บุหลันเคียงรัก – บทที่ 72 ร่วงสู่ธุลีดิน (ตอนต้น)

อ่านนิยายจีนเรื่อง บุหลันเคียงรัก ตอนที่ 72 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนออกมาจากจวนเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวน พระจันทร์ดวงใหญ่ขึ้นเหนือฝั่งแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ แสงสีเงินทาทาบลงมาสว่างไสว ไอหมอกราวกับผ้าผืนบางคลุมอยู่บนศิลาสามภพ

 

 

เสียงร้องอย่างตกใจของเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนเมื่อครู่นี้ราวกับดังอยู่ข้างหู “เทพน้อยเจ้าช่างใจกล้านัก! เจ้ากลับกล้าไปขโมยเอาขนจี๋กวงมาจากคอกม้าวังสวรรค์จริงๆ!”

 

 

ตัวฝูชางเองก็รู้สึกว่า เรื่องนี้เขาใจกล้าเกินไปจริงๆ จนตอนนี้เขายังใจเต้นรัวอย่างหวาดกลัว ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเคารพและรักษากฎเกณฑ์มาตลอด หนึ่งเพราะเขามีนิสัยเฉื่อยชา สองเพราะตระกูลเขามีนิสัยอย่างนั้น ต่อให้ตีเขาจนหัวแตกเขาก็คงคิดไม่ถึงแน่ว่า ตัวเองจะมีวันที่ทำเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ได้ หากว่าให้จักรพรรดิสวรรค์กับท่านพ่อเขารู้เข้าว่าเขาไปขโมยขนของจี๋กวงที่ล้ำค่ามา ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องถูกจัดการอย่างไรบ้าง

 

 

หมอกบางเฉียดผ่านเสื้อผ้าไป แขนเสื้อเขาหนักมากจึงก้มลงไปดู องค์หญิงมังกรกอดแขนเสื้อเขาเอาไว้แน่นเหนียวหนึบราวกับขนมหนิวผีถัง [1] แขนเสื้อเขาถูกดึงลงไปกว่าครึ่งแล้ว

 

 

“…นั่งดีๆ” ฝูชางดึงแขนเสื้อขึ้นมา แต่นางก็ดึงลงไปใหม่ไม่ยอมปล่อย พร้อมหาวออกมา

 

 

“ข้าง่วงแล้ว” เสวียนอี่เอ่ยปากออกมาด้วยท่าทางขี้เกียจ

 

 

ฝูชางดึงแขนเสื้ออยู่หลายครั้ง นางก็ยังกำมือแน่นไม่ยอมปล่อยมือ เขาเม้มปากแล้วคว้าไปที่คอเสื้อด้านหลังของนาง เสวียนอี่รู้สึกตัวเบาแล้วลอยไปอยู่บนบ่าของเขา

 

 

“นอนเถอะ อย่างอแง” เขาใช้นิ้วจิ้มไปที่เก้าอี้สานครั้งหนึ่ง เก้าอี้ก็ส่งเสียง” ปุ” แล้วกลายเป็นใบไม้ และถูกเขาเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ

 

 

แขนทั้งสองของนางรัดคอเขาไว้แน่น ใบหน้าที่เยือกเย็นและอ่อนนุ่มของนางแทบจะแนบติดไปกับหูของเขา พลางกล่าวเสียงเล็กว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ท่านไปขโมยขนจี๋หวงมาได้อย่างไร”

 

 

ฝูชางเบนหน้าไปมอง และเบือนหลบการเข้าใกล้อย่างไม่สนใจอะไรของนาง “ถามมากขนาดนั้นไปทำไม”

 

 

เสวียนอี่จะยอมปล่อยเขาไปได้อย่างไร นางบิดไปมาราวกับขนมเกลียว “อย่างไรก็ไม่เป็นไรแล้ว ท่านก็เล่าให้ข้าฟังหน่อยเถอะ”

 

 

ไม่เป็นไร เป็นนางที่บอกว่าง่วง แล้วนี่คือการง่วงของนาง ฝูชางไม่อยากสนใจนาง แต่ว่านางตื้อมาก หากใช้วิธีการแข็งขืนอย่างแต่ก่อนมาบังคับให้นางเงียบ เขาก็ทำไม่ลง

 

 

เขาพลันผิวปากออกมา ราชสีห์เก้าเศียรที่บินเล่นอยู่กลางทะเลเมฆก็รีบถลาลงมา ฝูชางวางเสวียนอี่ลงบนหลังของราชสีห์เก้าเศียรเบาๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบ “นอน”

 

 

นางพลิกตัว ยังอยากจะคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้ ปลายนิ้วจับได้เล็กน้อย เล็บนางเกี่ยวลายปักลับที่ชายแขนเสื้อเขาไว้ กระโปรงห้าสีของนางแผ่อย่างยุ่งเหยิงบนหลังของราชสีห์เก้าเศียร นางนอนดิ้นจนทำให้เห็นเอวบางคอดกิ่วที่ถูกรัดด้วยเข็มขัดสีดำชัดขึ้น ผมยาวสยายของนางปล่อยลงมาจนพันไปกับขนของราชสีห์เก้าเศียร นางใช้นิ้วสางลวกๆ จากนั้นจึงตั้งใจเกี่ยวนิ้วไว้กับลายปักลับสีเงินบนชายแขนเสื้อเขา

 

 

ฝูชางรู้สึกว่าปลายเล็บนางราวกับเกี่ยวมาที่ใจของเขา ในความเจ็บปวดนั้น ใจเขายังคันยุบยิบอย่างรุนแรง

 

 

เขาพยายามดิ้นรนดึงเอาแขนเสื้อกลับมาเป็นครั้งสุดท้าย นางเหมือนกับกำลังดึงเขาลงไปด้านล่าง แต่ว่าเขากลับปฏิเสธไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธไม่ได้

 

 

เขานิ่งงันไปนาน พอก้มหน้ามองไป เสวียนอี่ก็ขดตัวนอนหลับบนหลังของราชสีห์เก้าเศียรแล้ว ผมของนางบังหน้าไปกว่าครึ่ง เผยริมฝีปากให้เห็นครึ่งหนึ่ง เขายื่นมือออกไปคิดจะไปสัมผัสอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ แต่ว่านิสัยระวังตัวของเขาพลันเรียกให้เขาชักมือกลับมา

 

 

สุดท้ายก็ตบไปที่หลังของราชสีห์เก้าเศียร เสี่ยวจิ่วท่องลมและแทรกตัวเข้าไปในทะเลเมฆ

 

 

 

 

วันที่สองเดือนสอง มังกรเชิดหัว องค์หญิงห้าของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์แต่งงาน ฝูชางกับเสวียนอี่มาถึงพื้นที่ทางใต้ งานเลี้ยงแต่งงานก็จัดไปสองวันแล้ว จักรพรรดิเผ่าจิ้งจอกสวรรค์น่าจะอยากจัดงานอย่างงานเลี้ยงของธิดาจักรพรรดิสวรรค์ในปีนั้น เหล่าเทพที่เข้ามาเยี่ยมเยียนไม่ว่าจะได้รับเชิญหรือไม่เขาก็ไม่มีปฏิเสธ และยังเตรียมสุราอาหารเลิศรสไว้ต้อนรับ ตั้งแต่ยอดเขาชิงชิวจนถึงเชิงเขา ต่างก็สนุกสนานรื่นเริง เหล่าปีศาจจิ้งจอกทั้งชายหญิงต่างก็พากันร่ายรำ ดูท่าทางแล้วต่อให้จัดไปอีกสิบวันก็คงไม่มีปัญหา

 

 

เสวียนอี่เดินขึ้นไปบนบันไดหินสีขาวที่กว้างขวาง ระหว่างทางมักจะมีเทพเผ่าจิ้งจอกสวรรค์หน้าตางดงามในชุดสีขาวยิ้มแย้มเอาผลไม้มาให้นาง ยังไม่ทันจะถึงเชิงเขา ผลไม้ในอกนางก็มากล้นจนกลิ้งตกลงไปบนพื้นแล้ว

 

 

นางหันหน้าไปมองฝูชางอย่างสงสัย ใครจะรู้ว่าเจ้านั่นกลับถูกเทพเผ่าจิ้งจอกสวรรค์กลุ่มหนึ่งขวางไว้ที่เชิงเขา ผลไม้อย่างส้มเอยสาลี่เอยท้อเอยจมมิดมาถึงเข่าเขาแล้ว เขาก็ยังคงยึดตามแบบฉบับกฎเกณฑ์ตระกูลหวาซวีที่มีมารยาทของเขา และพูดคุยกับเหล่าเทพธิดาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

เสวียนอี่ยิ้มแล้วลอยเข้าไป กลับได้ยินเขาถามว่า “ไม่ทราบว่า องค์หญิงเก้าอยู่ที่ใด”

 

 

เทพจิ้งจอกสวรรค์คนหนึ่งยิ้มอย่างงดงาม “เทพฝูชางกลับชมชอบในตัวขององค์หญิงเก้าของพวกเรา หากว่าจักรพรรดิรู้เข้าจะต้องดีใจมากแน่”

 

 

ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องจะมาขอร้ององค์หญิงเก้า ข้าไม่เคยเจอหน้าองค์หญิงมาก่อน ไม่ทราบว่าองค์หญิงมีหน้าตาเช่นไร ขอให้เหล่าเทพธิดาทั้งหลายช่วยชี้แนะด้วย”

 

 

ความคิดของบรรดาเทพสาวทั้งหลายเห็นได้ชัดว่าไม่ได้คิดไปในทางเดียวกับเขาเลย แต่ละคนต่างก็ร้องอย่างตกใจว่า “ยังไม่เคยกระทั่งพบหน้ายังมีใจให้กับองค์หญิงของพวกเรา! เทพฝูชางช่างเป็นคนที่อ่อนไหวและเหนียมอายเสียจริง!”

 

 

เสวียนอี่รู้สึกว่านางอดทนจนถึงขีดสุดแล้ว ถึงจะบอกว่าดูพวกนางพูดจากันก็น่าสนใจดี แต่หากว่าไปสร้างความโมโหให้เหล่าเทพสาวเผ่าจิ้งจอกสวรรค์เข้า แล้วไล่พวกเขาออกไปจะทำอย่างไร

 

 

นางเรียกเสียงอ่อนหวาน “ศิษย์พี่ฝูชาง!” นางรออยู่บนบันได กวักมือเรียกเขาแต่ไม่ยอมลงไป

 

 

เหล่าเทพสาวเผ่าจิ้งจอกสวรรค์พิจารณามองนาง เห็นนางมีหน้าตางดงามน่ารัก บ้างก็รู้สึกท้อใจ แต่ก็มีบ้างที่อ่อนไหวและแอบกระซิบที่หูของฝูชาง “องค์หญิงเก้ามีเก้าหางแต่กำเนิด พลังเทพเข้มข้นมาก หากเทพฝูชางได้พบเทพเผ่าจิ้งจอกสวรรค์คนใดที่มีเก้าหาง คนนั้นก็คือองค์หญิงเก้า”

 

 

ฝูชางเดินออกมาจากกองผลไม้ พลางคว้าไปที่เก้าอี้สานแล้วลากนางขึ้นเขาไป เห็นนางจะเอาผลไม้ในอกทิ้งเขาก็ส่ายหัวแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “อย่าทิ้ง เผ่าจิ้งจอกสวรรค์คุ้นชินกับเรื่องอย่างนี้ หากว่าเห็นใครมีหน้าตาถูกใจก็จะเอาผลไม้มาให้ หากทิ้งไปจะถือว่าเสียมารยาทมาก”

 

 

มิน่า ทำไมเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนถึงได้กล่าวว่าเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ชอบความสวยงาม ที่แท้ก็เป็นการชมชอบอย่างนี้

 

 

เสวียนอี่ย้ายผลไม้ในอกอย่างระวัง เห็นเทพสาวเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ยังคงเดินหน้าแดงแล้วเอาผลไม้ชนิดต่างๆ มายัดใส่อกของฝูชาง แค่ครู่เดียวเขาก็อุ้มไปครึ่งอกแล้ว นางก็หลุดหัวเราะคิกออกมา “มาที่นี่ถือว่าถูกแล้ว ศิษย์พี่ฝูชางเป็นที่นิยมมาก”

 

 

ฝูชางไม่สนใจนางแล้วมองไปรอบๆ เพื่อมองหาองค์หญิงเก้าที่มีเก้าหางคนนั้น พลันเห็นว่าบนยอดเขามีแท่นหินขนาดใหญ่แท่นวางไว้ ด้านบนคือแผ่นศิลาสีดำสนิท ตัวอักษรบนนั้นเปล่งประกายสีขาวออกมา น่าจะเป็นคัมภีร์สวรรค์ที่เผ่าจิ้งจอกสวรรค์เก็บรักษามาตั้งแต่โบราณ

 

 

คัมภีร์สวรรค์แผ่นศิลาประเภทนี้ยังมีอีกมาก และกระจายไปทั่วตามที่ต่างๆ ในนั้นบันทึกเรื่องราวที่เทพโบราณของแดนเทพหลายรุ่นพบเห็นไว้ จักรพรรดิสวรรค์สนใจเรื่องราวเหล่านี้มาก และยังเคยคัดลอกแผ่นศิลาตามแต่ละที่อยู่ถึงหนึ่งพันปี แต่ว่าเผ่าจิ้งจอกสวรรค์กับเขาถูเซียง โดยทั่วไปจะไม่มีการติดต่อกับภายนอกเท่าไหร่นัก เขาจึงไม่สามารถคัดลอกคัมภีร์สวรรค์แผ่นศิลาที่ทั้งสองที่เก็บรักษาเอาไว้ได้

 

 

วันนี้ธิดาจักรพรรดิจิ้งจอกสวรรค์แต่งงาน เขาเปิดให้คนนอกเข้า มีโอกาสอย่างนี้ ฝูชางไม่อยากจะเสียไป จึงรีบลากเสวียนอี่ขึ้นไปบนยอดเขาแล้วไปยืนนิ่งด้านหน้าแผ่นศิลา

 

 

เสวียนอี่ปอกเปลือกส้มกลีบหนึ่ง นางกินไปถามไปว่า “นี่คืออะไร”

 

 

“คัมภีร์สวรรค์” ฝูชางตอบกลับสั้นมาก

 

 

เสวียนอี่เข้าไปใกล้และอ่านกับเขา พลันกล่าวอีกว่า “ทำไมท่านถึงได้รู้เรื่องมากมายอย่างนี้ได้ หากอายุมากแล้วจะรู้หรือ”

 

 

ฝูชางรู้สึกว่าอักษรบนแผ่นหินสับสนขึ้นมาทันที นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว วิธีการพูดที่ไร้มารยาทของนางอย่างนี้ ดูแล้วคงไม่ได้ข่มนางมานาน นางถึงได้อยากโดนตีนัก

 

 

เขาทำหน้าขรึมและคิดจะตีนาง พลันมีลมพัดมาพร้อมกับกลิ่นหอมของสุราเข้มข้น สุราเลิศรสที่เผ่าจิ้งจอกสวรรค์นำมารับแขกต่างก็เป็นสุราเข้มข้น ไม่เหนือความคาดหมาย เสวียนอี่จามออกมาหลายครั้งติดๆ กัน ผลไม้ในอกกลิ้งลงไปเกลื่อนพื้น สุดท้ายได้แต่ต้องใช้แขนเสื้อมาปิดหน้าไว้

 

 

 

 

 

 

[1] ขนมหนิวผีถัง ขนมแป้งเคลือบน้ำตาลแผ่นบางโรยงา เวลากินจะเหนียวหนืด คนจีนเอามาพูดแทนลักษณะคนที่ชอบตามติดแจ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด