ปฏิญญาค่าแค้น – ตอนที่ 3 หลีกหนี
หลินหลันเดินออกไปไม่ไกลนัก ก็มองเห็นหัวหน้าหมู่บ้านจินฟู้กุ้ยที่ในมือของเขากำลังถือแท่งยาสูบและอีกมือก็ไพล่ไว้ด้านหลัง ลำตัวของเขาโค้งงอลงเล็กน้อย กำลังเดินตรวจรอบหมู่บ้าน ทุกวันตอนเช้าและเย็น เขาจะต้องเดินไปรอบๆ เช่นนี้หนึ่งรอบ นับเป็นกิจวัตรประจำวันซึ่งให้ความรู้สึกถึงการเป็นผู้นำที่กำลังตรวจตรา เพื่อที่จะพบเจอปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและแก้ไขความขัดแย้งในละแวกใกล้เคียง เป็นการรักษาไว้ซึ่งภาพลักษณ์ความเป็นหนึ่งเดียวของหมู่บ้านเจี้ยนซี ที่ควรประนีประนอมก็ประนีประนอมต่อกันไป ที่ควรยึดถือตามกฎระเบียบก็ยึดตามกฎระเบียบนั้นๆ ไป นับได้ว่าเป็นผู้ที่จิตใจดีมีเมตตาแต่ก็ไม่ใจอ่อนจนเกินไป ชาวบ้านจึงล้วนต่างพากันเคารพและยำเกรงเขา หลินหลันมันจะคิดอยู่บ่อยๆ ว่า หากคนอย่างหัวหน้าหมู่บ้านจินได้ไปอยู่ในยุคสมัยใหม่เขาคงจะต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์กลุ่มคนดีที่โดดเด่นอย่างแน่นอน เทียบได้กับเจียวอวี่ลู่ [1] ในยุคสมัยใหม่เลยก็ว่าได้
“สวัสดีท่านหัวหน้าหมู่บ้าน!” หลินหลันเข้าไปทักทายอย่างเป็นกันเอง
จินฟู้กุ้ยหันมามองและยิ้มให้ “หลินหลัน จะขึ้นภูเขาไปเก็บสมุนไพรอีกแล้วรึ”
“วันนี้ไม่ขึ้นเขาแล้วล่ะ ข้ากำลังจะเข้าเมือง จริงสิ ขาของท่านป้าจินดีขึ้นแล้วหรือยัง ต้องการให้ข้านำสมุนไพรอีกสองสามอย่างกลับมาให้ด้วยอีกดีไหม” หลินหลันเอ่ยถาม ท่านป้าจินบังเอิญพลัดตกบันไดขณะที่ปีนขึ้นไปเก็บกวาดมูลอุจาระของตัวไหมเมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้กระดูกขาส่วนน่องหัก และเป็นหลินหลันที่ให้การรักษาแก่นาง
จินฟู้กุ้ยสูดยาสูบแห้ง พ่นควันออกมาสองสามวง ก่อนจะหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วเอ่ยขึ้น “ต้องขอบใจยาสมุนไพรของเจ้า ป้าจินของเจ้าอาการดีขึ้นมากจนสามารถลุกยืนขึ้นได้แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องระมัดระวังไว้หน่อย อย่าเพิ่งทำงานหนักเชียว” หลินหลันเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีจากใจ ระยะเวลาหนึ่งร้อยวันสำหรับการสมานกระดูกที่บาดเจ็บ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากไม่รักษาให้ดีก็จะต้องส่งผลเป็นการบาดเจ็บในระยะยาวแน่
จินฟู้กุ้ยยิ้มบางๆ พลางส่ายแท่งยาสูบไปมาเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจดีแล้ว
หลังจากลาหัวหน้าหมู่บ้าน หลินหลันก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้านในที่สุด ตอนที่กำลังก้าวขึ้นไปบนสะพานหิน ก็เห็นฝูงเป็ดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฝูงเป็ดที่กำลังเดินอย่างหยิ่งผยองและไม่ไยดีใครทั้งสิ้นเสมือนว่าหลินหลันจะต้องหลีกทางให้ หลินหลันจึงทำได้เพียงหลีกไปด้านข้าง เพื่อให้กองทัพเป็ดได้เดินผ่านไปเสียก่อน
“หลินหลัน เจ้ากำลังเข้าไปในเมืองรึ” ป้าที่ต้อนเป็ดส่งเสียงดังเหมือนเสียงระฆัง ทันทีที่อ้าปากตะโกนขึ้นก็สร้างความปั่นป่วนในฝูงเป็ด ทำให้พวกมันคิดว่าเจ้าของคิดว่าพวกมันเดินช้าเกินไป มีเพียงเป็ดสองสามตัวเดินโซซัดโซเซและเกือบชนเข้ากับหลินหลัน
หลินหลันรีบชักเท้าหดเข้าอย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนตอบกลับไป “ท่านป้าจิน ไฉนวันนี้ท่านถึงมาต้อนเป็ดด้วยตนเองล่ะ”
“เป่าจู้เข้าเมืองไปแล้ว ข้าก็เลยต้องมาต้อนเป็ดแทน ไอย่ะ! เจ้าว่าเป่าจู้ลูกของข้าน่ะ ค้าขายก็ไม่เป็นแต่ดึงดันจะเอาไข่เป็ดไปขายให้ได้ หลินหลัน เดี๋ยวพอเจ้าเข้าไปถึงในเมืองแล้ว วานเจ้าแวะไปตลาดเฉิงซีในเมืองช่วยดูเป่าจู้ลูกข้าเสียหน่อยสิ ช่วยเขาตะโกนเร่ขายซักประเดี๋ยว ไม่เช่นนั้นคงได้หิ้วตะกร้าที่ยังเต็มไปด้วยไข่เป็ดกลับมาอีกตามเคยแน่” ป้าจินร้องขอ
หลินหลันรู้สึกไร้ทางเลือกไปชั่วขณะ เป่าจู้ปีนี้อายุสิบเก้าปีแล้ว เขาดูเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ หญิงสาวในหมู่บ้านตั้งมากมาย ทว่าว่าเขากลับมองเพียงหลินหลันผู้เดียวเท่านั้น เมื่อนางขึ้นภูเขาไปเก็บสมุนไพร เขาก็จะขึ้นเขาไปสับไม้ เมื่อนางเข้าเมืองไปขายสมุนไพร เขาเองก็จะเข้าเมืองไปขายไข่เป็ด ดังนั้นทุกครั้งที่หลินหลันจะออกจากบ้านนางมักจงใจไม่กำหนดเวลาและสถานที่ที่ชัดเจน ทำให้ผู้ที่หวังตามติดจะได้คลาดเคลื่อน ทว่าเป่าจู้ผู้นี้ก็ช่างฉลาดยิ่งนัก ทุกครั้งก็จะรอนางอยู่ตามถนน หลินหลันแค่เพียงใช้หัวนิ้วโป้งเท้าคิด ก็ยังคิดได้เลยว่าเป่าจู้จะต้องนั่งอยู่ข้างถนนในเมืองพร้อมกับตะกร้าไข่เป็ดเพื่อรอนางอยู่เป็นแน่
“อ่อ! ได้สิ” หลินหลันตอบตกลงอย่างจำใจ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป่าจู้ผู้นั้นค้าขายไม่เป็นเสียที่ไหนกันล่ะ อีกทั้งพอได้เข้าเมืองก็เป็นต้องตามติดนางอยู่ข้างหลังแทบทุกฝีเก้า เขาไม่ได้ตั้งใจไปขายไข่เป็ดเลยซักนิด หลินหลันคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ จะไปทางไหนดีถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงเป่าจู้ผู้นั้นได้ นางไม่อยากมีหางที่คอยติดตามไปทุกหนทุกแห่ง และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อยากกินไข่เป็ดที่มีกลิ่นคาวเอาเสียมากๆ ถ้าเป็นไข่ดาวก็ยังพอได้ แต่ไข่ต้มนั้นยากเกินกว่าที่จะกลืนลง เมื่อนึกถึงเป่าจู้ที่ตั้งหน้าตั้งตายัดไข่เป็ดใส่อ้อมแขนของนาง หลินหลันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วน
หลินหลันยืนคิดหาหนทางอยู่ตรงบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน แล้วจึงตัดสินใจที่จะอ้อมเส้นทางข้ามหมู่บ้านหยวนตงซึ่งอยู่ติดกัน แม้ว่าจะกินระยะทางมากกว่าสี่ห้าไมล์ แต่ก็ยังดีกว่าที่ต้องเดินไปโดยมีเป่าจู้ร่วมทาง
ทิวทัศน์ของหมู่บ้านหยวนตงนั้นแตกต่างจากหมู่บ้านเจี้ยนซีเป็นอย่างมาก เจี้ยนซีเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ในขณะที่หยวนตงเป็นสวนผลไม้ ในช่วงเวลานี้ของทุกปี บนภูเขาจะเต็มไปด้วยดอกท้อที่กำลังบานสะพรั่ง สีสันจากดอกไม้นานาชนิดช่างดึงดูดให้ผู้คนหลงใหล
ถือว่าไปเพลิดเพลินกับทิวทัศน์สักครั้งก็แล้วกัน! เมื่อคิดเช่นนี้ ระยะทางที่เพิ่มมากขึ้นสี่ห้าไมล์นั้นก็คุ้มค่าอยู่ หลินหลันรีบตรงไปยังหมู่บ้านหยวนตง เมื่อหันมองไปรอบๆ ภูเขา ทันใดนั้นนัยน์ตาของนางก็เปล่งประกายขึ้น พื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีเฉดสีแดงเข้มและอ่อนแตกต่างกันไป ขณะที่กลุ่มก้อนเมฆดูราวกับว่ากำลังตกลงมาจากขอบฟ้าและปกคลุมไปทั่วหมู่บ้านหยวนตง ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้และสีแดงสวยสดงดงาม กำลังเปล่งประกายอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ แม้กระทั่งอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้อันหอมหวาน ที่แห่งนี้ก็คือดินแดนแห่งสวรรค์บนดินดีๆ นี่เอง! หลินหลันถอนหายใจ รู้สึกเสียดายที่ในมือปราศจากกล้องถ่ายรูป มิฉะนั้นก็จะสามารถเก็บภาพทิวทัศน์ที่สวยงามเหล่านี้เอาไว้ได้
หลังจากใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงหมดไปในป่าท้อ หลินหลันก็เห็นว่าเริ่มสายแล้ว หากไม่เร่งรีบไปต่อ ก็คงจะไปไม่ทันเวลามื้ออาหารที่ร้านยาฮู๋จี้แล้ว จึงทำได้เพียงละสายตาอย่างเสียดาย แล้วเร่งฝีเท้าเพื่อเดินทางไปต่อ
หลังออกจากหมู่บ้านหยวนตง เป็นทางคดโค้งขนาดเล็ก แคบพอให้รถม้าวิ่งผ่านได้เพียงคันเดียวเท่านั้น สองข้างท้องทุ่งเต็มไปด้วยโหยวไช่ฮวา [2] สีเหลืองอร่ามสดใส มีผีเสื้อสองสามตัวบินวนไปมาอยู่ท่ามกลางดอกไม้ ไกลออกไป เห็นชาวนาซึ่งกำลังเร่งให้วัวแก่ไถนา นั่นช่างเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามยิ่ง
ขณะที่กำลังชื่นชมความงามของวิวทิวทัศน์ หลินหลันรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก นางเดินส่ายไปส่ายมาพลางฮัมเสียงเพลงไปตลอดทาง
“พี่ซิ่วฉาย ท่านตอบตกลงเถอะนะ! มาช่วยงานของครอบครัวข้าไม่ดีตรงไหนกัน หากท่านคิดว่าสิ่งตอบแทนน้อยเกินไป ก็เอ่ยเสนอขึ้นมาได้นี่…ถึงตอนนั้นเราจะได้เจอหน้ากันทุกวันไง…”
เสียงหญิงสาวพราวเสน่ห์ล่องลอยมาจากเบื้องหน้า หลินหลันสาดส่องสายตามองออกไป เห็นเพียงใต้ต้นการบูรโบราณที่อยู่ข้างหน้า มีสาวน้อยผู้หนึ่งกำลังรั้งหลี่ซิ่วฉายเอาไว้ ด้านข้างก็ยังมีเด็กสาวอีกสามคน ทั้งสี่คนต่างพากันขัดขวางหลี่ซิ่วฉายเอาไว้ หลี่ซิ่วฉายดูลำบากใจเป็นอย่างมาก อยากจะผลักก็ไม่สามารถผลักออกไปได้ ออกแรงดิ้นรนอย่างหนักและแสดงท่าทีไม่แยแสอย่างชัดเจน จะให้ด่าทอออกไปก็คงไม่สามารถทำได้ มีเพียงใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่กำลังแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธหรือความอับอายกันแน่ แต่นั่นกลับทำให้คนเหล่านั้นยิ่งทวีความปรารถนาที่จะลวนลาม
จะว่าไปแล้วหลี่ซิ่วฉายผู้นี้ ก็เป็นคนที่แปลกผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าเขามาจากแห่งหนใด และก็ไม่รู้ว่าซิ่วฉายแหล่งกำเนิดของเขาอยู่ที่ใด รู้เพียงแค่ว่าเมื่อสามปีก่อนนั้น มีการเพิ่มหลุมฝังศพใหม่ขึ้นมาที่ด้านหลังของเจี้ยนซี โดยมีกระท่อมมุงขึ้นอย่างเรียบง่ายซึ่งถูกสร้างขึ้นข้างๆ กับหลุมฝังศพ หลี่ซิ่วฉายได้อาศัยอยู่ในกระท่อมนั้น เขาดูแลสุสานมาเป็นเวลาสามปี อาศัยช่วยผู้คนเขียนจดหมายเพื่อแลกเป็นเงินเพียงไม่เท่าไหร่ในการดำรงชีวิต หลินหลันเองก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แค่นี้มันจะไปพอใช้ได้ไงกัน! แต่ทว่าสามปีมานี้นั่นก็คือวิธีที่เขาใช้ดำรงชีวิตตลอดเวลาที่ผ่านมา
กระท่อมผุพังของเขานั้น หลินหลันเคยมีโอกาสได้เข้าไป ไม่มีอะไรที่จะเรียบง่ายได้เกินไปกว่าที่นั่นอีกแล้ว ข้างในนั้นนอกเสียจากเตียงนอนไม้หนึ่งตัว โต๊ะหักๆ หนึ่งตัว แล้วก็มีเตาไฟในสภาพแตกร้าว และกองหนังสือเก่าๆ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว นั่นแหละที่เรียกว่ายากจนเสียงยิ่งกว่ายากจน แม้กระทั่งขอทานยังดูมีทรัพย์สินมากกว่าเขาด้วยซ้ำไป แต่ทว่าก็ยังสะอาดสะอ้าน ไรฝุ่นแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่มีให้เห็น เช่นเดียวกับหลี่ซิ่วฉาย แม้ว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ แต่ทว่าก็ไม่เคยเห็นรอยเปื้อนใดๆ อยู่บนชุดสีขาวตัวเก่าของเขาเลย
เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว หลินหลันเข้าไปในภูเขาเพื่อเก็บสมุนไพรและพบเข้ากับหลี่ซิ่วฉายที่ถูกงูพิษทำร้าย นางจึงล่อนมีดทำครัวออกไปสับหัวงูจนขาด หลี่ซิ่วฉายเห็นว่างูพิษตายแล้ว ด้วยความชะล่าใจ จึงเอื้อมมือไปหยิบมันอย่างเบามือ ทว่ากลับถูกหัวงูที่ถูกตัดออกแล้วนั้นแว้งกัดเข้าให้…หากไม่ใช่เพราะทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของนาง ชีวิตน้อยๆ ของหลี่ซิ่วฉายพ่อรูปงามผู้นี้ก็คงจะจบลงในวัยหนุ่มสาวแรกแย้มไปเสียแล้ว นางได้ดูแลเขาเป็นอย่างดีเป็นเวลาสองสามวัน ท้ายที่สุดแม้กระทั่งคำขอบคุณซักคำก็ไม่มี เมื่อคิดเช่นนี้ หลินหลันก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา นางเคยช่วยสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ในหมู่บ้านที่ขาหัก สุนัขตัวนั้นมันยังรู้จักสำนึกบุญคุณ กระดิกหางใส่รัวๆ หวังเอาใจทุกครั้งที่ได้พบเจอนาง
เมื่อเห็นหลี่ซิ่วฉายกำลังถูกขืนใจ หลินหลันจึงตั้งใจว่าจะแสดงท่าทีเมินเฉย แม้ว่านางจะเรียนแพทย์และรักษาอาการเจ็บป่วยเพื่อช่วยชีวิตผู้คน แต่ทว่าการช่วยชีวิตหนุ่มรูปงามให้หลุดพ้นจากปากหญิงสาวจอมยั่วนั่นไม่ได้อยู่ในขอบเขตจรรยาบรรณวิชาชีพของนาง อย่างไรก็ตามนางก็อดไม่ได้ที่ลึกๆ ในใจแล้วอยากจะมองด้วยสายตาดุดันไปยังเด็กสาวที่ไร้ยางอายพวกนั้น ทว่านางก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเพราะไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อน ในเมื่อพวกนางก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นนางเช่นกันโดยเอาแต่สนใจแต่เล่นหูเล่นตาอยู่กับหลี่ซิ่วฉายอย่างบ้าคลั่ง เหลือแค่ยังไม่จับเขาถอดเสื้อผ้าออกก็เท่านั้น มันช่างเป็นอะไรที่แย่มากสำหรับโลกนี้ แม้จะพอเคยเห็นคนหน้าด้านมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นคนหน้าที่ด้านได้มากมายเสียขนาดนี้
“แม่นางหลินหลัน…” หลี่ซิ่วฉายตะโกนร้องเรียกรั้งนางเอาไว้
หลินหลันหยุดชะงัก แล้วค่อยๆ หันกลับไป จึงเห็นหลี่ซิ่วฉายกะพริบตาปริบปริบมองมาที่นาง บนใบหน้าแสดงถึงการอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
——
[1] 焦裕禄 เจียวอวี่ลู่ คือ ชื่อของผู้ดำรงตำแหน่งอดีตเลขาธิการคณะกรรมการพรรคของเขตหลานเกา มณฑลเหอหนาน
[2] 油菜花 โหยวไช่ฮวา คือ ดอกน้ำมัน หรือชื่อภาษาอังกฤษก็คือคาโนลา (Canola) ที่นิยมนำเมล็ดมาสกัดเป็นน้ำมันคาโนลา หนึ่งในส่วนผสมของสบู่ธรรมชาติ
คอมเม้นต์