ท้าทายลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 23 หายนะเลือด

อ่านนิยายจีนเรื่อง ท้าทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 23 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 23 หายนะเลือด

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวของหยางซือเหมย แววตาแห่งความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของอาจารย์เฮาจ้าวกวงด้วยความรู้สึกสงสัยที่ท่วมท้น และพยายามสังเกตท่าทีของเด็กน้อยเพื่อที่จะค้นหาอาการพิรุธจากใบหน้าของเธอ

 

อย่างไรก็ตามเขาพบว่า ไม่ว่าจะพิจารณาอย่างละเอียดสักเพียงใดก็ไม่สามารถมองเห็นความผิดปกติของเด็กน้อยได้เลย ซึ่งเขาไม่เคยพบเจอกับเรื่องแบบนี้มาก่อน!

 

หรือว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะเป็นอัจฉริยะด้านโหงวเฮ้งที่สวรรค์ส่งลงมาเกิดบนโลกมนุษย์?

 

หรือว่าตนเองจะมองเธอผิดพลาดไป?

 

ดังนั้นเขาจึงแสดงสีหน้าประะหลาดใจขณะที่เอ่ยถามว่า

 

“สาวน้อย! ช่วยบอกวันเกิดของเธอให้ฉันรู้จะได้หรือเปล่า” อาจารย์เฮาจ้าวกวงเอ่ยถาม

 

“ผมบอกเอง… ” หยางเหอโพล่งข้อมูลที่เกี่ยวกับการเกิดของหยางซือเหมยอย่างรวดเร็ว

 

และในขณะที่เฮาจ้าวกวงตั้งใจฟังเขาก็เหยียดนิ้วออกมาเพื่อคำนวณไปด้วย แต่ดูราวกับว่าจิตใจของเขาจะกำลังสับสนอย่างยิ่งกับบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าของดวงชะตาจึงทำให้เขาไม่สามารถคำนวณผลลัพธ์ออกมาได้เหมือนทุกครั้ง

 

และด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถสรุปอะไรได้เลย ทำให้ต้องรีบหยุดการคำนวณอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สูญเสียพลังงานทางจิตวิญญาณของตนเอง โดยเขาไม่สามารถล่วงรู้อดีตของเธอ และไม่สามารถคาดการณ์อนาคตของเธอ อีกทั้งยังไม่สามารถอ่านโหงวเฮ้งของเธอได้อีก

 

ดูเหมือนว่าโชคชะตาของเธอจะแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ?

 

และในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับหลักอภิปรัชญา เขาย่อมรู้ดีว่าบนโลกใบนี้มีเรื่องราวที่แปลกประหลาดและพิสดารอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน

 

และหากได้เด็กน้อยคนนี้มาเป็นศิษย์เเน่นอนว่าดวงชะตาของเธอที่มีความแตกต่างจากคนทั่วไปและความฉลาดล้ำเช่นนี้จะต้องเสริมบารมีของเขาให้เพิ่มขึ้นอีกระดับ

 

ซึ่งในตอนนี้ไม่ว่าจะในเกาะฮ่องกงหรือแม้แต่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เขาได้รับการยกย่องให้อยู่ในระดับปรมาจารย์ ทำให้โดยปกติแล้วมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเป็นลูกศิษย์ของเขา แต่กลับถูกเขาปฏิเสธกลับไป

 

และที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการรับลูกศิษย์ แต่พรสวรรค์ของคนเหล่านั้นมีไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกสนใจได้ เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้พวกเขามาทำลายชื่อเสียงของตัวเองในภายหลัง

 

ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงคลายท่าทางเย่อหยิ่งตามนิสัยของเขาและก้มลงเพื่อเอ่ยถามหยางซือเหมย

 

“หนูน้อย! หนูเต็มใจที่จะมาเป็นลูกศิษย์ของฉันและตามไปอยู่ที่ฮ่องกงด้วยกันหรือเปล่า?”

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นจากด้านข้าง หยางเหอก็เบิกตาขึ้นจนปูดโปนด้วยความตื่นเต้น

 

ในปีพ.ศ. 2535 นั้นเป็นยุคที่ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศอื่นเทียบไม่ได้เลยกับเกาะฮ่องกงโดยเฉพาะในสายตาของชาวบ้านในชนบท โดยพวกเขามีความรู้สึกราวกับว่า เกาะฮ่องกงมีความงดงามราวกับเมืองสวรรค์

 

“ซือเหมยตอบรับเร็ว ๆ สิ! อาจะได้ตามไปด้วย”

 

เขาเร่งเร้าหยางซือเหมยอีกครั้งหลังจากเห็นว่าเด็กน้อยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ มากนัก

 

“พ่อแม่ของหนูจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะการได้ไปฮ่องกงเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากเลย”

 

เมื่อคำกล่าวนั้นจบลงหยางซือเหมยก็ส่ายหัวทันที ด้วยความรู้สึกที่มั่นคงในจิตสำนึกของตนเองว่า ตราบใดที่ความหายนะของครอบครัวเธอยังไม่ได้รับการแก้ไขเธอก็จะไม่ทิ้งพวกเขาไปไหนเด็ดขาด เนื่องจากหน้าที่ของเธอคือการปกป้องพวกเขา ไม่ใช่ออกไปแสวงหาความสุขให้กับตัวเอง

 

“ไม่อยากไปเหรอ?” ปรมาจารย์เฮาจ้าวกวงกล่าวด้วยอาการตกใจเมื่อเห็นว่าหยางซือเหมยปฏิเสธข้อเสนอของตนเอง

 

“เอ่อ! พ่อกับแม่ของหนูอยู่ที่นี่ หนูก็เลยไม่อยากไปไหนไกล ขอบคุณสำหรับความตั้งใจดีของอาจารย์เฮา”

 

หยางซือเหมยกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปที่เฮาจ้าวกวง แต่ทันใดนั้นเธอก็เห็นภาพของความหายนะที่เกี่ยวข้องกับเลือดที่จะเกิดขึ้นอีกหนึ่งปีนับจากนี้ จึงรีบเตือนเขาว่า

 

“อาจารย์ฮัวคะ หนึ่งปีจากนี้คุณจะต้องเผชิญกับหายนะเลือด โปรดใช้ความระมัดระวังด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้”

 

แม้ว่าเฮาจ้าวกวงจะคิดว่าเด็กน้อยผู้นี้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวเหล่านั้นเขาก็ยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

เด็กน้อยคนนี้กล้าโอ้อวดความสามารถต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ และทำแม้กระทั่งให้คำแนะนำแก่ปรมาจารย์ด้านอภิปรัชญาที่มีชื่อเสียงอย่างเขาได้อย่างไร?

 

ทำแบบนี้มันไม่ไว้หน้ากันเลยนี่! ดังนั้นเขาจึงแสดงท่าทีเย็นชาและไม่ให้ความสำคัญกับเด็กน้อยอีกต่อไป

 

ส่วนฮัวเหวินหัวที่เฝ้าดูจากด้านข้างกลับมีความรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา โดยคำกล่าวที่หลุดออกมาจากปากของเธอนั้นไม่น่าจะมาจากเด็กอายุห้าขวบ

 

เห็นได้ชัดว่ารูปลักษณ์ภายนอกกับความคิดของเธอนั้นไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน!

 

และเมื่อหยางเหอเห็นว่าหยางซือเหมยปฏิเสธปรมาจารย์ผู้นี้อย่างจริงจังเขาจึงรีบต่อว่าเด็กน้อยทันที โดยเธอโต้ตอบกลับมาว่า

 

“อาเหอ! ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว! หนูรู้ว่าตัวเองควรทำอะไร!” หยางซือเหมยอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับหยางเหอด้วยความรู้สึกรำคาญใจ

 

ทำให้หยางเหอผู้ซึ่งกำลังจ้องมองไปที่ดวงตาสีดำคู่นั้นของเธอมีความรู้สึกราวกับว่ามีพลังงานบางอย่างพุ่งตรงมาที่ตนเองจึงรีบหุบปากในทันที

 

ซึ่งเหตุผลอีกอย่างก็คือ เด็กน้อยคนนี้ไม่ใช่บุตรสาวของตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วย

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด