ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 228

อ่านนิยายจีนเรื่อง ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ ตอนที่ 228 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.
ความสงบหลังการต่อสู้

ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย เมื่อจ้าวแห่งความมืดพาแวมไพร์ลอร์ดหลบหนีไป เจ้าอาวาสหงหมิงก็ลืมตาขึ้น พลังคุ้มครองทั่วเมืองเทียนซูก็สลายหายไป ใบหน้าแก่ชราขาวซีดเล็กน้อย เขากวาดตามองไปยังดยุกเซราสและหลงเทียนหมิง เห็นว่าทั้งสองจากไป เขาก็จะจากไปเช่นกัน

แต่ในขณะที่เจ้าอาวาสหงหมิงกำลังจะใช้ท่าร่างเคลื่อนย้าย เขาก็เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าด้วยแววตาส่องประกายลึกล้ำ ก่อนจะมองไปยังทิศทางหนึ่ง ร่างของเขาก็หายวับไปในทันที

ไม่ไกลนัก เจ้าอาวาสหงหมิงมาปรากฏตัวขึ้นที่เศษซากกำแพงที่พังทลาย สายตามองไปยังร่างชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังเดินออกมาจากอีกด้านของเศษซากกำแพง ในสภาพสกปรกแต่ไม่มีบาดแผลบนร่างกาย ดวงตาของเจ้าอาวาสหงหมิงกลายเป็นประกายสีขาวทอง กวาดตาพิจารณาร่างของชายหนุ่ม

ในสายตาก็มองเห็นร่างของชายหนุ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นกองไฟสีขาวบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ที่ลุกไหม้สุกสกาว รัศมีเปล่งประกายจนผู้คนต้องรู้สึกชื่นชม

เจ้าอาวาสหงหมิงตกตะลึง สายตาหรี่ลงด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยเห็นคนที่มีกรรมดีมากมายถึงขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แม้แต่ท่านอาจารย์ของเขาก็มีกรรมดีไม่เท่า 1 ใน 100 ของชายหนุ่มตรงหน้า

ท่านอาจารย์ของเขาเป็นสุดยอดฝีมือในยุคพลังธรรมชาติรกร้าง ท่านเคยช่วยชีวิตชายบ้านหลายหมื่นคนในช่วงสงคราม และออกเดินทางช่วยเหลือผู้อื่นอีกนับไม่ถ้วน ท่านได้ทำความดี ได้รับกรรมดีมหาศาล

แต่ชายหนุ่มตรงหน้ามีกรรมดีมากกว่าอาจารย์ของเขาถึง 100 เท่า ชายหนุ่มตรงหน้าได้ไปทำอะไรมา ถึงมีกรรมดีมากมายขนาดนี้

ใบหน้าของเจ้าอาวาสหงหมิงพลันกลายเป็นปิติยินดี แววตาที่มองไปยังชายหนุ่มอ่อนลง ในที่สุดเขาก็พบศิษย์ที่จะสามารถสืบทอดองค์ความรู้จากเขาได้แล้ว

ไม่รอให้ชายหนุ่มเดินจากไป เจ้าอาวาสหงหมิงรีบเข้าไปเรียกชายหนุ่มทันที…

จิวโมไป๋ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง เขามองตรวจสอบเจ้าอาวาสหงหมิงที่มองเขากลับมาด้วยแววตาอ่อนโยนเหมือนพบบุตรหลาน

“ขออภัยผู้อาวุโส ผมไม่คิดที่จะออกบวช”จิวโมไป๋ปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาลอบใช้จิตสัมผัสตรวจสอบเจ้าอาวาสหงหมิงด้วยความระแวงสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาชวนเขาออกบวช

หรือว่าเจ้าอาวาสหงหมิงสัมผัสได้ถึง กระบี่เลือนเร้นในร่างของเขา?

เจ้าอาวาสหงหมิงยิ้มอย่างแผ่วเบา

“อามิตตาพุทธ โยมไม่ต้องรีบร้อนตอบอาตมาในตอนนี้ โยมอาจจะกำลังระแวงสงสัย ว่าทำไมอาตมาถึงมาเชิญโยมออกบวชกระทันหัน”เจ้าอาวาสหยุดพูดเล็กน้อย ยกมือสองข้างพนมมือขึ้น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่อ่อนโยน

“ลักษณะของโยมเหมาะกับการละทางโลก เพื่อออกบวชศึกษาพระธรรม ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิต การออกบวชเป็นสิ่งที่ดีสำหรับโยมและสิ่งมีชีวิตทั้งปวง โยมไม่ต้องรีบบอกปัด เก็บเอาไปคิดไตร่ตรองดูก่อน”

จิวโมไป๋ฟังอย่างสุภาพ ไม่พูดขัด เมื่อเห็นว่าเจ้าอาวาสหงหมิงให้ตัวเองเก็บเอาไปคิด เขาก็ถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้า

“ผมจะเก็บเอาไปคิด”

เจ้าอาวาสหงหมิงยิ้มบางๆ แววตามองจิวโมไป๋อย่างลึกซึ้ง

เห็นว่าเจ้าอาวาสหงหมิงไม่พูดอะไรอีก จิวโมไป๋ก็ถือโอกาสผสานมือตรงอกทำความเคารพอย่างนอบน้อม ก่อนจะขอตัว

“ผู้อาวุโสผมต้องขอตัวไปแล้ว ครอบครัวของผมอาจกำลังเป็นห่วงผมอยู่”กล่าวจบจิวโมไป๋ก็หันหลังกลับวิ่งหายไปทันที ยิ่งอยู่นานเขาเหมือนถูกอ่านความคิดไปเรื่อยๆ

เจ้าอาวาสหงหมิงมองตามหลังจิวโมไป๋ด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปอย่างช้าๆ เหมือนไม่เคยปรากฏที่ตรงนี้มาก่อน

จิวโมไป๋รีบออกมา แต่จิตสัมผัสของเขาก็ยังตรวจจับเจ้าอาวาสหงหมิงเอาไว้อยู่ เมื่อเจ้าอาวาสหงหมิงหายตัวไป เขาก็ประหลาดใจ

วิชาสลายร่าง เคล็ดพลางกายให้กลมกลืนไปกับสิ่งแววล้อม เป็นเคล็ดวิชาที่ต้องใช้สมาธิอย่างสูง ถ้าเสียสมาธิร่างกายขะปราฏกทันที ถ้าเคลื่อนไหว สมาธิที่ใช้จะยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าทวี

ทำให้แม้ว่าวิชาสลายร่างจะเป็นวิชาพลางกายชั้นยอด แต่ผู้ที่ฝึกฝนมันได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ไม่ต้องพูดถึงขั้นเคลื่อนไหว มีน้อยจนนับจากมือข้างเดียวได้

เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าอาวาสหงหมิงจะฝึกวิชาสลายร่าง และถึงขั้นเคลื่อยไหว

เจ้าอาวาสหงหมิงติดตามหลังจิวโมไป๋ไม่ห่าง ราวกับกำลังติดตามคุ้มครอง

ถ้าจิวโมไป๋ไม่มีจิตสัมผัสระดับปรมาจารย์ม่วง เขาไม่มีทางมองเห็นร่างของเจ้าอาวาสหงหมิงได้

จิวโมไป๋ทำเป็นมองไม่เห็น เดินไปทางเขตกลางของมหาวิทยาลัยเทียนซู เดินไปไม่นาน ด้านหน้าของเขาก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเข้ามาควบคุมสถานการณ์พอดี

เมื่อเห็นจิวโมไป๋เดินออกมา เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใกล้ที่สุด ก็ตรงเข้ามาสอบถามบางอย่าง จิวโมไป๋แสร้งทำเป็นหวาดกลัว ตอบเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเสียงสั่นเทา

เจ้าหน้ากดกำไลข้อมือบันทึกเสียงทั้งหมด ก่อนที่จะส่งจิวโมไป๋ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มพาเขาไปยังทางด้านหนึ่ง ที่ตอนนี้มีเต็นท์ผ้าใบสีเขียวหนาทึบตั้งอยู่จำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มพาจิวโมไป๋เข้าไปเต็นท์ว่าง มีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งเอาไว้เหมือนการสำหรับซักประวัตินักโทษ

เจ้าหน้าที่หนุ่มถามชื่อ อายุ และสถานะ และถามว่าเวลาที่เกิดการต่อสู้เขาไปทำอะไรอยู่ หรือไปซ่อนที่ไหน

จิวโมไป๋เล่าด้วยเรื่องที่เขาเตรียมเอาไว้ ด้วยท่าทางสั่นกลัว หัวใจเต้นตามปกติ ไม่มีอะไรผิดปกติ จิตสัมผัสของเขาตรวจพบเครื่องจับโกหกซ่อนอยู่ด้านบนของเต็นท์

หลังจากสอบถามเสร็จแล้ว พวกเขาก็พาจิวโมไป๋นั่งรถบัสที่มีคนนั่งอยู่ภายใน 14 คน เมื่อรถบัสเต็ม มันก็เคลื่อนที่ไปยังนอกเมืองเทียนซู ในตอนนี้ทั้งเมืองเงียบสงัดเหมือนเมืองร้าง บนถนนรถที่จอดอยู่ถูกเคลียร์ไปด้านข้าง เปิดทาง 2 เลน ให้รถสามารถขับผ่านไปมาได้

นอกจากรถบัสของเขาแล้วยังมีรถอีกหลายคัน ที่ขับออกนอกเมืองเทียนซู

ภายในรถเงียบมากไม่มีใครพูดอะไรกันเลย

จิวโมไป๋ทำเป็นก้มลงกดกำไลข้อมือ แต่ก็พบว่าตรวจสอบกำไลข้อมือ ไม่มีสัญญาณ ไม่สามารถใช้งานได้ เขาก็ถอนหายใจ ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบโดยรอบ เขาก็พบเจ้าอาวาสหงหมิงยังคงตามเขามาไม่ห่าง

เจ้าอาวาสหงหมิงเดินอย่างช้าๆ แต่สามารถตามรถบัสที่ขับ 100 กม.ต่อชั่วโมงได้อย่างไม่ยากเย็น

รถขับออกมานอกเมือง ก็เร่งความเร็ว ผ่านไปไม่นานรถก็จอดอยู่หน้าอาคารสูงหนึ่งชั้น ภายในมีทางลงใต้ดินสำหรับหลบภัย ลงจากรถพวกเขาก็ถูกพามาเข้าไปด้านใน

มีทหารหลายสิบนายที่ถืออาวุธปืน เดินตรวจตารอบๆอย่างแข็งขันจริงจัง

เจ้าอาวาสหงหมิงไม่ตามเข้าไป เขาเดินไปที่ต้นไม้สูงที่อยู่ไกลออกไป ก่อนจะหลับตานั่งสมาธิ

ภายในสถานที่หลบภัย มีบันไดลงไปด้านล่าง ไม่มีลิฟท์ เพราะถ้าไฟดับลิฟท์อาจใช้การไม่ได้ ชั้นใต้ดินมี 5 ชั้นแบ่งเป็นห้องย่อยๆนับไม่ถ้วน จิวโมไป๋ถูกพาไปชั้น 3 ทหารที่รออยู่ส่ง หมายเลขห้องให้กับเขา และ ชี้ไปด้านในให้เขาเข้าไปเอง จิวโมไป๋ไม่คิดอะไรมาก เขาเดินลึกเข้าไป ทุกๆห้องที่เขาเดินผ่านมีคนอาศัยอยู่แล้ว พวกเขาเป็นคนในเมืองเทียนซูที่อพยพมาในการต่อสู้

จิวโมไป๋ไปที่ห้องของตัวเอง เป็นห้องที่มีนอน 4 เตียง มีคนนอนอยู่แล้ว 2 คน เป็นชายทั้งหมด

จิวโมไป๋ไม่พูดอะไรกับใคร นอนลงไปบนเตียงที่ว่าง ก่อนจะหลับไป

เช้าวันต่อมา เสียงสัญญาณปลุกก็ดังขึ้น ทุกคนตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง กำไลข้อมือก็สั่นเบาๆ ข้อความประกาศว่าในเมืองเทียนซูปลอดภัยแล้ว คนในที่หลบภัยก็พากันออกจากห้อง เพื่อกลับไปที่เมือง

จิวโมไป๋ไม่รีบ เดินตามคนจำนวนมากออกจากที่หลบภัย

ด้านหน้ามีรถบัส รถเมล์ รถต่างๆจำนวนมาก มาจอดรับเพื่อพากลับเมือง

จิวโมไป๋ขึ้นรถคันหนึ่งที่ไปส่งใกล้บ้านของเขาทันทีที่ขึ้นมาบนรถ กำไลข้อมือของเขาก็ดังขึ้น

พ่อแม่และน้องสาวของเขาโทรเข้ามา

จิวโมไป๋รับและรายงานสถานการณ์ของตัวเองว่าไม่เป็นไร

ไม่นาน เขาก็มาถึงบ้าน แต่ยังไม่ทันได้เข้าไป เขาก็สัมผัสได้ถึงผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งหลายคนซ่อนตัวอยู่รอบบ้าน ภายในบ้าน นอกจากคุณหยินลั่วปิง เขาพบว่ามีผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่ง 2 คนอยู่ด้านใน

จิวโมไป๋เดินเข้าไปในบ้าน เขาก็พบพ่อแม่และจิวเสวี่ยเหม่ยกำลังนั่งพูดคุยกับคุณหยินลั่วและเตี๋ยเสวี่ยเจียว ด้านหลังทั้งสองถังเหวินเทียนและเตี๋ยมู่หลง กำลังยืนเหมือนคุ้มกันอยู่

“พี่ชาย!”จิวเสวี่ยเหม่ยก็ร้องเสียงดัง ก่อนจะวิ่งเข้ามากระโดดเกาะเขาด้วยความเร็วสูง

เตี๋ยเสวี่ยเจียววิ่งตามมา แววตาของเธอมองไปยังจิวโมไป๋ด้วยสายตาดีใจ

จิวโมไป๋ประคองร่างน้องสาวของเขาด้วยมือเดียว ก่อนจะยกมืออีกข้างลูบหัวเตี๋ยเสวี่ยเจียวเบาๆ

เด็กสาวยิ้มกว้างดีใจ

ถังเหวินเทียนและเตี๋ยมู่หลงมองเด็กสาว

ถังเหวินเทียนไม่คิดอะไรมากนัก

แต่เตี๋ยมู่หลงมองจิวโมไป๋และหลานสาวของตัวเองด้วยความงุนงง เพราะในอดีต หลานสาวของเขาไม่เคยเข้าใกล้ผู้ชายคนไหน นอกจากพ่อของเธอ พูดได้ว่าจิวโมไป๋เป็นคนที่ 2 ก็ว่าได้

แววตาที่มองจิวโมไป๋กลายเป็นจริงจังแฝงอันตรายบางอย่าง

จิวโมเทียนสัมผัสได้ถึงความคุกคาม เขารู้ได้ทันทีว่าเตี๋ยมู่หลงไม่พอใจที่เขาเข้าใกล้หลานสาวของเขา

จิวโมไป๋นึกถึงอดีตที่ เด็กสาวไล่ล่าเขาไม่รู้จบ และมีเตี๋ยมู่หลงคอยตามมากันท่าตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่พวกเขาสนิทกัน อีกฝ่ายก็ไม่ลืมที่จะห้ามเขาเข้าใกล้หลานสาวของตัวเอง

ถังเหวินเทียนพยักหน้าทักทายจิวโมไป๋ แต่ไม่พูดอะไร

จิวโมไป๋ถูกจิวเสวี่ยเหมยและเตี๋ยเสวี่ยเจียวพาไปนั่ง เขาก็รู้ว่าคุณหยินลั่วปิงและเตี๋ยเสวี่ยเจียวกำลังจะจากไป ที่เธอและลูกไม่จากไปทันทีเพราะรอที่จะลาจิวโมไป๋ก่อน

จิวโมไป๋เห็นเตี๋ยเสวี่ยเจียวน้ำตาคลอ เขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่มีพบต้องมีจาก ไม่อาจฝืนได้ เขาลูบหัวเล็กสาวเบาๆเพื่อปลอบใจ

พวกเขาพูดคุยกันอีกสักพัก เตี๋ยมู่หลงเดินมากระซิบบอกว่าถึงเวลาแล้ว

หยินลั่วปิงและเตี๋ยเสวี่ยเจียวก็ลุกจากที่นั่ง และเดินออกไป โดยมีจิวโมไป๋และครอบครัวเดินไปส่ง

เตี๋ยเสวี่ยเจียวมองจิวโมไป๋และจิวเสวี่ยเหม่ยตาปริบๆ สุดท้ายเธอก็โบกมือลา ก่อนจะเดินจากไปขึ้นรถยนต์สีดำคันหรู

จิวโมไป๋มองหลังรถจากไปหันมาเห็นจิวเสวี่ยเหม่ยกำลังร้องไห้เสียใจ เพราะเธอคิดว่าเตี๋ยเสวี่ยเจียวเป็นน้องสาวของตัวเอง เขากอดเด็กสาวและพากันเข้าบ้าน เขาปลอบเด็กสาวอยู่พักใหญ่ ก่อนเธอหยุดร้องไห้ เขาก็บอกพ่อและแม่ที่กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ข้างๆ เขาขอให้พวกเขาปิดร้านสัก 3 วัน เพราะเหตุการยังไม่คลี่คล้าย

พ่อและแม่ก็พยักหน้าเข้าใจ โทรไปแจ้งพนักงานว่าหยุดร้าน 3 วัน

พวกเขาพูดคุยกันถึงเที่ยง ก่อนที่จะทานอาหาร

เมื่อทานอาหารเสร็จ จิวโมไป๋ก็ไปที่ห้อง หวังเสี่ยวเปาและอูเหวินก็สามารถติดต่อมาได้ พวกเขาถามถึงสถานะการของจิวโมไป๋ว่าอยู่ๆก็หายไปไหน จิวโมไป๋พูดไม่ให้ทุกคนเป็นห่วง ก่อนจะตัดสายไป

จนเวลาผ่านไปถึงตอนกลางคืน จิวโมไป๋ใช้จิตสัมผัสพบเจ้าอาวาสหงหมิง ยืนเงียบๆอยู่ข้างรั่วบ้านของเขา

จิวโมไป๋ถอนหายใจก่อนจะลอบหลบออกมาจากบ้าน

เจ้าอาวาสหงหมิงชะงักประหลาดใจ ที่จิวโมไป๋สามารถมองเห็นวิชาพลางกายของเขาได้

จิวโมไป๋ไม่คิดจะปกปิดอะไรกับเจ้าอาวาสหงหมิงอยู่่แล้ว เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ทำอะไรให้เขาเสียหายแน่ๆ จิวโมไป๋สูดลมหายใจลึก ก่อนจะกล่าวว่า

“ผู้อาวุโส ถ้าท่านต้องการให้ผมออกบวช ผมมีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียว ถ้าท่านทำได้ ผมก็จะออกบวช”

เจ้าอาวาสหงหมิงได้ยินก็จ้องมองไปที่จิวโมไป๋นิ่ง

จิวโมไป๋ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะกล่าวอีกว่า

“มันใช่อะไรไม่ดีเลย ผู้อาวุโสเพียงแค่ตีความและเข้าใจเคล็ดวิชาสายพุทธในมือของผมให้ถึงระดับสูงสุดเท่านั้นเอง”

เจ้าอาวาสหงหมิงยังคงจ้องเขม่งไม่ละสายตา

จิวโมไป๋ยิ้มตอบ

ผ่านไปครู่หนึ่ง สุดท้ายจิวโมไป๋ก็กล่าวว่า

“เคล็ดวิชาสายพุทธที่ผมมี เหมาะสำหรับเคล็ดบ่มเพาะพลังสายพุทธอย่างมาก ถ้าสามารถเข้าใจถึงระดับสูงสุด ผมไม่มีทางที่จะไม่บวช”จิวโมไป๋พูดด้วยความหนักแน่น ไม่ได้โกหกเลย

“ตกลง”เจ้าอาวาสหงหมิงพยักหน้าตกลงโดยง่าย เขาอยากเห็นว่าเคล็ดวิชาสายพุทธอะไรที่ชายหนุ่มอยากฝึก มันคืออะไรกันแน่

จิวโมไป๋ยิ้มอย่างแผ่วเบา เขาพาเจ้าอาวาสหงหมิงไปที่ห้องใต้ดินของบ้าน ที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามาบ่อยนัก

เจ้าอาวาสหงหมิงเดินตามมาอย่างสงบนิ่งน่าชื่นชม

จิวโมไป๋เปิดไฟ ก่อนจะหยิบผ้าไปเช็ดพื้นให้สะอาด แล้วเชิญเจ้าอาวาสหงหมิงนั่ง

“ผมจะท่องเคล็ดวิชาสายพุทธให้ ผู้อาวุโสฟัง 3 รอบ ตั้งใจฟังดีๆ ผมจะไม่ท่องซ้ำ”จิวโมไป๋พูดจบก็สูกลมหายใจ ตั้งสมาธิ สภาวะของเขาเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง

เจ้าอาวาสหงหมิงที่เห็นก็พยักหน้าชื่นชม ก่อนจะพนมมือขึ้นเตรียมพร้อมที่จะฟัง

“ปัญญาคือ….”จิวโมไป๋จะบอกเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเบิกเนตรปัญญา ให้กับเจ้าอาวาสหงหมิง

เคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเบิกเนตรปัญญา เป็นเคล็ดวิชาที่ยากที่สุดและลึกซึ้งที่สุด ที่เขาเคยมี เขาใช้เวลาหลายปี ฝึกได้เพียงระดับพื้นฐานเท่านั้น

ถ้าเจ้าอาวาสหงหมิงสามารถเข้าใจเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเบิกเนตรปัญญาถึงระดับสูงสุดจริงๆ เขาจะบวชทันทีตามที่สัญญา

เจ้าอาวาสหงหมิงได้ฟังก็เงียบก่อนจะหลับตาทำสมาธิ เพื่อทำความเข้าใจ

จิวโมไป๋ท่องจนครบ 3 รอบ เจ้าอาวาสหงหมิงนิ่งเงียบหมือนตัดขาดจากโลก

จิวโมไป๋นั่งรออย่างใจเย็น

เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง เจ้าอาวาสหงหมิงก็ไม่ออกจากสมาธิ

จิวโมไป๋ถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นมาปัดเสื้อผ้า การบ่มเพาะพลังหรือศึกษาวิชา ต้องใช้เวลาแบบนี้ไม้แปลกอะไร

เขาเห็นว่าเจ้าอาวาสหงหมิงกำลังเพ่งสมาธิศึกษาเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเบิกเนตรปัญญา อย่างจริงจัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด เพราะเขารู้ถึงความยากในการฝึกดี และเจ้าอาว่าหงหมิงยังไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ ทำให้ยากขึ้นไปอีกที่จะสามารถทำความเข้าใจเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเบิกเนตรปัญญา

จิวโมไป๋หวังว่าเจ้าอาวาสหงหมิง จะไม่สำเร็จเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเบิกเนตรปัญญา ก่อนที่เขาจะเข้าหน่วยลับได้

จิวโมไป๋เห็นว่าเจ้าอาวาสหงหมิงยังไม่ออกจากสมาธิ เขาก็ปิดไฟและออกจากห้องใต้ดิน ทิ้งเจ้าอาวาสหงหมิงอยู่ด้านใน

ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของเมืองเทียนซู

ห้องลับตระกูลเซียว

“ยอดเยี่ยมมาก”เสียงกล่าวด้วยความชื่นชม ก่อนจะกลายเป็นเคร่งเครียดจริงจัง”ผลลับของมันทำให้ตระกูลของพวกเรารอดจากหายนะไปได้ แต่มันเสี่ยงเกินไป แผนการของลูกอาจทำให้ตระกูลของพวกเราพบเจอกับปัญหาได้ คราวหลังลูกต้องระมักระวัง ไม่ใจร้อนแบบนี้อีก”ประมุขตระกูลเซียวกล่าวตักเตือนด้วยความเข้มงวด

เซียวหนานจิ้นก้มหัวลง ก่อนจะกล่าว

“ครับท่านประมุข”

“ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองเทียนซูถูกคนของหน่วยลับและเจ้าหน้าที่ เข้ามาตรวจสอบอย่างหนาแน่น ห้ามต่อสู้กันไม่ว่ากรณีใดก็ตาม มันเป็นโอกาสของเราที่จะรีบขุดแร่เหล็กดำออกมา”ประมุขตระกูลเซียวกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดี

“โชคดีที่พวกเราพอถ้ำเหล็กดำหนาแน่น ที่มีแร่เหล็กดำจำนวนมาก ถ้าเราขุดออกมาจนหมด เราจะสามารถเรียกขึ้นความสูญเสียทั้งหมดได้ จากนั้นเราก็ขายเหมืองแร่เหล็กดำออกไป เพื่อได้กำไรอีกต่อหนึ่ง”พูดจบประมุขตระกูลเซียวก็กำหมัดไม่พอใจ ถ้าไม่มีคนลอบเล่นงาน ตระกูลเซียวก็คงได้กำไรจากเหมืองเหล็กดำมากกว่านี้

เพราะเจ้าสารเลวนั้นคนเดียว ทำให้เงินพวกเขาสูญเสียไปจำนวนมาก

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด