เดิมทีก็ยอมรับความจริงได้แล้ว แต่เมื่อมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ผู้ใดจะยอมพลาดโอกาส ผู้ใดจะยอมปล่อยมันไปเล่า

ถ้าเป็นคำพูดพร่ำเพ้อของคนอื่นก็คงจะดี แต่เหตุใดถึงต้องเป็นผู้หญิงคนนี้ ผู้มีพลังเวทย์สามารถทำให้คนตายแล้วฟื้นได้ถึงสองครั้งสองคราติดต่อกัน ใครเล่าจะไม่เชื่อคำพูดนาง

ประหนึ่งแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันในวันที่มืดมน ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นไฟ แมลงเม่าก็จะพุ่งเข้าใส่โดยไม่ลังเล

“นางบอกว่านางทำได้ แต่ว่านางจะไม่รักษาให้” ท่ายชายโจวหกเอ่ยเสียงเนิบ ฤกษ์วันเกิดที่อยู่ในมือถูกขยำจนเกิดเสียงกรอบแกรบ “เพราะข้าติดหนี้นาง เพราะชายสิบสามมีความสัมพันธ์ที่ดีกับข้า นางเกลียดข้า จึงเอาความโกรธไปลงที่ชายสิบสาม”

“เช่นนั้นแปลว่าพวกเจ้าไม่ได้ถูกใจนาง แต่อยากให้นางรักษาขาของท่านชายฉินอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่โจวถามด้วยความสงสัย

ใช่แล้ว ถูกต้อง เป็นเช่นนั้นแล ข้าไม่ได้ถูกใจนาง ข้าจะชอบนางได้อย่างไร

ท่านชายโจวหกอ้าปาก ทว่ากลับไม่มีเสียงออกมา

ใบหน้าของหญิงสาวปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา จ้องมองเขาอย่างเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ไร้ซึ่งความสุข ความโกรธหรือความเศร้าโศก

“ขะ…ข้าเต็มใจ เป็นที่พึ่งเพื่อให้นางสุขสบายไปตลอดชีวิต” เขาเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก

นางแค่กลัวว่าจะไม่ที่พึ่งพาไม่ใช่หรือ ไม่ใช่แค่แค้นที่ต้องห่างเหินกับญาติพี่น้องหรือ

หากตนเป็นที่พึ่งพิงแก่นาง ให้ความสนิทสนมกับนาง แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว

ฮูหยินโจวถอนหายใจ ยกมือขึ้นจิ้มหน้าผากของท่านชายโจวหก

“โง่!” นางเอ่ย “ละครตบตาเช่นนี้เจ้าก็เชื่อหรือ!”

ท่านชายโจวหกมองแม่อย่างฉงนสงสัย

นายใหญ่โจวเองก็มึนงงไม่น้อย

“ผู้ชายอย่างพวกเจ้า คิดว่าตนฉลาด มักจะตกม้าตายในเงื้อมมือของสตรี” ฮูหยินโจวมองท่าทางโง่เขลาของพ่อลูก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม พลางดึงฤกษ์เกิดออกจากมือของท่านชายโจวหกแล้วสะบัด “ที่นางบอกว่าจะยอมรักษาให้หรือไม่ ก็เพื่อสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ”

“ท่านแม่ มะ ไม่ใช่กระมัง” ท่านชายโจวหกเอ่ย

“เหตุใดถึงจะไม่ใช่” ฮูหยินโจวยิ้มเยาะ มองฤกษ์เกิดในมือ “ชีวิตที่ร่ำรวยมหาศาล ไม่ได้สนใจเรื่องเงินทอง ก็เหลือเพียงหาคนดีๆ มาแต่งงานด้วย ก็บอกอยู่ว่าเจ้ามันโง่ ดูท่าทางแล้วตอนนี้ไหวพริบของคนทั้งตระกูลเรารวมกัน ยังไม่เท่านางคนเดียว นางคงวางแผนร้ายกับพวกเจ้ามาตั้งนานแล้ว คนเขลาเช่นพวกเจ้าทั้งสองกลับแย่งกันติดกับดักนาง!”

ท่านชายโจวหกฟังอย่างตะลึง

“ท่านแม่ นางไม่ใช่คนเช่นนั้น” เขาโพล่งออกมา

แม้ว่าจะรู้อยู่บ้างแล้วว่าลูกชายของตนไม่ได้หลงเสน่ห์ผู้หญิงคนนั้น ฮูหยินโจวก็วางใจไปได้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังฟังคำที่ลูกชายแก้ต่างให้นางไม่เข้าหูนัก นางเลิกคิ้วขึ้นโดยพลันเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร” นางตะโกน “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ที่นางพูดเช่นนั้นก็เพื่อหวังที่จะแต่งเข้าตระกูลฉิน แต่งเข้าไปไม่ได้ จึงถอยกลับมาเพื่อเอาชนะคนโง่ๆ เช่นเจ้าอย่างไรเล่า ตอนนี้ตระกูลฉินมาสู่ขออย่างที่นางต้องการแล้ว เจ้าก็อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น ทำลายเรื่องดีๆ ของคนอื่น! อีกอย่าง นี่ก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี”

สีหน้าของท่านชายโจวหกดูซับซ้อนนัก

ฮูหยินโจวยิ้มพลางลูบแขนเขาอีกครั้ง

“ลูกแม่ เจ้าคิดดูสิ เจียวเจียวร์มีวิชาการแพทย์ติดตัว ทั้งยังรักษาขาของท่านชายฉินให้หายได้ พอไปอยู่บ้านตระกูลฉินก็ไม่ต้องพะวงเรื่องเสื้อผ้าอาหารการกิน พวกเราให้สินเดิมแก่นางมากหน่อย ส่วนเจ้าน่ะก็สนิทสนมกับท่านชายฉิน บวกกับได้เป็นญาติกันเช่นนี้ น้องเจ้าได้แต่งงานกับคนดีๆ ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนยินดีหรอกหรือ” นางเอ่ย

เช่นนั้นหรือ ท่านชายโจวหกเงียบ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

จะว่าไปแล้ว ท่านชายฉินสิบสามก็ดีกับนางจริงๆ…

ชายสิบสามทั้งฉลาด ไม่โดนผู้หญิงสับปลับคนนั้นหลอกได้ง่ายๆ หรอก…

เช่นนั้น…ก็ดี

พอเห็นสีหน้าของลูกชาย ฮูหยินโจวก็แจ่มแจ้ง ถอนหายใจอย่างพอใจ

“สิ่งต่างๆ เมื่อถึงที่สุดแล้วต้องพลิกกลับดังคาด เจียวเจียวร์โง่มาตั้งหลายปีขนาดนี้ บทจะฉลาด ก็เก่งจริงเชียว” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ไม่ว่านางจะฉลาดหรือโง่ ตราบใดที่ไม่ได้อยู่ในบ้านของพวกนาง ก็ไม่เป็นไร

“มัวนิ่งอะไรอยู่ รีบไปรับเจียวเจียวร์กลับมาสิ” นางมองไปที่นายใหญ่โจวแล้วเอ่ย

นายใหญ่โจวตั้งสติ

“ตะ…แต่เพิ่งจะย้ายออกไปนะ” เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ย “นี่จะให้กลับมาอีกแล้วหรือ…”

“จะออกเรือนอยู่แล้ว จะให้อยู่ข้างนอกไม่ได้อีกต่อไป เรือนก็ไม่ต้องซ่อมแล้ว อย่างไรเสียอีกไม่นานก็ต้องแต่งออกไปอยู่ดี” ฮูหยินโจวพูด

นายใหญ่โจวส่งเสียงตอบรับ

“อีกอย่างสิ่งที่สำคัญก็คือต้องไปเอาฤกษ์เกิดของนางมา” ฮูหยินโจวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เช่นนั้นก็ต้องไปเจียงโจว” นายใหญ่โจวพูดขึ้น “ไปๆ  มาๆ เช่นนี้ต้องใช้เวลาร่วมเดือนเชียวนะ แล้วก็คนของตระกูลโจวจะว่าอย่างไร”

“จะว่าอย่างไรได้เล่า ก็ให้พวกเขาส่งฤกษ์วันเกิดมาให้แต่โดยดีน่ะสิ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แล้วก็ไม่ใช่หน้าที่ที่พวกเขาต้องพูดด้วย นอกจากนี้สินสอดก็ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว ทำตามกฎของเมืองหลวง อย่างน้อยต้องสองหมื่นก้วน”

เมื่อเห็นพ่อแม่คุยเรื่องงานแต่งงาน ท่านชายโจวหกจึงถอยออกมาอย่างเงียบๆ

เช่นนี้ใช่สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการหรือ

ยามบ่ายผ่านพ้นไป มีบัณฑิตสามคนเดินออกมาจากเรือนไท่ผิง โดยมีน้องสี่และผู้ดูแลมาส่งพวกเขาด้วยรอยยิ้มอยู่ด้านหลัง

“น่าเสียดายที่ไม่มีนางฟ้าผ่านทาง แต่สิ่งที่พวกท่านทำนั้นแปลกใหม่และน่าสนใจดี” หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าเผยความเคลิบเคลิ้มหลังจากดื่ม

“ขอบคุณคุณชายที่ชมขอรับ” ผู้ดูแลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หวังว่าจะได้รับคำชมจากคุณชายอีก”

สองสามคนนั้นพูดคุยหัวเราะคิกคักพลางเดินออกไป

“ปากหวานเสียจริง” หนึ่งในนั้นเอ่ยพลางยิ้มแล้วหันกลับไป “คิดว่าเงินพวกนี้จะทำให้คุณชายอย่างพวกข้ามากระตุ้นการค้าของที่นี่… เรียกว่าอะไรนะ… ไท่ผิง… คิดว่าพวกเราเป็นขอทานหรือ”

คนอื่นๆ หัวเราะออกมา ผู้ดูแลร้านไม่มีท่าทีกังวลเลยแม้แต่น้อยแถมยังคงยิ้มอยู่ แต่กลับเห็นว่าผู้พูดกำลังตกตะลึง เหม่อมองไปยังป้ายประตู

“ไท่ผิง” เขาพึมพำขึ้นอีกครั้ง

“ใช่ ที่นี่คือเรือนไท่ผิงของพวกเรา” ผู้ดูแลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ไท่ผิง!” ชายหนุ่มตะโกนออกมาในทันที ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ป้ายประตู

ทุกคนต่างพากันตกใจ

“พี่ซุ่นเหอ เป็นอะไรไปหรือ” พวกเขาถาม

ทุกคนมองไปตามที่ที่เขาชี้ ผู้ดูแลร้านหันมองตามอย่างอดไม่ได้ หรือว่าป้ายประตูมีสิ่งผิดปกติอย่างนั้นหรือ

“ดูคำว่าไท่ผิงนั่นสิ!” ชายหนุ่มตะโกนต่อ สีหน้าตื่นเต้น น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

“ยุคเจริญรุ่งเรืองคือความสุขของปวงประชา…” สหายคนหนึ่งส่ายหัวโดยไม่รู้ตัวแล้วพูดต่อ “จะต่อบทกลอนหรือ หรือต่อบทกวี ท่อนเริ่มเช่นนี้ไม่ถูกนะ”

………………………………………………………..

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด