ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 621 หากภายภาคหน้ายังมีโอกาสอีก

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 621 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

หลังจากเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ในต้าฉู่ก็ผ่านมาสองสามปีแล้ว พรมแดนทางตะวันตกมีภูมิทัศน์เป็นภูเขาขรุขระได้เปรียบในการขัดขวางกลุ่มชาติพันธุ์หมานอี๋เข้ารุกราน ทว่ากลุ่มชาติพันธุ์หมานอี๋ก็ไม่ยอมราวี ฉวยโอกาสยามที่ภายในต้าฉู่วุ่นวายและแว่นแคว้นอ่อนแอ เข้ามาบุกรุกเขตชายแดนอย่างไม่ลดละ

โชคดีที่แม่ทัพเจิ้นซีประจำการอยู่ที่นั่น ทำให้กลุ่มชาติพันธ์ุหมานอี๋ไม่อาจเหยียบย่างเข้ามาในผืนแผ่นดินต้าฉู่แม้แต่ก้าวเดียว ทว่าพรมแดนทางตะวันตกไม่เคยหยุดการสู้รบเล็กๆเลย เผ่าหมานอี๋มีทหารชาญชัย ช่วงสองปีมานี้ชายแดนไม่เคยสงบสุข ชวนปวดหัวยิ่งนัก

ซูเจ๋อไปถึงพรมแดนทางตะวันตกจะจัดระบบทหารเพื่อปกป้องและทำลายภัยคุกคามในเขตชายแดนให้หมดสิ้น

เฉินเสียนทราบข่าวก็รีบเตรียมตัวออกจากวัง เพื่อเดินทางไปยังพรมแดนทางตะวันตก

เหล่าขุนนางย่อมทัดทานอย่างสุดแสน แว่นแคว้นจะไร้จักรพรรดินีปกครองไม่ได้แม้แต่วันเดียว

ทว่าเธอไม่อาจสนใจอันใดได้ อยู่กับความวิตกกังวลมาเนิ่นนาน เธอเกรงว่าหากชักช้าอีกนิดก็จะไม่ได้พบเจอซูเจ๋ออีก

ถ้าเกิดเขาไปที่อื่นอีกจะทำเช่นไร?

ฉินหรูเหลียงมาขัดเฉินเสียนอยู่หน้าประตูวัง

“ฝ่าบาทออกจากเมืองหลวงไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ฉินหรูเหลียงฉุกคิดได้ว่า ถึงแม้เวลานี้ซูเจ๋อจะอยู่ในพรมแดนตะวันตก ทว่าเขาก็ไม่อยากเห็นเฉินเสียนไม่หาเขาหรอก

“หลีกไป ข้าจะไปพาเขากลับเมืองหลวงด้วยตัวเอง”

ฉินหรูเหลียงหลีกไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งเฉินเสียนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา สุดท้ายก็ถูกเขาแบกกลับพระตำหนักไท่เหอ

ถึงแม้ท่าทางฉินหรูเหลียงจะแข็งกระด้าง แต่คำพูดคำจากลับอ่อนโยน “เส้นทางพรมแดนทางตะวันตกลาดชัน ขุรขระ ฝ่าบาทคงต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองเดือนกว่าจะไปถึง และด้วยความสามารถของซูเจ๋อ เขาไม่ต้องใช้เวลาสองเดือนก็ทำให้เผ่าหมานอี๋ถอยทัพได้แล้ว ฝ่าบาทไม่กลัวสวนทางกับเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนไม่เคยนึกถึงจุดนี้ ฉินหรูเหลียงแจ้งเตือน เธอก็เงียบด้วยความตะลึงค้าง

ใช่แล้ว หากสวนทางกันล่ะ

ฉินหรูเหลียงกล่าวอีกว่า “ฝ่าบาทเดินทางไกลไปหาเขา ส่วนเขาก็รีบกลับเมืองหลวง สุดท้ายฝ่าบาทก็ยังไม่เจอเขาอยู่ดี ทั้งยังไปเสียเที่ยวอีก เหตุใดไม่ออกพระราชโองการให้เขากลับเมืองหลวงหลังจากที่สะสางธุระเสร็จเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

พระราชโองการไปถึงพรมแดนตะวันตกอย่างรวดเร็ว

เดิมทีคิดว่าซูเจ๋อแค่จัดระบบป้องกันภัยเฉยๆ หากรู้ไม่ว่าเขานำทัพไล่ฟันศัตรูด้วย

ระหว่างหนึ่งถึงสองเดือนนี้เกิดการสู้รบนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเผ่าหมานอี๋ล้วนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทุกครั้งไป ราษฎรตามแนวตะเข็บชายแดนที่ถูกเผ่าหมานอี๋บุกรุกก็โล่งอกไปได้มากแล้ว

เป่ยเซี่ย

ใบประกาศของจักรพรรดินีแห่งต้าฉู่อยู่ในพระหัตถ์ของจักรพรรดิเป่ยเซี่ย พระองค์มองภาพในใบประกาศเนิ่นนาน แววตามืดมน เกิดความดีใจปะปนกับโทสะไว้ในที

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยถาม “เขาไม่อยู่ต้าฉู่แล้วหรือ?”

ท่านอ๋องมู่กล่าว “เหมือนจะออกจากราชสำนักเกือบหนึ่งปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ยังอยู่ในแคว้นต้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าช่วงนี้เขาไปสู้กับเผ่าหมานอี๋ที่พรมแดนตะวันตกแห่งต้าฉู่ ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยวางใบประกาศไว้ด้านข้าง พลางกล่าวว่า “ไม่กลับเป่ยเซี่ย แต่กลับทุ่มเทสติปัญญาเเลความสามารถเพื่อจักรพรรดินีต้าฉู่”

ท่านอ๋องมู่หัวเราะกล่าวอย่างเป็นมิตร “เพราะต้าฉู่มีพระคุณต่อเขา เสด็จพี่อย่าได้กังวลไปเลย กระหม่อมจะส่งคนไปอารักขาพ่ะย่ะค่ะ”

ถึงแม้พระราชโองการของเฉินเสียนส่งไปถึงที่หมายแล้ว ทว่าเธอก็ยังคงนอนไม่หลับอยู่ดี เธอไม่รู้ว่าซูเจ๋ออยู่ในสนามรบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง มีดดาบไร้ตา ไม่รู้เขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่?

เฉินเสียนเข้าห้องของซูเซี่ยนกลางดึก มานั่งด้านข้างเตียงนอนของเขาสักพัก

ซูเซี่ยนตื่นแล้วมองเธอ พลางกล่าวว่า “ท่านแม่”

เฉินเสียนยิ้ม เอื้อมมือไปจับหน้าผากของเขา ก่อนจะกล่าวว่า “อาเซี่ยน แม่คงไม่อาจอยู่ฉลองวันเกิดครบห้าขวบของเจ้าแล้ว”

ซูเซี่ยนเงียบชั่วครู่ กล่าวว่า “ท่านแม่ไปเถอะ ไปตามท่านพ่อกลับมา”

“อาเซี่ยนเป็นเด็กดีเหลือเกิน”

เฉินเสียนเปลี่ยนอาภรณ์ให้แม่นมซุยไปเลือกม้าชั้นดีมา งานในราชสำนักเธอมอบหมายเรียบร้อยแล้ว พอรุ่งเช้าอวี้เยี่ยนก็จะมอบคำสั่งให้เฮ่อโยวทำหน้าที่แทนก่อน ส่วนเธอก็ออกจากเมืองหลวงในยามวิกาล

เมื่อประตูเมืองเปิด ฉินหรูเหลียงก็รู้ทันที เขารีบนำคนตามไป

ม้าพันธุ์ดีวิ่งตามออกไปนอกเมืองหลวงมากๆ โดยมีฉินหรูเหลียงเป็นแกนนำของกลุ่มองครักษ์ชุดดำ

เฉินเสียนรู้ว่าฉินหรูเหลียงต้องมาตาม ดังนั้นเธอจึงเดินทางโดยไม่หยุดพัก กระทั่งดื่มน้ำทานอาหารที่จุดพักรถม้าก็รู้สึกเสียเวลา

เธอลืมเลือนความเหนื่อยล้า มุ่งหมายกับการเดินทางทั้งคืนทั้งวัน เธอเดินทางจนม้าวิ่งตายไปสองตัว เมื่อฉินหรูเหลียงตามเธอทันก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว

ยามนี้พวกเขาห่างจากเมืองหลวงมากโข

ความรู้สึกกับการดิ้นรนไขว่คว้าของเธอที่มีต่อซูเจ๋อ ฉินหรูเหลียงรับรู้ได้ทั้งหมด เขาตามเฉินเสียนทันเพื่อตะวันลับขอบฟ้า เฉินเสียนลงแส้ที่หลังม้าเพื่อจะวิ่งไปไกลกว่าเขา

คนหนึ่งนั่งม้าวิ่งหนี คนหนึ่งนั่งม้าไล่ตามบนท้องถนนสักพัก ฉินหรูเหลียงเห็นเธอควบม้าเช่นนี้อันตรายยิ่ง ดังนั้นถือโอกาสตอนที่ม้าทั้งสองตัววิ่งคู่ขนานกับอยู่ เขากระโดดไปยังด้านหลังของเธอทันที

รู้สึกว่าด้านหลังหนักมากกว่าเดิม ฉินหรูเหลียงก็มานั่งด้านหลังเฉินเสียนสำเร็จในชั่วพริบตา ทั้งสองพลันนั่งม้าเดียวกัน

มือข้างหนึ่งของเขาโอบเฉินเสียนไว้ ส่วนอีกข้างก็รีบจับบังเหียนเพื่อควบคุมม้าของเธอ

ถึงแม้เฉินเสียนจะเป็นผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญ แต่เธอเหนื่อยล้าจากการเดินทางจนร่างกายผอมซูบ ดังนั้นไม่ว่าจะด้านรูปร่างหรือพลังกำลังกายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินหรูเหลียง จึงถูกฉินหรูเหลียงควบคุมได้โดยง่าย เขาคุมเธอไว้ในอ้อมกอดชนิดที่ไม่ให้เธอดิ้นรนต่อสู้เลยสักนิด

เมื่อครู่เฉินเสียนลงแส้บนตัวม้า ทำให้ม้าวิ่งเร็วอย่างบ้าคลั่ง หลังจากวิ่งไปไกล ม้าจึงจะชะลอความเร็วลง

เฉินเสียนตัวแกว่งอยู่บนหลังม้าจนรู้สึกหน้ามืดตามัว เธอเห็นทิวทัศน์สองข้างทางผ่านสายตาด้วยความเร็วแสง ทำให้สับสนกับทิศทาง

บุรุษที่อยู่ด้านหลังเธอก็เดินทางตะลอนๆเช่นเดียวกับเธอ ทว่าร่างกายของเขายังคงแข็งแรงและอบอุ่น มือที่โอบเอวเธอไว้ก็มีแรงใช้ได้ กระทั่งแผ่นอกของเขาก็ยังส่งเสียงหัวใจเต้นรัวแรงออกมาด้วย

แผ่นหลังของเฉินเสียนแนบติดกับหน้าอกของเขา พลางส่งความอุ่นของร่างกายมาเป็นสายๆ เขาชวนให้รู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขาได้ทุกเพลา

ในที่สุดม้าก็หยุดวิ่งเสียที

ชั่วขณะนั้นทั้งสองต่างพากันเงียบ

ฉินหรูเหลียงดึงหัวม้ากลับหลัง เพื่อเตรียมตัวกลับไป

ทันใดนั้นเฉินเสียนเอ่ยปากพูดเสียงแหบพร่ากะทันหัน “มาถึงครึ่งทางแล้ว ยามนี้ท่านจะให้ข้ากลับไปอีกหรือ? ข้าเสียใจที่ฟังความท่านตอนแรก ด้วยเกรงว่าจะสวนทางกับเขา ตอนนั้นจึงลังเล”

ฉินหรูเหลียงชะงัก

เฉินเสียนก้มหน้าหัวเราะ พลางกล่าวว่า “หากข้าไม่ลังเลแต่แรก ยามนี้คงเจอเขาที่พรมแดนตะวันตกแล้ว ถึงแม้จะสวนทางกับเขา แต่ก็ไม่ถือว่าไปเสียเที่ยว แต่เขาต้องกลับเมืองหลวงข้าถึงจะเสียเที่ยวได้ ขอเพียงเขากลับเมือง อย่าว่าแค่พันลี้เลย ถึงแม้จะเป็นหนึ่งหมื่นแปดพันลี้ข้าก็ไม่รู้สึกว่าเสียเที่ยว”

เธอเป็นคนดื้อรั้นแต่ไหนแต่ไรแล้ว สิ่งที่ตัวเองตั้งมั่น หากไม่ทำตามหัวใจก็จะทำให้เสียใจภายหลัง

ฉินหรูเหลียงกล่าวเสียงทุ้มต่ำที่เจือความเคร่งขรึม “ยามนี้พรมแดนตะวันตกกำลังทำสงครามอยู่ หากมีคนรู้ว่าท่านไป ท่านก็จะอันตราย เขาไม่อยากเห็นท่านตรงนั่นหรอก”

“แต่ข้ารู้สึกว่าข้าใกล้ตายแล้ว” เธอสะดุ้งเล็กน้อย “หัวใจข้าปวดร้าวเกินทน แต่ข้ายังต้องแสร้งเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้นทุกวี่ทุกวัน ท่านเคยบอกข้าว่า ถึงแม้ด้านหน้าจะยากเย็นเพียงใดก็ไม่ต้องปล่อยมือ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำให้ข้ามีความสุขได้ เมื่อข้าคิดว่าใกล้จะสมหวังแล้ว เขากลับจากข้าไป ฉินหรูเหลียง ท่านก็จะให้ข้าทุกข์ตรมเหมือนเขาหรือ?”

เฉินเสียนกล่าว “ไม่ว่าจะได้เจอเขาหรือไม่ แต่หากข้าล้มเลิกความพยายามกลางคัน วันหน้าข้าต้องเสียใจที่ไม่ไปต่อแน่นอน” เธอยิ้มฝืดๆ

“ถึงแม้จะรู้ว่าสุดท้ายไม่มีผลสรุปที่ดีงาม ถึงแม้จะรู้ว่าข้าต้องเสียใจต่อ แต่จะทำอย่างไรได้ ข้ายังไม่ตายใจนี่”

“ข้าอยากไปดู ไม่เจอกันหนึ่งปี เขายังสบายดีหรือไม่ ฉินหรูเหลียง ท่านให้ข้าไปเถอะ ข้าจะซาบซึ้งท่านไปตราบนานเท่านาน”

ฉินหรูเหลียงเม้มปากกล่าว “ข้าไม่อยากให้ท่านซาบซึ้งเลยสักนิด”

ปากพูดเช่นนี้ แต่สุดท้ายเขาก็หันหัวม้ากลับมาจนได้ พอองครักษ์ด้านหลังตามมาถึง พวกเขาก็ออกเดินทางต่อ

หากเธอจะไปให้ได้ ฉินหรูเหลียงจะไปเป็นเพื่อนเธอจนถึงจุดหมาย ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ปล่อยให้เธอทำตามใจสักครั้ง ให้เธอได้พยายามอีกสักหน

พอเข้าใกล้พรมแดนตะวันตก สงครามระหว่างต้าฉู่กับเผ่าหมานอี๋ก็จบสิ้น

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด