พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – บทที่ 114
คฤหาสน์ของเฟรย์ตั้งอยู่แถบชานเมือง
แม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์แต่คฤหาสน์นั้นเล็กจนเทียบกับคฤหาสน์ของท่านเคานต์ไม่ได้เลย สิ่งที่ทำให้เธอเหนือกว่าขุนนางคนอื่นๆ ก็มีแค่สายเลือดราชวงศ์เท่านั้น
แน่นอนว่าคฤหาสน์ของเฟรย์จะต้องเล็กอยู่แล้ว เป็นเพราะเธอไม่ใช่ทายาท เพื่อปกป้องทรัพย์สมบัติราชวงศ์นอกจากมกุฎราชกุมารแล้วเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ต่างถูกจำกัดทรัพย์สมบัติต่างออกไป
แม้บางครั้งคนที่มกุฎราชกุมารหรือจักรพรรดิเชื่อใจมากๆ ก็จะแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญให้แต่กรณีนั้นมีน้อยมาก แต่สำหรับเฟรย์ที่เป็นผู้หญิงจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น
แค่การได้รับตำแหน่งอัยการก็ถือเป็นการตอบแทนที่ยิ่งใหญ่สำหรับเธอมากแล้ว เนื่องจากในราชวงศ์แทบจะไม่มีหญิงโสด ถึงมีส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตด้วยเงินภาษีของราชอาณาจักรและใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ
“เลดี้! ดูเหมือนว่าใกล้จะถึงแล้วนะคะ!”
แอนนี่พูดหลังจากมองออกไปทางหน้าต่างเห็นว่าเริ่มเข้าใกล้คฤหาสน์เรื่อยๆ
เนื่องจากเพิ่งเคยไปคฤหาสน์ของเชื้อพระวงศ์ทำให้แอนนี่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก อาเรียที่ไม่รู้เจตนาของเฟรย์ก็รู้สึกเล่นกัน
หลังจากที่แอนนี่พูดจบ ไม่นานรถม้าก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ อาจเพราะเป็นบุคคลที่ไม่สามารถปกป้องราชวงศ์ได้ กระทั่งสีหน้าขององครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูยังดูสลดเลย
แต่น่าแปลกใจที่องครักษ์กลับตรวจเช็กอย่างไม่รัดกุมจากนั้นจึงเปิดประตูใหญ่ให้รถม้าเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
รถม้าผ่านสวนที่แม้จะเล็กแต่ก็ถูกตกแต่งอย่างสวยงามมายังประตูทางเข้า ได้ยินเสียงคนควบคุมม้าประกาศว่ามาถึงแล้ว
แม้คนขับและแอนนี่จะจ้องอาเรียแต่เธอกลับไม่ออกมาข้างนอกพลางจับเสื้อผ้าผมเผ้าและถามแอนนี่
“แอนนี่ ชุดฉันเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่มีที่ติค่ะ!”
แม้แอนนี่จะตอบอย่างนั้น แต่ก็ตรวจเช็กเสื้อผ้าอีกครั้งเผื่อมีอะไรไม่เรียบร้อย ได้เจอกันที่ศาลเพียงแค่ครั้งเดียว ถึงขนาดเชิญมาแบบนี้จะต้องมีข้อเสนอสำคัญแน่นอน
‘ถึงจะไม่รู้เจตนาก็ตามแต่จะให้ถูกจับผิดแม้แต่เรื่องเล็กๆ ไม่ได้’
อาเรียที่ยังตื่นเต้นอยู่ลงมาจากรถม้าด้วยท่าทางสง่างาม ทันใดนั้นเฟรย์ที่ยืนรอต้องรับเธออยู่หน้าคฤหาสน์ก็ทักทายด้วยความยินดี
“เดินทางมาไกลลำบากเลดี้เลยนะคะ มาสิคะ”
“…ขอบคุณที่เชิญมานะคะ”
เธอยืนต้อนรับด้วยสีหน้าสดใสท่าทางเป็นมิตรต่างจากที่อาเรียกังวล ภาพลักษณ์อัยการที่ดูเย็นชาในศาลครั้งนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่นั่นมีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนของหญิงวัยกลางคน
อาเรียที่ตกใจจึงตอบช้าไปเล็กน้อยเพราะไม่มีการจับผิดอะไร เฟรย์จึงนำทางอาเรียไปยังห้องรับแขก อาเรียเดินตามหลังก้าวแต่ละก้าวที่ดูสง่างามของเธอ
‘สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์จริงๆด้วย…’
ภายในคฤหาสน์ดูหรูหราแม้จะขนาดเล็กก็ตาม ของตกแต่งแต่ละชิ้นดูเหมือนจะเป็นผลงานศิลปะของศิลปินผู้ชำนาญการ
แม้อาเรียจะมีโอกาสเห็นแก้วแหวนเงินทองต่างๆในงานเลี้ยงมาเยอะแล้วก็ตาม แต่ครั้งนี้กลับทำเอาเธออ้าปากค้าง
หลังจากที่เดินชมภายในคฤหาสน์ก็มาถึงห้องรับแขกโดยไม่รู้ตัว มีชากลิ่นหอมพร้อมกับขนมวางไว้อยู่บนโต๊ะในที่ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับอาเรีย
“หลังจากที่ได้พบที่ศาลครั้งนั้นเวลาผ่านไปนานเหมือนกันนะคะ จู่ๆ เชิญมาแบบนี้คงจะตกใจน่าดูเลยค่ะ พอดีจู่ๆ ก็นึกถึงเลดี้ ดิฉันก็ไม่รู้ตัวเลยเขียนจดหมายส่งไปให้น่ะค่ะ อยากจะดื่มชาด้วยกันแล้วก็พูดคุยด้วยเรื่อยเปื่อยค่ะ เป็นห่วงว่าจะไปรบกวนเลดี้หรือเปล่าน่ะสิคะ”
“ไม่หรอกค่ะ ดิฉันสิคะที่ต้องขอบคุณที่ท่านเชิญมา”
“เลดี้พูดแบบนี้ทำให้ดิฉันเบาใจไปเยอะเลยล่ะ นี่เป็นชาและขนมที่รอนานมากกว่าจะนำเข้ามา คิดว่าเลดี้จะต้องชอบมากแน่ค่ะ”
เฟรย์พูดพลางยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มด่ำกลิ่นหอม อาเรียจึงยกถ้วยชาขึ้นมาดมกลิ่นด้วยเช่นกัน เป็นชาที่กลิ่นหอมตามที่เธอพูด
“กลิ่นหอมจริงๆ เลยค่ะ”
“รสชาติยิ่งดีกว่านั้นอีกนะคะ”
“อย่างนั้นเหรอคะ สงสัยเลยค่ะ ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร”
อาเรียยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางยกถ้วยชาขึ้นที่ปาก
เหตุผลที่ต้องใส่ใจต้อนรับเธอด้วยชาชั้นเลิศแบบนี้คืออะไรกัน อาเรียเก็บอาการตกใจในความปรารถนาดีของเฟรย์ทั้งยังพยายามหาเจตนาของเธอแต่กลับไม่รู้อะไรเลย เพราะไม่สามารถรับข้อมูลอะไรจากเธอที่พูดเรื่องชาและสภาพอากาศด้วยรอยยิ้มแบบนั้นได้เลย
ดังนั้นอาเรียจึงปรับบทสนทนาให้เข้ากับเธอพลางดื่มชาคุยเรื่องชาเรื่องฝนฟ้าอากาศตามไปด้วยและรอว่าเมื่อไหร่จะเข้าเรื่อง แต่จู่ๆ เฟรย์กลับเริ่มพูดเรื่องไร้สาระ
“งานอดิเรกเลดี้คืออะไรเหรอคะ”
งานอดิเรกงั้นเหรอ เพราะสีหน้าของเธอดูสงสัยจริงๆ ไม่ได้ถามเพียงเพื่อจะได้คุยไปเรื่อยๆ เท่านั้น อาเรียจึงพยายามคิดคำตอบงานอดิเรกที่ไม่มีขึ้นมา
“งานอดิเรกเหรอคะ อืม… ดูเหมือนว่าดิฉันจะไม่มีอะไรที่ทุ่มเทมากขนาดนั้นเลยค่ะ แต่จะว่าไปก็.. ชอบอ่านหนังสืออยู่นะคะ”
“อย่างนั้นเหรอคะ อ่านหนังสือสินะคะ เช่นนั้นสติปัญญาเลดี้จึงเฉียบแหลมแบบนี้ แม้จะฉลาดมาตั้งแต่เกิดก็มีส่วนแต่การอ่านหนังสือช่วยเสริมให้สมบูรณ์ด้วยล่ะค่ะ”
“ขอบคุณที่มองในแง่ดีนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นอาหารที่เลดี้ชอบล่ะคะ”
ครั้งนี้เฟรย์ถามถึงอาหารที่อาเรียชอบด้วยใบหน้าที่สงสัยอย่างมาก
เพราะยังไม่รู้สาเหตุของเธอ อาเรียจึงตกใจอยู่บ้างจากนั้นจึงตอบคำถามนั้น
“อาหารเหรอคะ… อืม… คงเป็นจำพวกเนื้อน่ะค่ะ”
“อย่างนั้นสินะคะ จำพวกเนื้อสำคัญต่อการเติบโตสินะคะ แล้วสีที่ชอบล่ะคะ”
“…สีฟ้าค่ะ”
“เป็นสีที่งดงามมากเลยค่ะ ดอกไม้ที่ชอบล่ะคะ”
“ดอกทิวลิปกับ… ดอกลิลลี่ค่ะ”
ทำไมถึงถามคำถามพวกนี้กันนะ
เพราะลักษณะสีหน้าของเธอไม่ได้ถามเพียงแค่ต่อบทสนทนาเท่านั้นแต่เธอดูอยากรู้จริงๆ ทำให้อาเรียยังคงสงสัยเจตนาของเธออยู่
เป็นคำถามและความสนใจที่ไม่เคยได้รับจากท่านเคานต์เลยตั้งแต่ที่เข้ามาในตระกูลนี้ ไม่สิ แม้แต่แม่ของเธอยังไม่แสดงออกว่าสนใจขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ
หากเป็นเพศตรงข้ามก็ไม่แน่ แต่นี่กลับเป็นความสนใจจากผู้ที่ไม่น่าจะต้องการอะไรจากเธอยิ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ
ยิ่งไปกว่านั้น
“แปลกใจอยู่เหมือนกัน…”
เนื่องจากเฟรย์กำลังทึ่งอยู่ เธอจึงไม่สามารถเปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้
สุดท้ายปฏิกิริยาตอบกลับที่ไม่คาดคิดของเธอที่ทำให้ตื่นตระหนกไปตอนแรกกลับเปลี่ยนไปรู้สึกถึงความไม่สบายใจในแบบอื่น
เธอยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับบริเวณหน้าผาก เมื่อเฟรย์รู้ตัวว่าตัวเองได้แสดงท่าทางที่เกินไปกับแขกที่เพิ่งเจอเป็นครั้งแรกจึงรีบขอโทษ
“เอ่อ ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เลดี้ไม่สบายใจนะคะ มัวแต่ทำตามใจตัวเองดูท่าจะเป็นการเสียมารยาทไปซะแล้ว”
“ไม่หรอกค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”
“ทำไมถึงใจกว้างได้ขนาดนี้เชียวคะ ปีนี้เลดี้อายุครบ 17 ปีแล้วใช่ไหมคะ”
“คะ อ๋อ ใช่ค่ะ ผ่านวันเกิดไปก็จะเป็นตามนั้นเลยค่ะ”
“วัยก็คล้ายกันมาก…”
อาเรียที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยหัวเราะออกมา
ทันใดนั้นครู่หนึ่งเฟรย์แสดงสีหน้าเศร้า จากนั้นจึงถามอาเรียว่าหากไม่ลำบากขอรบกวนอย่างหนึ่งได้หรือไม่
“ค่ะ แน่นอนสิคะ หากเป็นเรื่องที่ดิฉันทำได้ก็ยินดีเลยค่ะ”
คิดว่าเธอไม่น่ารบกวนอะไรแปลกๆ กับแขกที่เพิ่งมาครั้งแรก จึงแสร้งทำเป็นเลดี้จิตใจดีตอบว่ายินดีทำให้ทุกอย่างพร้อมกับรอยยิ้ม
แต่เรื่องที่เฟรย์ขอร้องกลับเกินกว่าที่อาเรียจะทำให้ได้
“แม้ไซส์จะใหญ่ไปเล็กน้อยแต่ว่า…เหมาะมากเลยละค่ะ ราวกับเด็กคนนั้นกลับมาเลยค่ะ”
“…”
อาเรียที่ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรได้แต่นิ่งเงียบ
ขอให้ใส่ชุดของผู้ชายที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนเนี่ยนะ! ยิ่งไปกว่านั้นยังมองด้วยแววตาราวกับจะร้องไห้อีกด้วย
“เลดี้…”
สีหน้าของอาเรียดูไม่ดีขณะที่ใส่ชุดนั้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติแอนนี่ทำเป็นช่วยแก้ชุดผู้ชายให้จึงเรียกอาเรีย
อาเรียที่ตกอยู่ในความรู้สึกที่ตกใจและสับสนจนลืมคำพูดราวกับเป็นตุ๊กตาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงทำตามคำขอของเฟรย์
ไม่สามารถถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าหล่อนอาจจะเพลิดเพลินที่ได้เห็นเธอใส่ชุดของผู้ชาย แต่สีหน้าที่ดูเศร้าแบบนั้นหมายความว่าอะไรกัน
“…ขอโทษด้วยนะคะ ไม่ได้มีเจตนาจะทำแบบนี้นะคะ แต่พอได้พบกับเลดี้จริงๆ ความทรงจำต่างๆ ก็กลับมา ทำให้ดิฉันแสดงกิริยาแย่ๆ แบบนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัวน่ะค่ะ”
“…ไม่เป็นไรค่ะ”
คนที่ควรจะช็อก เป็นเธอเสียมากกว่า ระหว่างที่อาเรียหายไปเปลี่ยนชุดพักใหญ่ กลับมาอีกทีขอบตาของเฟรย์กลับแดงก่ำอยู่อย่างนั้น
อาเรียที่ไม่สามารถแสดงอาการไม่พอใจได้ จึงสร้างเรื่องว่าตัวเองมีธุระเอ่ยปากขอตัวกลับก่อน
เพราะไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เข้าใจยากแบบนี้
“ขออภัยที่อยู่นานกว่านี้ไม่ได้นะคะ พอดีดิฉันมีธุระต่อค่ะ”
“ไม่หรอกค่ะ ขอบคุณจริงๆ นะคะที่มาเยี่ยมเยียนแบบนี้ นี่เป็นชาที่เลดี้ดื่มไปวันนี้ค่ะ เป็นชาที่หายากมาก หวังว่าเลดี้กลับไปจะได้เพลิดเพลินกับมันนะคะ”
“…ขอบคุณค่ะ”
ในขณะที่แอนนี่รับของขวัญมาและองครักษ์กำลังพาอาเรียขึ้นรถม้า
จู่ๆ เฟรย์ก็เรียกชื่ออาเรียออกมาเสียงดัง
“เอ่อ เลดี้โรสเซนต์คะ!”
“…คะ”
อาเรียที่ตกใจอยู่นั้นเมื่อหันไปมองด้านหลังก็มีเฟรย์ที่แสดงสีหน้าเร่งรีบ
ดูเหมือนว่าเธอกำลังเรียบเรียงคำที่จะพูด อาเรียจึงถามสาเหตุว่าทำไมถึงเรียกเธอ
“เคาน์ติสท่านไม่ได้ให้คำสัญญาอะไรไว้หรอกเหรอคะ”
“คะ อะไรนะคะ…”
หรือว่าเธอจะรู้จักกับแม่
เมื่อพูดราวกับว่าไม่เข้าใจคำถามของเฟรย์ ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจจะบอกแต่กลับลังเลจนกระทั่งก้มหน้าลงราวกับล้มเลิกความตั้งใจ เรื่องอะไรกันนะ
“…ขอโทษด้วยนะคะ วัยนี้ไม่น่าหลงๆ ลืมๆ แท้ๆ แต่ดูท่าอาการหลงๆ ลืมๆ คงจะมาเสียแล้ว”
“ท่านเฟรย์… มีอะไรเหรอคะ…”
“ไม่หรอกค่ะ รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสายเอานะคะ”
หลังจากนั้นเฟรย์จึงบอกให้เธอกลับอย่างระมัดระวังและหายเข้าไปในคฤหาสน์ก่อนที่อาเรียจะขึ้นรถม้าด้วยซ้ำ
“เรื่องอะไรกันนะ”
อาเรียถามสิ่งที่อยากถามกับแอนนี่ในรถม้าที่กำลังเดินทางกลับ แต่ทว่าไม่มีคนที่ให้คำตอบกลับไม่อยู่ ภายในรถม้าจึงเหลือเพียงความเงียบงัน
ได้ประสบการณ์ทั้งความตื่นเต้นและการต้อนรับอย่างดีพร้อมกับเรื่องไม่เคยคาดคิดที่น่าสงสัย แต่กลับไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยแม้แต่นิด รู้สึกแต่ความสับสนที่ยังคงค้างอยู่ ไม่นานอาเรียก็เดินทางใกล้ถึงคฤหาสน์
* * *
หลังจากถึงคฤหาสน์ ก็นอนพักบนเตียงเพราะเธอใช้สมองมากไปทำให้ร่างกายรู้สึกล้า เมื่อได้เวลาทานมื้อค่ำจึงลงมาที่ห้องอาหาร
มื้ออาหารก็เริ่มขึ้นได้ไม่เท่าไร สองพี่น้องก็เริ่มบีบคั้นท่านเคานต์ราวกับเตรียมการกันมาก่อน
“ท่านพ่อครับ ผมไม่เห็นด้วยกับการไปผูกมิตรกับเจ้าชายครับ”
“เคน พ่อบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราคุยเรื่องนี้จบกันไปแล้วนะ”
“ท่านพ่อลองคิดไตร่ตรองใหม่น่าจะดีครับ”
เคนตอบด้วยสายตาที่เฉียบขาด
ดูเหมือนว่าท่านเคานต์จะอึดอัดจนวางส้อมลงบนโต๊ะเสียงดังพร้อมกับโมโหใส่เขา
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่แกจะมายุ่ง! เป็นความต้องการของอาเรีย และท่านเคานต์อย่างฉันในฐานะผู้ปกครองก็เห็นด้วยไปแล้ว!”
เคนที่ตั้งใจจะพูดเสียงดังโต้ตอบ มิเอลจึงรั้งแขนของเขาไว้
“ท่านพี่คะ อย่างไรซะท่านพ่อก็ตัดสินใจไปเสียแล้วคงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ท่านพ่อเป็นผู้ปกครองนี่คะ”
แต่ใบหน้าของเธอกลับไม่เห็นด้วยอย่างมากกับเรื่องนี้
แล้วทำไมถึงห้ามเคนกันนะ เขาทานสลัดและเคียวอย่างช้าๆพลางจ้องมิเอล จากนั้นเคนก็เรียกชื่อเธอ
“…มิเอล”
“รีบทานเถอะค่ะท่านพี่ ก่อนที่อาหารจะเสียรสชาติหมด”
เคนที่ฟังคำพูดน้องสาวมากกว่าพ่อ เหลือบไปมองอาเรียก่อนจะทานอาหารอย่างเงียบๆ
แม้จะไม่เป็นอย่างนั้นก็ตาม เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันทำให้ความกังวลกองเป็นภูเขา ไปจนถึงเรื่องเคนและมิเอลอีกทำให้ความกังวลและสงสัยรุมเร้าอาเรีย ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้ทานอาหารเท่าที่ควรและลุกออกจากที่นั่งก่อนคนอื่น
……………………….
คอมเม้นต์