ท้าทายลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 44 นักเรียนคนใหม่

อ่านนิยายจีนเรื่อง ท้าทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 44 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 44 นักเรียนคนใหม่

 

ทันใดนั้นเสียงกริ่งเข้ารียนชั่วโมงแรกก็ดังขึ้น และแม้ว่าทุกคนจะกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้สนใจนักเรียนคนใหม่ที่ย้ายมาจากหมู่บ้านในชนบท แต่พวกเขาก็ยังคงมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่ในสมองอยู่ดี ขณะที่กําลังรอดูว่า เพื่อนร่วมชั้นคนใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร

 

ส่วนนักเรียนที่นั่งอยู่บริเวณริมหน้าต่างทางเดินก็อดไม่ได้ที่จะชะเง้อคอเพื่อสังเกตการผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณหน้าห้อง

 

และในตอนนี้บริเวณทางเดินด้านนอกก็มีเสียงของรองเท้าหนังที่มีความหนักแน่นและทรงพลังของอาจารย์ฉินไคเหวินทําให้เด็กนักเรียนที่ยื่นศีรษะออกไปด้านนอกหน้าต่างรีบหดคอเข้ามาในห้องเรียนอย่างรวดเร็ว

 

“เป็นยังไงบ้าง..เป็นยังไงบ้าง? เห็นอะไรมั้ย?”

 

นักเรียนคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับโอกาสที่จะยื่นศรีษะออกไปเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ

 

“มีอาจารย์อยู่ตรงนั้นด้วยทําให้มองเห็นไม่ค่อยชัด แต่หลังจากที่ได้เห็นเพียงแค่แวบเดียวก็สามารถบอกได้ว่า เด็กผู้หญิงคนนี้มีผมตรงสีดํา ผิวขาวและหุ่นเพรียวแต่ตอนนี้ยังเห็นหน้า ไม่ชัดอืม..ดูแล้วไม่เห็นจะเหมือนเด็กที่มาจากบ้านนอกเลย”

 

“ไม่สิ! ลี่ลี่บอกว่าเธอเป็นเด็กสาวที่มาจากบ้านนอกไม่ใช่เหรอ?”

 

“แม่ของฉันพูดอย่างนั้นจริง ๆ นะ” เฉินลลี่โต้แย้ง

 

เมื่อได้ยินว่านักเรียนใหม่เป็นหญิงสาวผมยาวและผิวขาวอีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มีหุ่นดี ทันใดนั้นระดับความตื่นเต้นของบรรดานักเรียนชายก็พุ่งพรวดขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นขณะที่พวกเขาเงยหน้าขึ้นในตอนที่เด็กนักเรียนหญิงที่ย้ายมาใหม่ปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณประตูต่อหน้าต่อตาเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคนพอดี

โดยมีอาจารย์ซึ่งรูปร่างสูงใหญ่ที่ชื่อฉันไคเหวินสนทนากับเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างแผ่วเบา ทําให้บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ ขณะที่ทุกคนนั่งหลังตรงด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

“นักเรียนทุกคน วันนี้มีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามาในชั้นเรียนของเรา อ้าว! ทุกคนปรบมือต้อนรับเธอเข้าสู่ชั้นเรียนของเรา

ด้วย”

 

ฉินไคเหวินที่มักจะมีน้ําเสียงเข้มงวดและทรงพลัง ในวันนี้กลับดูเหมือนว่าจะมีความตื่นเต้นในน้ําเสียงของเขาอย่างเห็นได้ชัด

 

“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ!”

 

นักเรียนชายทุกคนเริ่มปรบมืออย่างกระตือรือร้น ขณะดวงตาที่แสนจะแพรวพราวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้หลายสิบคู่ได้พุ่งตรงไปยังบริเวณประตูนั้น

 

แต่ทางฝั่งนักเรียนหญิงกลับทําท่าปรบมืออย่างไร้ชีวิตชีวาด้วยใบหน้าที่หดหู

 

“มานี่ นักเรียนหยางซื่อเหมย” ฉินไคเหวินกวักมือไปที่บริเวณประตูเพื่อเรียกเด็กนักเรียนหญิงคนนี้

 

เมื่อเด็กสาวเดินมาบริเวณหน้าห้องเรียนอย่างใจเย็นทุกคนก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เธอมีรูปร่างเพรียวบางกับผมที่ดําขลับซึ่งยาวจนถึงเอว ส่วนใบหน้าของเธอนั้นมีรูปลักษณ์ที่บอบบางและน่ารัก

 

อีกทั้งยังมีคิ้วอันสง่างามที่ยาวไปถึงขมับ และสิ่งที่สามารถสร้างสีสันให้กับโลกนี้คือดวงตาที่ดูมีความเฉลียวฉลาดและมีชีวิตชีวา แต่สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือเธอมีไฟสีแดงสดขนาดเล็กอยู่ตรงบริเวณกลางหน้าผาก ซึ่งมันดูราวกับเป็นการเติมแต่งให้ใบหน้าของเธอมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

 

แม้ว่าตามลักษณะใบหน้ามันจะเทียบกับความงดงามของมู่หรงเยี่ยนไม่ได้ อย่างไรก็ตามผิวพรรณที่ละเอียดอ่อนและเปล่ง ประกายสดใสของเธอก็เป็นสิ่งที่มู่หรงเยี่ยนไม่สามารถเทียบได้

 

และเพียงแค่ได้เห็นผิวอันขาวเนียนละเอียดและอ่อนโยนของเธอ ที่ดูราวกับว่าเป็นสีชมพูอ่อนของดอกกล้วยไม้ซึ่งบาง ที่มันอาจจะขาวและอ่อนโยนมากเกินไป จนทําให้ทั้งร่างของเธอดูเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวเบาบางที่คลุมเครือซึ่งเป็นความรู้สึกที่เหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง

 

แต่การแสดงออกของเธอนั้นไม่ได้มีท่าทีว่าจะขี้อายหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด โดยเธอทําเพียงแค่ยืนสงบนิ่งอย่างเยือกเย็นอยู่หน้าห้องเรียน

 

ขณะดวงตากลมโตที่ดูมีความฉลาดของเธอกวาดมองไปทั่ว ใบหน้าของทุกคนอย่างใจเย็นด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเป็น เส้นโค้ง ซึ่งท่าทางเฉยเมยของเธอช่างเหมือนกับดอกลิลลี่ที่ผลิ บานภายใต้หมอกในยามเช้าเพื่อต้อนรับแสงแรกของรุ่งอรุณ

และเมื่อนักเรียนชายมองตรงไปที่เด็กสาวคนนี้ ความรู้สึกของพวกเขาก็เหมือนกับการได้เห็นนางเอกในนวนิยายที่งดงามราวกับความฝันมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตา ซึ่งดูแล้วมันช่างสบายหูสบายตายิ่งนัก

 

สําหรับนักเรียนหญิงพวกเธอกลับมองไปในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งมันเป็นความคาดหวังที่มีต่อเด็กสาวในชุดสีขาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ขณะที่เกิดความรู้สึกด้อยกว่าเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

แต่ฉันไคเหวินยังแสดงความชื่นชมขณะที่เขาจ้องมองไปยงหยางชื่อเหมย แม้ว่าในตอนแรกเขาจะไม่ค่อยเต็มใจนักเมื่อครูใหญ่แจ้งว่าจะมีเด็กนักเรียนหญิงย้ายมาจากชนบท

 

เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น นักเรียนที่ย้ายมาจากชนบทส่วนใหญ่ มักจะไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นในตนเองมากนักและไม่สามารถปรับตัวให้กับเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนได้ อีกทั้งยังมีผลการเรียนที่ตกต่ําเพราะเรียนตามเพื่อนไม่ทัน ซึ่งสร้างความแตกต่างจากเพื่อนในชั้นเรียนอย่างเห็นได้ชัด 

 

แต่เมื่อได้เห็นหยางชื่อเหมยเป็นครั้งแรก เขาก็เป็นเหมือนกับเด็กนักเรียนชายเหล่านี้ที่รู้สึกเหมือนกับได้เห็นเทพธิดาตัวน้อย ซึ่งมันทําให้รู้สึกราวกับว่ามีสายลมเย็นพัดมาและทําให้ดอกลิลลี่พลิ้วไหวอย่างมีชีวิตชีวา

 

ตอนนี้หยางซื่อเหมยได้เดินผ่านพวกเขาไปนั่งตรงที่ว่างที่อยู่ด้านข้างหวงอี้เฟิงท่ามกลางกลุ่มนักเรียนหญิงที่มีสีหน้าแสดงความอิจฉาและเกลียดชังสมาชิกใหม่ของห้องเรียน

 

ขณะที่หวงอี้เพิ่งรู้สึกประหม่าเล็กน้อยและยกมือขี้นมากอดอกตนเองเอาไว้แน่นพร้อมกับนั่งนิ่งโดยไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย

 

และสาเหตุที่เขาไม่มีเพื่อนร่วมโต๊ะในอดีต อีกทั้งเพื่อนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เขาเป็นเพราะเขามีกลิ่นตัวที่รุนแรง ดังนั้นทุกคนจึงไม่เต็มใจที่จะนั่งกับเขารวมถึงที่นั่งใกล้เคียงด้วย

 

ตอนนี้เมื่อหยางชื่อเหมยผู้ซึ่งเป็นสาวน้อยน่ารักและน่าทะนุถนอมที่แม้กระทั่งร่างกายของเธอก็มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ตามธรรมชาติมานั่งด้านข้างตนเอง เขาเริ่มรู้สึกด้อยค่ามากขึ้นและยิ่งไม่กล้าพูดอะไรกับเธอมาก

 

ส่วนหยางซื่อเหมยนั้นผ่านการฝึกฝนทักษะการนั่งสมาธิจน ประสาทสัมผัสของเธอมีการรับรู้ที่ว่องไวมากเป็นพิเศษ ดังนั้นเธอจึงได้กลิ่นกายจากเขาอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าที่รังเกียจแต่อย่างใด โดยเพียงแค่คลี่ยิ้มเล็กน้อยอย่างใจเย็นพร้อมกับกล่าวว่า

 

“สวัสดี ฉันรู้สึกยินดีมากที่เราได้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกัน”

 

“ เอ่อ…เอ่อ…. ” ลิ้นของหวงอี้เพิ่งดิ้นรนขณะที่เขาตอบอย่างประหม่า

 

“ฉันชื่อว่าหวงอี้เฟิง”

 

“ฉันชื่อหยางซื่อเหมย ถ้าฉันทําอะไรผิดพลาดช่วยแนะนําด้วยนะ”

 

หยางชื่อเหมยเห็นว่าใบหน้าของเพื่อนคนนี้มีออร่าแห่งความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา แต่ที่เขารู้สึกประหม่าเพราะกลิ่นกายของตนเอง ดังนั้นเธอจึงพยายามแสดงความเป็นมิตรให้มากที่สุด

 

“ได้…ได้” หวงอี้เฟิงกังวลมากจนเหงื่อออก

 

และเมื่อเหงื่อของเขาออกมากขึ้นก็ส่งผลให้กลิ่นกายของเขาเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเช่นเดียวกัน ทําให้มันก็เริ่มโชยกลิ่นออกไปโดยรอบ

 

จากนั้นนักเรียนที่อยู่ทางด้านซ้ายและทางด้านขวาต่างก็เริ่มยกมือข้างหนึ่งพึ่งมาปิดจมูก ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ทําท่าโบกไปมาเพื่อไล่กลิ่น

 

ขณะที่หวงอี้เพิ่งจ้องมองไปยังหยางชื่อเหมยด้วยความรู้สึกเป็นห่วง เนื่องจากกลัวว่าตนเองจะทําให้เธอหงุดหงิดเมื่อได้กลิ่นเต่าที่แสนจะรุนแรง ซึ่งมันสร้างกดดันต่อสภาพจิตใจของเขาอย่างหนัก

 

แต่เขากลับเห็นว่าเธอยังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่งพร้อมกับรอยเยิ้มเล็กน้อยโดยไม่มีการแสดงออกถึงความรังเกียจแต่อย่างใดราวกับว่าเธอไม่ได้กลิ่นกายที่แสนจะตลบอบอวลของเขาเลย

 

ใครจะทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้วในเวลานี้ห ยางซื่อเหมยได้ปิดจุดรับรู้กลิ่นของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วดังนั้นไม่ว่ากลิ่นเหม็นหรือกลิ่นหอมใด ๆ เธอก็ไม่สามารถได้กลิ่นนั้น

 

ต่อมาคุณครูฉินไคเหวินก็เริ่มบทเรียนของเขา โดยวิชาที่เขาสอนคือ “ศิลป์ภาษา” โดยการท่องบทกวีให้ฟังว่า 

 

“ความงามของเธอเปรียบเหมือนดังเมฆขาวที่ล่องลอยไปในสายลม เธอเป็นผู้หญิงที่แสนจะอ่อนโยนและสง่างามในหัวใจของฉัน

 

แม้ว่าดอกไม้ที่งดงามหลายร้อยชนิดก็ไม่สามารถเทียบเทียมกับเธอได้ เนื่องจากกลิ่นหอมจากกายเธอนั้นล่องลอยไปทั่วทุกหนแห่งที่เธอเยื้องกรายผ่านไป ทําให้ทุกคนหลงใหลและตกอยู่ในภวังค์

 

ดวงตาที่ลึกซึ้งราวกับไร้กันบึงของเธอเป็นเหมือนกับทะเลสาบที่แสนจะกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งส่องแสงเหมือนดวงดาวทําให้ผู้คนรู้สึกมีชีวิตชีวาเมื่อได้เห็นมัน

ริมฝีปากที่อวบอิ่มและเต็มไปด้วยเสน่ห์ของเธอมันทําให้ฉันคร่ําครวญหาเธอทุกคืนวันโดยไม่รู้ว่าจะทําเช่นใดดี”

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด