ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 73 พนักงานใหม่ไฟแรง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี ตอนที่ 73 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่73 พนักงานใหม่ไฟแรง

ฟางนี่พูดกับจ้าวเฉียนและคนอื่นๆ แบบนี้ เพราะเธอรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนในบริษัทไม่ค่อยดีนัก จึงพยายามสร้างความกลมเกลียว

หวังเฉียงที่ได้รับแต่งตั้งใหม่อีกครั้ง ก็รีบประกาศจุดยืนด้วยความกระฉับกระเฉงว่า

“ประธานฟางโปรดมั่นใจได้ พวกเราจะสามัคคีช่วยกันทำงาน ไม่สร้างปัญหาให้ประธานฟางแน่นอน”

ฟางนี่ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าและพูดว่า

“ดีแล้ว หวังว่าทุกคนจะตั้งใจทำงาน”

หลังจากกล่าวจบฟางนี่ก็หันมาพยักหน้าให้จางหยาง ก่อนจะเหลียวหลังกลับเข้าห้องทำงานตัวเองไป ทางด้านจางหยางเข้าใจความหมายของเธอในทันใด และติดตามเธอเข้าห้องไป

หวังเฉียงเหลือบมองจ้างเฉียนด้วยหางตาเล็กน้อย เชิงส่งสายตาหยามเหยียด และกล่าวขึ้นทันทีว่า

“จ้าวเฉียน นายมาที่ห้องทำงานฉัน ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบและเดินตามหวังเฉียงเข้าไป พ้วงท้ายด้วยเจียงเสี่ยวปิงตามเข้าไป

เจียงเสี่ยวปิงที่อยู่ด้านหลังล็อคประตูห้องทันที พร้อมฉีกยิ้มแห่งชัยชนะประกาศกร้าว

จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

“พวกนายสองคนดูมีความสุขกันจริง! รอยยิ้มบนใบหน้าคงซ่อนไม่อยู่เลยล่ะสิ”

หวังเฉียงระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังสนั่นและตอบไปตามตรงว่า

“แน่นอน! ฉันทนความอัปยศที่นายมอบให้มาเดือนกว่า ในที่สุดฉันก็พาตัวเองกลับมาอยู่จุดเดิมได้สักที! ประธานฟางพูดเสมอว่า ห้ามนำเรื่องส่วนตัวมาก่อปัญหาในบริษัท ดังนั้นฉันจะปล่อยไป แต่แกรู้ไหมว่า ฉันรอดชีวิตมาถึงจุดนี้ได้ยังไง? เกือบทั้งเดือนที่ผ่านมา ฉันต้องนอนโทรมอยู่ในโรงพยาบาล แรงจูงใจเพียงข้อเดียวที่ทำให้ฉันอยากมีชีวิตต่อไปได้คือ สักวันฉันจะกลับมาแก้แค้นแก! แกรอฉันได้เลย จากนี้ต่อไปฉันจะทำให้แกไม่ได้เงยหัวพ้นตีนฉันแน่นอน!”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบพร้อมท่าทีไม่ค่อยแยแสเท่าไหร่นัก ก่อนจะหันไปถามเจียงเสี่ยวปิงว่า เธอมีอะไรอยากจะพูดไหม

เจียงเสี่ยวปิงแสยะยิ้มสุดเย้ยหยันบนมุมปาก แววตาของเธออัดแน่นไปด้วยความเกลียดชังแสนจะเกินบรรยาย มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนสั่นเทา จะเห็นได้ว่าแรงอาฆาตนี้มันเกินพรรณนาเพียงใดแล้ว

“ฉันไม่มีอะไรอยากจะบอกแก แต่แกจำไว้…ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจ แกไม่ตายดี!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบและเอ่ยถามต่อว่า

“มีอะไรจะพูดก็รับพูดนะครับ แต่ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับไปทำงานต่อ ตอนนี้ผมเป็นหัวหน้าแผนก ต้องกลับไปประชุมหารือเกี่ยวกับแผนการพัฒนา และอธิบายรูปแบบการทำงานในอนาคต”

หวังเฉียงหยิบเอกสารปึกหนึ่งโยนให้จ้าวเฉียนโดยตรง และพูดว่า

“นี่เป็นคำสั่งที่ผู้จัดการจางเพิ่งได้รับ รีบไปจัดการซะอย่าให้ลูกค้ารอนาน นี่ถือเป็นงานแรกในฐานะหน้าหน้าแผนกของแก อย่าทำตัวให้มันมีปัญหานัก ไม่อย่างนั้นผู้จัดการจางไม่สุภาพกับแกแน่ ถ้าเขาเอาเรื่องนี้ไปฟ้องประธานฟาง ผลจะเป็นยังไงก็คิดเอาเอง”

จ้าวเฉียนเป็นใคร ทำไมต้องกลัวประธานบริษัทเกมเล็กๆ แห่งหนึ่ง? กลับเป็นทางฟางนี่มากกว่าที่ต้องเกรงใจในตัวเขา

“นี่เริ่มการแก้แค้นกันแล้วใช่ไหม? ผมแค่ยากจะบอกว่า ทำให้เต็มที่นะครับ แล้วไม่ต้องเกรงใจผมรับได้”

เจียงเสี่ยวปิงหัวเราะเยาะคิกคัก กล่าวตอบน้ำเสียงดูแคลนไปว่า

“แกก็แค่พูดกลบเกลือเท่านั้น จริงๆ แล้วนายกำลังรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าผู้จัดการจางจะเล่นงานแกจริงไหม? ไม่ต้องกังวล พวกฉันยังมีไพ่เด็ดไว้จัดการกับแก”

จ้าวเฉียนแค่ยักไหล่ตอบและเดินออกไปพร้อมกับเอกสารปึกนั้น

“ทุกคนในแผนกวางแผน หยุดมือแล้วมาที่ห้องประชุม ผมมีอะไรจะพูดกับทุกคน”

พอจ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็หมุนตัวเข้าห้องประชุมไปรอก่อนทันที

เจวียงหยวนบ่นพึมพำขึ้นว่า

“พนักงานใหม่ไฟแรงก็แบบนี้ มาถึงก็เผด็จการใส่เลย”

“เจวียงหยวน นายเลิกพูดแบบนี้เถอะ ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าแผนกนะ ประธานฟางยังกำชับเป็นพิเศษว่าห้ามมีเรื่อง นายเองก็ก่อปัญหาไว้เยอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีกคราวนี้ไม่มีโอกาสแก้ตัวแล้วนะ”

“ไม่ว่านายจะแน่แค่ไหน แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นหัวหน้าเรา นายต้องยอมรับความจริงข้อนี้”

บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างเกลี้ยกลอมไม่ให้เจวียงหยวนพูดจาล่อปัญหามาให้

ทว่าเจวียงหยวนสนใจพวกเขาที่ไหน และเอ่ยตอบขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

“มันก็ไม่แน่ หน้าอย่างมันจะมีปัญญาทำได้นานอีกแค่ไหนเชียว พวกนายกลัวขึ้นสมองกันไปแล้ว? ตอนนี้ไม่รู้เลยรึไงว่าสถานการณ์เป็นยังไง? หวังเฉียงกับเจียงเสี่ยวปิงกลับมามีอำนาจอีกครั้งแล้ว แถมยังมีผู้จัดการจางคอยหนุนหลัง ยังไงไอ้บัดซบจ้าวเฉียนก็ต้องถูกไล่ออกแน่นอนในไม่ช้า”

เมื่อได้ยินเจวียงหยวนพูดแบบนั้น ทุกคนต่างคิดว่ามันค่อนข้างสมเหตุสมผลไม่น้อย หวังเฉียงครั้งนี้ระมัดระวังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พอได้โอกาสกลับคืนมาแบบนี้ เขาไม่มีทางไว้ชีวิตจ้าวเฉียนแน่นอน

แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นศึกใหญ่ระหว่างชนชั้นผู้นพ พวกเขาเหล่านี้เป็นแค่พนักงานธรรมดาไม่เข้าไปยุ่งเป็นการดีที่สุด ไม่ว่าใครจะชนะหรือขึ้นเป็นผู้นำคนต่อไป ขอเพียงพวกเขาได้เงินเดือนเหมือนเดิมก็พอ

ไม่นานทุกคนในแผนกวางแผนก็เข้ามารวมพลกันที่ห้องประชุม จ้าวเฉียงวางเอกสารคำสั่งใหม่ที่หวังเฉียงเพิ่งมอบหมายมาให้ และส่งให้ทุกคนอ่าน

ยี่สิบนาทีต่อมา เมื่อทุกคนอ่านจบครบก็ส่งกลับไปให้จ้าวเฉียน

“ทุกคนได้อ่านคำสั่งของลูกค้าแล้วใช่ไหม ตอนนี้ก็เริ่มระดมความคิดสร้างพล็อตเอาไว้ได้แล้ว ส่วนเอกสารชุดนี้เดี๋ยวฉันจะไปถ่ายแจกให้คนละชุดนำกลับบ้านไปคิดงานกันต่อ แต่ละคนต้องคิดพล็อตออกมาอย่างน้อยสามแบบ กำหนดส่งภายในสามวันต่อจากนี้”

พอทุกคนได้ยินว่าต้องสร้างพล็อตให้เสร็จสมบูรณ์ภายในสามวัน พวกเขาต่างชะงักค้างในบัดดล โดยเฉพาะกับเจวียงหยวนที่หัวเสียเป็นที่สุด และนี่ถือเป็นโอกาสดีเช่นกันที่จะสะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฉียนและคนในแผนก

“จ้าวเฉียน…ไม่สิหัวหน้า นี่จะไม่เผด็จการไปหน่อยรึไงครับ? ต้องสร้างพล็อตให้เสร็จสมบูรณ์คนละสามแบบภายในสามวัน ใครจะไปทำได้! พวกนายคิดว่ายังไง?”

“ถูกต้อง! หัวหน้าหวังสูงเกินไปแล้ว ถ้าคนละพล็อตภายในสามวันก็พอเป็นไปได้ แต่นี่คนละสามพล็อต กะไม่ให้หลับให้นอนกันเลยงึไงครับ?”

“พวกเราเองก็พอทราบดี พอได้รับตำแหน่งใหม่เลยไฟแรงเป็นพิเศษ แต่อย่าแรงจนเผาให้พวกผมตายแบบนี้!”

จ้าวเฉียนขี้เกียจฟังคนพวกนี้บ่นแล้ว เขาจึงตอบกลับไปว่า

“พวกนายตีกรอบความสามารถตัวเองต่ำเกินไป ที่ฉันส่งการออกไปแบบนี้ก็เพื่อพัฒนาความสามารถของพวกนาย ฟังนะ ถ้าพวกนายทำได้ฐานเงินเดือนย่อมขยับสูงขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่ต้องแก้ตัว สามวันหลังจากนี้ถ้าใครทำไม่เสร็จ เตรียมตัวถูกหักโบนัสได้เลย”

พอพูดจบจ้าวเฉียนก็หยิบเอกสารและจากไปทันที

เจวียงหยวนได้ทีรีบกระโดดออกมาพูดกับทุกคนทันทีว่า

“ทุกคน ทุกคนเห็นไหม? เจ้าบ้านี่มันบ้าอำนาจแค่ไหน? เพิ่งได้เป็นหัวหน้าแท้ๆ แต่กลับทำให้พวกเราเดือดร้อนขนาดนี้แล้ว ถ้าในอนาคตได้นั่งตำแหน่งผู้จัดการ เราไม่ขึ้นสวรรค์ตายห่ากันไปเลยรึไง?”

“แล้วพวกฉันจะทำอะไรได้? เขาเป็นหัวหน้า ส่วนเรามันแค่ลูกน้อง สุดท้ายก็ต้องฟังที่เขาพูด”

“พวกเราไม่กล้ามีเรื่องกับเขาหรอก คิดแค่ว่าเรามีงานที่ต้องทำเพิ่ม แค่นั้นแหละ”

เห็นได้ชัดว่า ไม่มีใครต้องการตั้งตัวเป็นศัตรูกับจ้าวเฉียนเลยสักคน เจวียงหยวนที่ได้ยินดังนั้น ก็คิดไปว่าเพราะจ้าวเฉียนยังมีฟางนี่คอยหนุนหลังอยู่ เขาต้องแก้ปัญหาในจุดนี้ให้ได้ เพื่อไล่จ้าวเฉียนออกไปจากบริษัทแห่งนี้

“พวกนายมีหัวคิดกันบ้างรึเปล่า? ทุกคนได้รับงานหนักเพิ่มเป็นเท่าตัว ในขณะที่จ้าวเฉียนไม่ต้องทำอะไรก็ขยับฐานเงินเดือนเพิ่มได้ ตอนนี้ทุกคนต้องช่วยกันคิดหาวิธีดีกว่าไหม ว่าจะทำยังไงถึงจะให้จ้าวเฉียนพ้นจากตำแหน่งหัวหน้า?”

สิ่งที่เจวียงหยวนพูดไปล้วนเป็นความจริง เงินเดือนของพวกเขาก็ไม่ได้ขยับเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ในทางตรงข้ามกลับมีภาระงานเพิ่มขึ้นอีก ถ้าเป็นคำสั่งจากประธานฟางยังพอว่า แต่นี่เป็นคำสั่งจากหัวหน้าแผนกเท่านั้น เงินจ้างก็ไม่ได้มากขึ้น แล้วเหตุใดพวกเขาต้องทำงานหนักขึ้นแบบฟรีๆ?

ดังนั้นทุกคนจึงร้องให้เจวียงหยวนไปยื่นคำร้องดังกล่าวให้กับหวังเฉียง เพื่อขอให้หวังเฉียงไปช่วยคุยกับพูดจัดการจางอีกมีหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือ ดูท่าผู้จัดการจางจะไม่ค่อยชอบจ้าวเฉียนเช่นกัน ทันทีที่ทราบเรื่องนี้เขาต้องออกโรงแทรกแซงแน่นอน

สิ่งที่เจวียงหยวนต้องการในขณะนี้คือ ความเชื่อใจจากทุกคน เขาจึงกล่าวตอบทันทีว่า

“ไม่ใช่เรื่องยาก ฉันจะไปคุยกับรองผู้จัดการหวังให้มาช่วยเอง แต่ที่สำคัญที่สุด อย่าให้เรื่องนี้หลุดถึงหูประธานฟางเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเราซวยกันหมดแน่!”

“ไม่ต้องกังวล เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราในอนาคต ไม่มีใครทรยศไปบอกประธานฟางแน่นอน”

“ใช่แล้ว ถึงประธานฟางจะทราบในภายหลัง พวกเราก็ไม่ปล่อยให้นายรับผิดคนเดียวอยู่แล้ว!”

“พวกเราจะค่อยสนับสนุนนายเอง!”

เจวียหยวนยิ้มให้ทุกคนด้วยความจริงใจ

“ฉันเชื่อใจทุกคนนะ เอาล่ะ ขอตัวไปหารองผู้จัดการหวังก่อน แล้วรอข่าวดีได้เลย”

ทุกคนต่างส่งยิ้มให้กัน ของเพียงเรื่องนี้ถึงหูหวังเฉียงกับจางหยาง จ้าวเฉียนเตรียมรับศึกหนักได้เลย

ถ้าจ้าวเฉียนถูกกำจัดออกไป นี่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา และไม่จำเป็นต้องรับภาระงานหนักอีกต่อไป ถึงจ้าวเฉียนจะไม่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งในทันที แต่หลังจากนี้จะต้องถูกจางหยานเพ่งเล็งแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็เอื้อประโยชน์ต่อเจวียงหยวนทั้งสิ้น

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด