มู่หนานจือ – บทที่ 13 หาคน
เจียงเซี่ยนคิดฟุ้งซ่าน และหลับไปอย่างงุนงง
ตื่นมาวันรุ่งขึ้น ก็ไม่รู้ว่าฝนหยุดไปตั้งแต่เมื่อไรแล้ว
พระอาทิตย์เผยหน้าออกมาเสี้ยวหนึ่ง และสาดส่องไปบนกิ่งไม้และใบไม้สีเขียวเข้มเป็นมันขลับ ความสะอาด ความเย็นสบาย และความสดชื่น ทำให้คนมองรู้สึกสบายใจขึ้นตามไปด้วย
นกขมิ้น นกแก้ว และนกขุนทองร้องเสียงสูงเสียงต่ำขึ้นลงอย่างไพเราะอยู่ใต้ชายคา
เจียงเซี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วชี้เครื่องประดับผมรูปดอกชบาสีชมพูในกล่องเครื่องประดับที่นางในถืออยู่
นางในที่หวีผมรีบทำความเคารพและหยิบเครื่องประดับผมรูปดอกไม้ชิ้นนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วเสียบให้นางตรงขมับ
ไป๋ซู่ปิดปากหาวครั้งหนึ่ง นางนั่งอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างข้างหนึ่ง แล้วถามนางในที่กำลังชงชาให้นางอย่างคล่องแคล่ว “เช้านี้มีอะไรกินหรือ? ไทฮองไท่เฟยมาหรือยัง?”
นางในคนนั้นท่าทางอายุเพียงสิบสองสิบสามปี หน้ากลมขาวนวลมาก และแลดูมีความสุขมาก
นางวางชาที่ชงเสร็จแล้วลงใกล้มือไป๋ซู่ พลางเอ่ยโดยยิ้มตาหยีว่า “ไทฮองไท่เฟยมาแล้วเจ้าค่ะ วันนี้ห้องเครื่องทำข้าวต้มข้าวเจ้า ข้าวต้มข้าวเหนียวดำเม็ดบัว ข้าวต้มซี่โครงผักดำ ข้าวต้มลูกเดือยปลิงทะเล หมั่นโถวหน้าแตก หมั่นโถวเงินทอง…” นางแจ้งชื่ออาหารด้วยเสียงดังอันกังวาน ราวกับระฆังเงิน ไพเราะมาก
ไป๋ซู่อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “ดูปากเจ้าเถอะ ไม่ทำให้ชื่อนี้ผิดหวังจริงๆ”
เสี่ยวเชว่รีบเอ่ย “ชื่อนี้ท่านหญิงเป็นคนตั้งให้ข้า”
ทุกคนต่างยิ้มอย่างหวังดี
บรรยากาศในห้องอบอุ่นมาก
เจียงเซี่ยนก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
ชาติก่อนเสี่ยวเชว่ก็ติดตามนางตลอดและคอยดูแลอาหารการกินของนางเช่นกัน ตอนที่นางเพิ่งว่าราชการหลังม่านก็ซ่อนอยู่ในทางหนีของตำหนักหลัง และแอบทำซาลาเปา ทอดหมั่นโถว ต้มโจ๊กให้นาง ทว่าสุดท้ายกลับถูกพาออกจากวังไปเพราะเป็นไข้ จึงตายนอกวัง
หากเสี่ยวเชว่ไม่ตาย จ้าวสี่ก็คงจะไม่ทำสำเร็จง่ายขนาดนั้นกระมัง?
นางถามไป๋ซู่ “เรื่องที่ข้าบอกเจ้าเมื่อวาน เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
ไป๋ซู่ดูหดหู่ลงเล็กน้อย เป็นไปได้มากว่าเมื่อคืนไม่ค่อยได้นอน
นางลังเลอยู่นานมาก แล้วเอ่ยว่า “ข้า…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
“อย่างไรก็รีบตัดสินใจหน่อยแล้วกัน” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากขอให้เจ้าช่วยนะ!”
“เรื่องอะไร?” ไป๋ซู่รีบเอ่ย
เจียงเซี่ยนขยิบตาให้ไป๋ซู่แล้วเอ่ยว่า “เจ้าถามเฉาเซวียนให้ข้าหน่อยว่า หลี่เชียนลูกชายคนโตของหลี่ฉางชิงถูกส่งไปเป็นขุนนางที่ไหน?”
“ข้าไม่ไป!” ไป๋ซู่ตอบทั้งหน้าแดง นางชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “เจ้าถามถึงหลี่เชียนทำไม? ให้ใครสักคนไปถามก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
“นี่ก็เพราะข้ากลัวฝ่าบาททราบแล้วจะทรงคิดฟุ้งซ่านจนพาลโกรธเฉิงเอินกงมิใช่หรืออย่างไร?” เจียงเซี่ยนตอบมั่วๆ “สรุปเจ้าจะไปหรือไม่ไป? ถ้าไม่ไป ข้าจะให้ขันทีหลิวไปถามจริงๆ แล้ว”
“เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?” ไป๋ซู่ไม่เห็นด้วย
ทั้งสองคนคุยไปหัวเราะไปและไปที่ห้องอุ่นตะวันออก
ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยกำลังรอรับประทานอาหารเช้ากับพวกนางอยู่
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง แล้วไปจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์ที่หอพระใหญ่ และกลับมารับประทานอาหารเช้าที่ห้องอุ่นตะวันออก
เหล่านางในวางถ้วยและตะเกียบเบาๆ
หลิวเสี่ยวหม่านเดินค้อมตัวเล็กน้อยเข้ามาเอ่ยกับไทฮองไทเฮาเสียงเบาว่า “ในกรมวังเพิ่งจะส่งข่าวมา ว่าไทเฮาจะพระราชทานอภัยโทษ วังหลังก็จะได้ปล่อยนางในและนางในระดับสูงจำนวนหนึ่งออกไปด้วย เวลานี้พระราชเสาวนีย์น่าจะประทับตราแล้ว อีกไม่นานก็จะส่งถึงกรมวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มือของไทฮองไทเฮาที่ถือตะเกียบอยู่ชะงักไปกลางอากาศ
ความสัมพันธ์ในวังนั้นช่างซับซ้อน ใครเป็นคนสนิทของใคร ใครเป็นสายของใคร…ไม่แปดปีหรือสิบปีก็ไม่มีทางรู้แน่ชัด ปกติแล้วหากไม่ระวังก็จะทำให้ตนเองถลำเข้าไปในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และวิธีที่ดีที่สุดก็เพียงแค่ปล่อยนางในและนางในระดับสูงออกจากวังจำนวนหนึ่ง…ไม่ต้องสนว่าเป็นคนของใคร ขอเพียงไม่ใช่คนของตน ก็จะปล่อยออกจากวังโดยอ้างว่าอายุมากเกินไป พอออกจากวังแล้ว ต่อให้มีความสามารถก็ไร้ประโยชน์แล้ว
วิธีทำลายให้ย่อยยับอย่างง่ายดายแบบนี้ เรียบง่าย ตรงไปตรงมา และหยาบคาย แต่ก็กลับได้ผลอย่างที่สมควรตายอีก
หากควบคุมได้ดี ทุกความเคลื่อนไหวของวังฉือหนิงและวังเฉียนชิงก็จะหนีดวงตาของเฉาไทเฮาไม่พ้น
ในฐานะอดีตไทเฮา เจียงเซี่ยนหันกลับไปมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เฉาไทเฮาทำอีกครั้ง ในใจก็อดที่จะแอบชื่นชมเฉาไทเฮาไม่ได้
นางฉลาดและเก่งกว่าลูกชายของนางมากจริงๆ
แต่ว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้เฉาไทเฮาไม่ปรึกษากับไทฮองไทเฮาสักนิด จะเห็นได้ว่านางไม่เห็นไทฮองไทเฮาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับไม่กังวล
ชาติก่อนนางไม่รู้ว่าเฉาไทเฮาผู้ร้ายกาจนี้ยังถูกล้อมที่ภูเขาวั่นโซ่วด้วย
ถ้าเช่นนั้นนางก็อย่าเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้มั่วซั่วเลย จะได้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเพราะนาง
นางเหลือบตาลง และแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องความร้ายกาจนั้น
ไทฮองไทเฮาค่อยๆ วางตะเกียบในมือลง และเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก เหล่าราชเลขาธิการจากสำนักราชเลขาธิการต่างว่าอย่างไรบ้าง?” น้ำเสียงเผยความโกรธที่ยับยั้งเอาไว้ออกมาอย่างเบาบางโดยไม่รู้ตัว
หลิวเสี่ยวหม่านเอ่ยเสียงเบาว่า “เหล่าราชเลขาธิการจากสำนักราชเลขาธิการต่างชื่นชมว่าไทเฮาทรงพระปรีชาสามารถและทรงพระเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
ไทฮองไทเฮาหัวเราะเยาะ นางดื่มน้ำอุ่นไปหลายอึก แล้วสั่งหลิวเสี่ยวหม่าน “เจ้าไปที่จวนชินเอินป๋อ[1] ถามเขาว่ายังอยากได้ช่างเย็บปักถักร้อยจากกองพระภูษาสักคนหรือไม่? หากอยากได้ก็ให้เขาบอกเจ้า แล้วเจ้าก็ช่วยดูให้เขาหน่อย”
หวังเหยียนชินเอินป๋อเป็นหลานชายของไทฮองไทเฮา มีลูกชายคนเดียวชื่อหวังจ้าน อายุมากกว่าเจียงเซี่ยนห้าปี เวลานี้ทุกคนต่างเห็นว่าหวังจ้านซื่อสัตย์และจริงใจ ซื่อๆ และพูดน้อย จนกระทั่งฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากนางเป็นไทเฮาแล้ว นางถึงรู้ว่าชายคนนี้เป็นคนที่ ‘มีแผนการอยู่ในใจและรู้ว่าจะจัดการเรื่องราวอย่างไร’
จู่ๆ เจียงเซี่ยนก็อยากเจอหวังจ้านมาก
แต่คำพูดของไทฮองไทเฮากลับทำให้นางที่เคยครองใต้หล้าคิดได้ว่า เดิมทีไทฮองไทเฮาไม่ได้คิดที่จะเก็บช่างเย็บปักถักร้อยไว้ให้ตระกูลหวังคนหนึ่ง ทว่าทำให้ตระกูลหวังรู้ว่าในวังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นคือยืมปากตระกูลหวังแจ้งข่าวให้เจียงเจิ้นหยวน
หากเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าไทฮองไทเฮาก็มีส่วนร่วมในเรื่องที่ปิดล้อมเฉาไทเฮาเช่นกัน
ถึงแม้จะไม่ได้มีส่วนร่วม แต่นั่นก็เป็นการอนุญาตไปโดยปริยายแล้วเช่นกัน
เช่นนี้แล้วเฉาไทเฮาก็ต้องถูกปิดล้อมที่ภูเขาวั่นโซ่ว!
เจียงเซี่ยนยับยั้งกริยาไว้และรับประทานอาหารเช้า แล้วฝึกคัดตัวอักษรกับไป๋ซู่ในห้องอุ่นตะวันออก
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม[2] ฮูหยินชินเอินป๋อก็ส่งสาส์นมาว่าอยากเข้าวังมาเยี่ยมไทฮองไทเฮา
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่จึงถูกไล่กลับตำหนักตงซาน
ทั้งสองคนไปฝึกคัดตัวอักษรในห้องหนังสือ
วังฉือหนิงมีคนไปมาไม่หยุดตลอดทั้งบ่าย
ตอนกลางคืน จนไป๋ซู่กลับตำหนักซีซานไปแล้ว ใบหน้าอันสวยงามของฉิงเค่อก็โผล่เข้ามาทางม่านประตู
เจียงเซี่ยนกวักมือเรียกนางมาคุย
คนที่รับใช้ในห้องทยอยถอยออกไป
สีหน้าของฉิงเค่อเปลี่ยนเป็นลนลานขึ้นมาทันที “ท่านหญิง ข้าไปสืบมาแล้ว ไม่มีคนชื่อเซียวหรงเหนียงเจ้าค่ะ! วังฉือหนิง วังคุนหนิง และวังเฉียนชิงต่างไม่มีคนๆ นี้ ข้ายังไปที่กรมวังมาโดยเฉพาะ และให้ขันทีหวังที่กรมวังช่วยตรวจสอบให้ ไม่เจอคนๆ นี้เจ้าค่ะ!”
เจียงเซี่ยนตกใจ
ถ้าอย่างนั้นเซียวหรงเหนียงโผล่มาจากไหน?
นั่นก็หมายความว่า เด็กคนที่เซียวหรงเหนียงอุ้มท้องนี้ไม่ได้เป็นที่เปิดเผย!
และจ้าวอี้แอบมี
นางเอ่ยทันทีว่า “ได้ตรวจสอบบันทึกฝ่ายขันทีและนางในหรือยัง”
“ตรวจสอบแล้วเจ้าค่ะ!” สีหน้าของฉิงเค่อยิ่งลนลาน “ฝากให้แม่นมเมิ่งช่วยตรวจสอบให้ ก็ไม่มีเจ้าค่ะ ข้างพระวรกายฝ่าบาทไม่มีผู้หญิงนอนด้วยสักคนด้วยซ้ำ”
“เจ้าแน่ใจหรือ!” เจียงเซี่ยนหน้าหมองลง
ฉิงเค่อคุกเข่าลงตรงหน้าเจียงเซี่ยน เหงื่อเม็ดโตผุดออกมา “ข้าไม่แน่ใจว่าในวังอื่นจะมีคนๆ นี้หรือไม่!”
“งั้นก็ไปสืบให้ข้าต่อ!” เจียงเซี่ยนกัดฟันเอ่ย “ต่อให้พลิกพระราชวังต้องห้ามก็ต้องหาคนผู้นี้ให้เจอให้ได้”
คนตายไปยังต้องทิ้งชื่อเอาไว้
นางไม่เชื่อว่า เซียวหรงเหนียงคนนี้ยังบินบนท้องฟ้าและมุดอยู่ใต้ดินได้เชียวหรือ!
นอกเสียจากว่าเซียวหรงเหนียงไม่อยู่ในวังจริงๆ
เจียงเซี่ยนอึ้งไปตรงนั้น
————————————-
[1] ป๋อ 1 ใน 6 บรรดาศักดิ์ของขุนนางในราชสำนักจีน อันประกอบไปด้วย อ๋อง กง โหว ป๋อ จื่อ และหนาน โดยป๋อมีฐานะเทียบเท่ากับตำแหน่งพระของไทย
[2] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง ดังนั้น ครึ่งชั่วยาม = 1 ชั่วโมง
คอมเม้นต์