หลอมศาสตราสะท้านยุทธจักร – ตอนที่ 24 แสดงวิชา

อ่านนิยายจีนเรื่อง หลอมศาสตราสะท้านยุทธจักร ตอนที่ 24 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“เช่นนั้นข้า หว่านจือ จะออกมาแสดงกระบวนท่าดาบละลายผาขั้นต้นให้ดูขอรับ”หว่านจือ ศิษย์คนหนึ่งของสำนักเพลิงบัญญัติเดินออกมากลางลานฝึกด้วยท่าทีโอ้อวดแปลกๆ ยามนี้ศิษย์ในสำนักเพลิงบัญญัติพักการฝึกของตัวเองแล้วเข้ามาล้อมดูการแสดงทักษะของหว่านจือกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ท่าทางการเป็นเป้าสายตาจะไม่ทำให้หว่านจือเขินอายเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเจ้านั่นเหมือนจะชอบเสียด้วยซ้ำ

 

วูบ….

 

กระบวนท่าดาบละลายผาเป็นหนึ่งในกระบวนท่าดาบระดับกลางของสำนักเพลิงบัญญัติที่มีประวัติศาสตร์มานานกว่าพันปี เหล่าปรมาจารย์ในอดีตต่างคิดค้นวิชาและทิ้งเอาไว้ให้เหล่าคนรุ่นหลังจำนวนมากโดยใส่ใจถึงการพัฒนาของศิษย์ในสำนักอีกด้วย เพราะแบบนั้นจึงไม่ใช่เพียงวิชาชั้นสูงเท่านั้น แม้แต่วิชาระดับล่างก็ยังเป็นวิชาชั้นยอดในแต่ละช่วงระดับชั้น แถมหว่านจือผู้นี้แม้จะไร้ความน่าเชื่อถือแต่ก็ฝึกฝนวิชาดาบละลายผามาดีไม่น้อย กระบวนท่าที่แสดงออกมาสมบูรณ์งดงามอย่างมาก

 

“คนต่อไป”ทันทีที่หว่านจือแสดงจบ เหล่าศิษย์ในสำนักคนต่อไปก็พากันขึ้นมาแล้วแสดงวิชาที่ตนเองเลือกฝึกจากในหอตำราราวกับเป็นงานจัดแสดงวิชายุทธของสำนักเพลิงบัญญัติไม่มีผิด

 

ส่วนสาเหตุที่อยู่ๆกลางลานฝึกของสำนักเพลิงบัญญัติก็กลายเป็นนิทรรศการวิชายุทธเช่นนี้ก็เพราะ….

 

“น้องอี้เฟย เป็นอย่างไรบ้างชอบวิชาไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”หลี่ซานจงพี่ใหญ่ของศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักเพลิงบัญญัติหันมาถามหยางอี้เฟยศิษย์คนเล็กของสำนักด้วยท่าทีอ่อนโยน

 

เพราะเสื้อคลุมของหนิงหลง อี้เฟยก็เลยสามารถเข้ามาฝึกกับเหล่าศิษย์ของสำนักได้เป็นครั้งแรก แต่ทว่าตอนแรกอี้เฟยเพียงจะตามหนิงหลงมาฝึกร่วมกับหลี่ซานจงและหว่านจือเท่านั้น ทว่า…..ระหว่างสอบถามอี้เฟยว่านางชอบวิชาอะไรและอยากเริ่มฝึกอะไร เหล่าศิษย์พี่ที่ได้ยินเข้าต่างก็รีบเข้ามาเสนอวิชาของตนกันอย่างกระตือรือร้นเสียอย่างนั้น กลายเป็นว่าเหล่าศิษย์ต่างมองอี้เฟยเป็นศิษย์น้องที่น่าสงสารและน่าเอ็นดูกันถ้วนหน้า แต่ละคนต่างมองยามอี้เฟยเดินตามบิดาต้อยๆแล้วพยายามเอาใจช่วยนางกันทั้งนั้น พอนางได้ออกมาฝึกจนได้พวกเขาก็อยากจะช่วยกันอย่างเต็มที่ แต่ฝึกวิชาจะยัดวิชาจำนวนมากใส่อี้เฟยทีเดียวก็ไม่ได้ สุดท้ายเพราะทนเห็นทุกคนเถียงกันว่าวิชาไหนจะเหมาะกับอี้เฟยมากกว่าไม่ได้ หลี่ซานจง ก็เลยเสนอให้ทุกคนแสดงวิชาให้อี้เฟยเห็นแล้วค่อยให้อี้เฟยเป็นคนเลือกเองอย่างที่เห็น

 

“หลบไปไอ้พวกลูกเจี๊ยบ ข้าจะแสดงวิชาของจริงให้พวกเจ้าได้เห็น”อยู่ๆชายผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในลานฝึกพร้อมทำท่าจะแสดงวิชาออกมา แต่ยังไม่ทันได้แสดงเหล่าศิษย์ต่างก็พากันโห่ไล่เสียก่อน

 

“ท่านครูฝึก นี่มันการประชันของพวกเรานะขอรับ ท่านอย่าเข้ามายุ่งสิขอรับ”เหล่าศิษย์จะโกนออกมาด้วยท่าทีล้อเลียนเพราะผู้ที่เดินออกมาก็คือครูฝึกคนหนึ่งของสำนักเพลิงบัญญัตินั่นเอง

 

“ใครเป็นคนกำหนดกัน อีกอย่างหน้าที่ฝึกสอนศิษย์อย่างพวกเจ้าก็คือหน้าที่ของครูฝึกอย่างข้า เพราะฉะนั้นวิชาที่จะให้ศิษย์อี้เฟยเลือกข้าจะร่วมด้วย”ครูฝึกคนนั้นไม่สนเสียงโห่ไล่แต่อย่างไร แถมยังเริ่มแสดงกระบวนท่าของตนออกมาอีกต่างหาก เรียกเอาเสียงโต้แย้งของเหล่าศิษย์ได้ไม่น้อย แต่ถึงจะโต้แย้งก็เป็นเพียงการโต้แย้งในเชิงขำขันเท่านั้น ทำให้บรรยากาศบนลานฝึกครื้นเครงกันไม่น้อย

 

“คิกๆ…”เห็นเหล่าครูฝึกและศิษย์พี่พากันพูดจาหยอกล้อกันอย่างสนิทสนมเช่นนี้ หยางอี้เฟยที่มองอยู่ก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเล่นเอาทุกคนในที่นั้นหันมามองนางเป็นตาเดียว อย่างที่เห็นหยางเซียงเซียนมารดาของนางเป็นสาวงามที่หาตัวจับยาก หยางอี้เฟยที่เป็นบุตรสาวย่อมมีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดูจนยากจะอดใจไม่ให้หลงได้ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะใสๆราวกับกระดิ่งแก้วของนางก็ทำเอาเหล่าศิษย์พี่และครูฝึกรู้สึกราวกับโดนต่อยเข้าที่กลางใจไม่มีผิด

 

“ท่านครูฝึก ต่อไปตาข้า ข้าจะแสดงวิชาบ้าง”อยู่ๆศิษย์คนหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปบนลานประลองขัดการแสดงวิชาของครูฝึกเสียอย่างนั้น เพียงแต่ครูฝึกที่ยังแสดงกระบวนท่าไม่จบก็ยังไม่ยอมลงจากลานฝึกแต่อย่างไร แถมไม่ใช่แค่ศิษย์คนเดียวเท่านั้นยังมีอีกหลายคนอยากจะแสดงวิชาของตัวเองใจจะขาด เลยกลายเป็นบนเวทีมีศิษย์หลายต่อหลายคนขึ้นไปแสดงวิชาพร้อมกันจนได้

 

“ฮะๆ….ครึกครื้นกันดีจริงๆ”หยางเยี่ยนเหว่ยเจ้าสำนักของสำนักเพลิงบัญญัติที่ออกมาดูการฝึกร่วมกับผู้อื่นของบุตรสาวหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข แม้สำนักเพลิงบัญญัติจะไม่ใช่สำนักเข้มงวดอยู่แล้ว แต่ภาพความสนิทสนมเช่นนี้ก็ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ ในฐานะพ่อและเจ้าสำนักวันนี้หยางเยี่ยนเหว่ยมีความสุขยิ่งนัก

 

“ท่านพี่ ข้ารู้ว่าเพิ่งจะเกิดเรื่องกับสำนักเทพอัคคีไป แต่พรุ่งนี้ข้าจะทิ้งสำนักแล้วกลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้งนะเจ้าคะ”หยางเซียงเซียนที่มองอยู่ข้างๆหันไปทางสามีของตนก่อนจะบอกเรื่องที่ตั้งใจจะทำออกไป ความจริงสำนักเพลิงบัญญัติเพิ่งมีเรื่องไม่ควรทิ้งสำนักในเวลานี้ แต่เพราะหลายๆเรื่องทำให้หยางเซียงเซียนต้องกลับไปที่ตระกูลของตนเองให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“ไหนจะเรื่องของเหลียนฟางน้อย ไหนจะเรื่องพลังธาตุของหลานหนิงหลง แถมยังเรื่องของอี้เฟยน้อยอีก ข้า…..”หยางเซียงเซียนเองก็เป็นคนหนึ่งที่รู้หน้าที่ของภรรยาเจ้าสำนักดี ทั้งเรื่องกลับไปรับบุตรสาวคนโตกลับมาสำนัก ทั้งเรื่องหาวิธีเพิ่มพลังธาตุของหนิงหลง และเรื่องไฟสีทองของอี้เฟยอีก ทุกเรื่องต่างเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัวตระกูลหยางทั้งสิ้น ในฐานะภรรยาเจ้าสำนักควรเห็นความปลอดภัยของสำนักมาก่อนถึงจะถูก แต่นางกลับไม่อาจห้ามใจได้เอาแต่คิดอยากจะออกเดินทางเร็วๆจะได้ไปที่บ้านเกิดของตัวเองให้ไวที่สุด

 

“เจ้าไปเถอะ สำนักเพลิงบัญญัติข้าจะปกป้องเอง”หยางเยี่ยนเหว่ยยิ้มให้ภรรยาด้วยท่าทีมั่นใจ

 

“เห็นแบบนี้ข้าก็แข็งแกร่งสมเป็นเจ้าสำนักนะ”หยางเยี่ยนเหว่ยหัวเราะก่อนจะกุมมือของภรรยาเอาไว้แน่น…. แน่นอนอยู่แล้ว แม้จะดูไม่เหมือนแต่หยางเยี่ยนเหว่ยคนนี้เป็นยอดฝีมือของอาณาจักรผลาญสุริยัน รวมถึงมีอาวุธระดับราชันขั้นที่ 10 เอาไว้ในครอบครอง ใครเล่าจะทำอันตรายเขาได้

 

“เรื่องความแข็งแกร่งของท่านข้าไม่ห่วงหรอกเจ้าค่ะ แต่ท่านนะชอบมองข้ามเรื่องละเอียดอ่อนทุกที แถมยังละเลยเรื่องบางเรื่องอีกต่างหาก”หยางเซียงเซียนถอนหายใจออกมาก่อนจะต่อว่าจุดอ่อนของสามีเสียอย่างนั้นทำเอารอยยิ้มมั่นใจของหยางเยี่ยนเหว่ยชะงักไปเลย

 

“แต่จุดนั้นของท่าน….ข้าก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะเจ้าคะ”หยางเซียงเซียนยิ้มออกมาด้วยใบหน้าอ่อนหวานอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนักยามพูดเรื่องของสามี…. แน่นอนจุดที่อ่อนโยนเป็นบางครั้งของนางเองก็เป็นสิ่งที่หยางเยี่ยนเหว่ยชอบเช่นกัน

 

.

 

.

 

.

 

“เจ้าว่าอะไรนะ”อีกด้านหนึ่งทางฝั่งของเมืองชิงหลิงซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักเทพอัคคี ฝ่ายสะใภ้ตระกูลอ้าวที่เพิ่งกลับมาพร้อมคนของสำนักเทพอัคคีพร้อมความพ่ายแพ้นั้นกลับต้องนำข่าวร้ายกลับไปรายงานที่บ้านตระกูลอ้าวอย่างช่วยไม่ได้ และแน่นอนว่าทันทีที่รายงานเสร็จ สิ่งที่จะตามมาก็คือ

 

“พวกเจ้า ได้อาวุธของตระกูลอ้าวไปแล้วยังจะแพ้กลับมาอีกงั้นเหรอ”หัวหน้าตระกูลอ้าวมองบุตรสาวและลูกเขยที่เข้ามารายงานแทนเจ้าสำนักเทพอัคคีด้วยท่าทีโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ตระกูลอ้าวเป็นตระกูลที่สร้างตัวมาจากการค้าขาย แต่เพราะความชื่นชมในตัวผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณของหัวหน้าตระกูลหลายรุ่นก่อน ทำให้ตระกูลอ้าวพยายามรับสะใภ้หรือลูกเขยที่เป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณมาตลอดเพื่อหวังให้ทายาทตระกูลอ้าวมีพลังวิญญาณติดตัว จะได้สร้างอำนาจบารมีให้กับตระกูล ครั้งนี้ตระกูลอ้าวโชคดีที่บุตรสาวคนหนึ่งแต่งงานเข้าตระกูลของเจ้าสำนักเทพอัคคี ทำให้เส้นทางความเป็นใหญ่เหมือนจะใกล้ขึ้น แต่ความจริงสำนักเทพอัคคีกลับไร้บารมี เป็นสำนักดาวรุ่งที่สร้างชื่อเสียงได้ในช่วงนี้ก็จริง แต่ก็เป็นเพียงสำนักที่สร้างขึ้นมาได้ไม่นาน ตอนแรกหัวหน้าตระกูลอ้าวนึกว่าได้ขึ้นขี่หลังพญาราชสีห์แต่กลับกลายเป็นขึ้นขี่หลังลาเสียอย่างนั้น

 

แต่ถึงอย่างไรสำนักเทพอัคคีก็มีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณมากมาย หัวหน้าตระกูลอ้าวเลยหวังจะให้สำนักเทพอัคคีชิงชื่อสำนักธาตุไฟอันดับ 1 มาให้ได้เพื่อจะทำให้สำนักเทพอัคคีเป็นที่นับหน้าถือตา อย่างน้อยถ้าสำนักเทพอัคคียิ่งใหญ่ขึ้น ตระกูลอ้าวก็อาจจะได้รับผลพลอยได้ไปด้วย แต่ใครจะไปคิดว่าทันทีที่โจมตีสำนักเพลิงบัญญัติ ฝ่ายสำนักเทพอัคคีที่คุยเอาไว้นักหนาว่าฝีมือเทียบเท่าสำนักเพลิงบัญญัติกลับพ่ายแพ้กลับมาอย่างน่าอนาถ

 

“ท่านพ่อ…สำนักเพลิงบัญญัติครอบครองอาวุธระดับราชันขั้นที่สิบอยู่นะเจ้าคะ หากไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นด้วยอาวุธที่ท่านพ่อมอบให้ พวกเราต้องชนะแน่ๆ”สะใภ้ตระกูลอ้าวแก้ตัวออกมาด้วยใบหน้ากล้าๆกลัวๆ บิดาของนางเป็นคนน่ากลัวและอารมณ์รุนแรง ต่อให้สามีของนางที่เป็นบุตรชายเจ้าสำนักเทพอัคคีจะอยู่ข้างๆบิดาของนางก็ชี้หน้าด่าทั้งนางทั้งสามีได้ไม่ไว้หน้าอยู่ดี

 

เพร๊ง!!

 

หัวหน้าตระกูลอ้าวปาแก้วชาลงพื้นจนแตกละเอียดก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีโมโห ทำงานพลาดแล้วกลับมายังจะแก้ตัวอีกงั้นหรือ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรแต่คนที่รับปากเอาไว้ว่าขอเพียงตระกูลอ้าวลงทุนให้สำนักเทพอัคคีก็จะชนะสำนักเพลิงบัญญัติแน่ๆมันคือเจ้าสำนักเทพอัคคีเองไม่ใช่หรือ แล้วนี่อะไรแม้แต่มาพบหน้าก็ไม่มา

 

“ก็ได้…เจ้าสำนักธาตุไฟอันดับหนึ่งถือดาบระดับราชันขั้นที่สิบเข้าต่อสู้พวกเจ้าจะแพ้ก็ไม่ถือว่าผิดอะไร…..”พอขว้างแก้วลงกับพื้นก็เหมือนได้ระบายอารมณ์ไปนิดหน่อยทำให้หัวหน้าตระกูลอ้าวทำใจให้เย็นลง เรื่องเจ้าสำนักเพลิงบัญญัติมีอาวุธวิเศษซ่อนเอาไว้ก็คงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ แถมยังเป็นดาบระดับราชันขั้นที่ 10 อาวุธที่ต่อให้มีตระกูลอ้าวสัก 10 ตระกูลก็ไม่สามารถหามาได้อีกด้วย แบบนี้การเอาชนะสำนักเพลิงบัญญัติเพื่อขึ้นเป็นสำนักธาตุไฟอันดับ 1 ก็คงเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นคงต้องเก็บทวนแทงตะวันคืนแล้วนำไปขายถอนทุนกลับมาเท่านั้นเพราะราคาของทวนเล่มนั้นก็ไม่ใช่น้อยๆเสียด้วย

 

“ไปบอกเจ้าสำนักเทพอัคคีว่าแผนการของพวกเราถือว่ายุติ ส่งอาวุธคืนเข้าคลังตระกูลอ้าวซะ โดยเฉพาะทวนแทงตะวันกับกระบี่สลักลายที่เป็นอาวุธระดับตำนาน อย่าให้หายเด็ดขาด”ทันทีที่หัวหน้าตระกูลอ้าวพูดเช่นนั้นออกมา ใบหน้าของสะใภ้ตระกูลอ้าวกับลูกชายของเจ้าสำนักเทพอัคคีก็ซีดเผือดทันที

 

“พวกเจ้าเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”หัวหน้าตระกูลอ้าวถามพลางมองไปทางบุตรสาวและลูกเขยด้วยท่าทีสงสัย พวกมันทำหน้าเหมือนกับโลกจะแตกเสียอย่างนั้น หรือว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับอาวุธทั้งสองเล่มนั้นงั้นหรือ

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด