ท้าทายลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 22 รู้ได้ยังไง?

อ่านนิยายจีนเรื่อง ท้าทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 22 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 22 รู้ได้ยังไง?

 

และมันก็เป็นไปตามที่เธอคาดการณ์เอาไว้ เพราะจากนั้นเพียงแค่อึดใจเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจนเขาถึงกับต้องสะดุ้งโหยง และรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดปุ่มรับสายเพื่อสนทนาแต่เมื่อได้ยินเสียงจากทางปลายสาย ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าในขณะที่ร่างกายของเขามีอาการสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

 

จากนั้นเขาก็ย่อตัวลงคุกเข่าโดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศที่เกาะฮ่องกงตั้งอยู่ และโขกศีรษะของตนเองลงบนพื้นสามครั้งขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา

 

เมื่อเห็นท่าทางโศกเศร้าของเขาแล้ว มันก็ทำให้หยางซือเหมยนึกถึงความสูญเสียของครอบครัวตนเองในชาติที่แล้ว ซึ่งความเศร้าโศกนั้นทำให้หัวใจของเธอเกิดอาการบีบตัวอย่างรุนแรงขณะที่เธอรู้สึกราวกับว่าไม่อาจจะทนทานไหวและมีน้ำตาหลั่งไหลออกมาจากทั้งสองตาเช่นเดียวกัน

 

“ตัวเล็ก! ร้องไห้ทำไม?”

 

หยางเหอเอ่ยถามขณะที่เขาเห็นหยาดน้ำตาของเด็กน้อยไหลรินลงมา

 

เมื่อได้ยินเสียงเตือนสตินั้น หยางซือเหมยจึงรีบเช็ดน้ำตาของตนเองพลางกล่าวว่า

 

“เมื่อเห็นความเศร้าของคุณฮัวที่เกิดจากการสูญเสียพ่อของเขา..หนูก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่”

 

“คุณ…ฮัวเหรอ? แล้วหนูรู้ได้ยังไงว่าเขาคือคุณฮัว? รู้จักเขาเหรอ?” หยางเหอเอ่ยถามขณะที่คิดอยู่ในใจว่ามันแปลกมาก

 

และด้วยระดับเสียงที่ค่อนข้างดังนั้น แม้แต่เฮาจ้าวกวงและฮัวเหวินหัวผู้ซึ่งกำลังรู้สึกเสียใจก็ยังได้ยินเสียงของเขา ส่งผลให้ฮัวเหวินหัวรีบลุกขึ้นจากพื้นพลางเช็ดน้ำตาจากมุมตาของตนเองพร้อมกับจ้องมองไปที่หยางซือเหมยด้วยความรู้สึกสงสัย

 

เพราะตั้งแต่ย่างเท้าก้าวเข้ามาในหมู่บ้านนี้ เขาก็ไม่เคยเปิดเผยสถานะของตนเองและแน่นอนว่าเรื่องที่บิดาของเขาเสียชีวิตนั้นไม่น่าจะมีคนทราบ

 

แล้วเด็กน้อยคนนี้รู้ได้อย่างไร?

 

เขาคิดพลางจ้องมองไปที่หยางซือเหมยด้วยความรู้สึกสงสัย โดยพบว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้มีลักษณะที่โดดเด่นซึ่งแตกต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิง

 

เพราะเห็นได้ชัดว่า ดวงตาที่คมกริบของเธอนั้นมีวุฒิภาวะและความเห็นอกเห็นใจซึ่งไม่น่าจะมีในเด็กที่มีอายุน้อยเช่นนี้ และดูราวกับว่าเธอสามารถมองเห็นความผันผวนของโลกได้

 

อีกทั้งจุดสีแดงเข้มบนหน้าผากที่เด่นชัดก็ทำให้ใบหน้าที่แสนจะบอบบางของเธอดูมีความสง่างามมากยิ่งขึ้น ขณะที่ผิวพรรณของเด็กน้อยนั้นมีความกระจ่างใสเหมือนหยก แม้ว่ามันจะเปล่งประกายอย่างเบาบางก็ตาม

 

ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาเขาได้พบเห็นผู้คนมาแล้วมากมาย แต่ไม่มีใครที่มีลักษณะเหมือนกับเด็กคนนี้

 

“หนูน้อยมาทางนี้หน่อย” เขากวักมือเรียกหยางซือเหมย เธอจึงเดินไปข้างหน้าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองฮัวเหวินหัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาว่า

 

“สวัสดีค่ะคุณฮัว คุณเรียกหนูทำไมคะ?”

 

“หนูน้อย! เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันแซ่ฮัว?”

 

เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้มีความแตกต่างจากเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านตามชนบททั่วไปโดยขาดความเขินอายต่อคนแปลกหน้า มันก็ยิ่งทำให้ฮัวเหวินหัวรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

“หนูคำนวณเอาน่ะค่ะ” หยางซือเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างเย็นชา

 

หยางเหอกล่าวจากด้านข้างว่า

 

“อย่าดูถูกเพราะเห็นว่าเธอเป็นเพียงเด็กน้อยนะครับ เพราะความจริงแล้วเธอเป็นลูกศิษย์ของนักบวชชื่อดังที่อยู่บนเขาโน่น และการทำนายโชคชะตาของเธอก็แม่นยำมากด้วย”

 

“โอ้? หนูน้อยคนนี้และกำลังศึกษาพระอภิธรรมหรือนี่? มันค่อนข้างหายากจริง ๆ ”

 

จากนั้นฮัวเหวินหัวก็ได้หันไปเอ่ยถามเฮาจ้าวกวงที่อยู่ใกล้ ๆ ว่า

 

“อาจารย์เฮาครับ การคำนวณนามสกุลของบุคคลนั้นเป็นเรื่องยากหรือเปล่าครับ?”

 

เมื่อเห็นว่าชายที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถาม เฮาจ้าวกวงจึงจ้องมองไปที่หยางซือเหมย ซึ่งมันทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ผุดขึ้นมาในใจ แต่เขาไม่เชื่อว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จะเข้าใจคำสอนของอภิปรัชญาได้อย่างแท้จริง

 

เพราะความสามารถในการทำนายนามสกุลของคนแปลกหน้านั้น แม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำได้ นับประสาอะไรกับเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาอะไรคนนี้ ดังนั้นโดยไม่ต้องคิดอะไรอีกต่อไปเขาก็กล่าวขึ้นมาว่า

 

“ผมคิดว่าเธอคงจะเคยเห็นคุณในทีวีเเน่นอน!”

 

แต่ในปีพ.ศ. 2535 นั้นฮัวเหวินหัวยังไม่มีความมั่งคั่งมากนัก โดยตอนนั้นเขามีเงินเพียงแค่สามสิบล้านเหรียญเท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่จะได้ออกรายการทีวีจึงมีน้อยมาก ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เด็กน้อยคนนี้จะจำเขาได้

 

อย่างไรก็ตามด้วยความเคารพที่มีต่อเฮาจ้าวกวง ทำให้เขาไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ขณะที่เอ่ยถามต่อไปว่า:

 

“แล้วเธอรู้ข้อมูลอื่น ๆ ของฉันอีกมั๊ย?”

 

หยางซือเหมยพยักหน้าพลางตอบว่า

 

“คุณฮัวเดินทางมาจากฮ่องกงเพื่อหาสถานที่ฝังศพที่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยสำหรับคุณพ่อผู้ล่วงลับของคุณ”

 

การได้ยินคำกล่าวของเด็กน้อยมันทำให้ฮัวเหวินหัวถึงกับมีอาการตกใจจนอ้าปากค้าง

 

เพราะแท้จริงแล้วเขาได้พาเฮาจ้าวกวงไปที่นี่ก็เพื่อแสวงหาที่ดินซึ่งมีฮวงจุ้ยที่ดี เนื่องจากบิดาของเขามีความปรารถนาที่จะพักผ่อนอย่างสงบสุขหลังจากเสียชีวิตในบ้านเกิดของตนเอง

 

และเมื่อพวกเขาเดินผ่านหมู่บ้านหยาง พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบต้นไม้โบราณ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นวัสดุที่ดีที่สุดสำหรับการทำโลงศพ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการขอซื้อต้นไม้นี้

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด