เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 30 เรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าตรู่

อ่านนิยายจีนเรื่อง เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ ตอนที่ 30 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.
บทที่ 30 เรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าตรู่

เช้าวันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตูอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้ถูกน้องสาวของตนปลุกให้ตื่น คนที่มาเคาะประตูก็คือฉีหรูเสวี่ย

“นี่ เจ้าคนไม่มีมารยาทตื่นมากินข้าวได้แล้ว คุณป้ากับน้องสาวรอนายอยู่นะ” ฉีหรูเสวี่ยเคาะประตูพลางตะโกนไปพลาง

“ไม่ว่าง…”

“แดดส่องก้นหมดแล้ว รีบตื่นเร็ว”

“ไม่กิน…”

“ตื่น ตื่น ตื่น…”

“หยุดเคาะได้แล้ว!”

นี่คือบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยในตอนเช้าตรู่ คนหนึ่งอยู่นอกห้อง อีกคนอยู่ในห้อง ความจริงแล้ว ฉีหรูเสวี่ยไม่อยากมาปลุกเย่เทียนเฉิน แต่ตอนนี้หลัวเยี่ยนเชื่อคำพูดของเธอทั้งหมด คิดว่าฉีหรูเสวี่ยหลงรักลูกชายของตนเอง จึงคิดอยากให้ทั้งสองสนิทสนมกัน ซึ่งสิ่งแรกก็คือการปลุกให้มากินข้าว ภรรยาทำอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วเรียกสามีลงมากิน นี่เป็นเรื่องที่อบอุ่นมาก เพียงแต่น่าเสียดายตรงที่เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยอยู่ ณ ตอนนี้มีแต่เรื่องน่าปวดหัว

“แม่ แม่ว่าพี่เขาเป็นอะไร พี่หรูเสวี่ยสวยออกขนาดนี้ เท่าที่หนูดูก็พอๆ กับหลิ่วหรูเหมยที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเลย แต่พี่กลับไม่ชอบซะงั้น?” เย่เชี่ยนเหวินซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร พอได้ยินบทสนทนาจากชั้นบน ก็ถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ

“เบาๆ หน่อยสิลูก เมื่อคืนแม่ก็คิดมาทั้งคืนแล้ว ถ้าว่ากันตามเหตุผลพี่ชายของลูกไม่น่าจะไม่ชอบหรูเสวี่ย หรูเสวี่ยออกจะสวย ทั้งยังเกิดในตระกูลใหญ่ ต่อให้ตระกูลฉีจะถอนหมั้นกับตระกูลเย่ แต่ความรู้สึกของทั้งสองนั้นบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แม่ถึงคิดได้ว่า ต้องเป็นเพราะว่าหรูเสวี่ยสวยเกินไปแน่ๆ ตอนที่พี่ชายลูกทำตัวเกเร แอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ แล้วต้องคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลหลิ่วอยู่ทั้งวัน เรื่องนี้คงทำร้ายจิตใจของเขามาก ดังนั้นเขาก็เลยมีความรู้สึกเกลียดชังผู้หญิงสวยๆ ลูกต้องจำไว้นะ ต่อไปนี้ห้ามพูดถึงหลิ่วหรูเหมย จำไว้!” หลัวเยี่ยนกล่าวออกมาอย่างเป็นกังวล

 “แม่ งั้นแม่คิดว่าเรื่องของพี่ชายกับพี่หรูเสวี่ยจะเป็นไปได้ไหม?” เย่เชี่ยนเหวินถามพลางขมวดคิ้ว

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่โชคชะตาเถอะ!”

ตอนนี้เอง ฉีหรูเสวี่ยที่อยู่บนชั้นสองของคฤหาสน์โกรธเย่เทียนเฉินจนทนไม่ไหว ตัวเองยืนอยู่ข้างนอกมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว แถมยังเคาะประตูเสียงดังมาก เจ้าหมอนี่ก็ยังไม่ออกมา ถ้าหากว่าทำแบบนี้ต่อไป จะต้องขายหน้าต่อหน้าคุณป้าและน้องสาวแน่ๆ บวกกับนิสัยไม่ยอมแพ้ ฉีหรูเสวี่ยจึงเคาะประตูแรงขึ้นอีก

ทันใดนั้นเอง ฉีหรูเสวี่ยก็คิดวิธีการดีๆ ซึ่งสามารถทำให้เย่เทียนเฉินเปิดประตูออกมาได้อย่างแน่นอน จึงตะโกนขึ้นมาในทันทีว่า “นายไม่ออกมาก็ช่างเถอะ ฉันกินข้าวเช้าเสร็จก็จะกลับตระกูลฉี ไม่อยากจะสนใจนายแล้ว!”

พูดจบฉีหรูเสวี่ยก็แกล้งทำเสียงเดินลงบันไดไป เธอเพิ่งจะหมุนตัวก็ได้ยินเสียงดังแอ๊ดไล่หลังมา ประตูห้องนอนของเย่เทียนเฉินถูกเปิดออก ขณะเดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉินว่า

“ก็ถูกแล้วไง ให้เธอค้างคืนหนึ่งก็ถือว่าไว้หน้าเธอมากแล้ว ตอนนี้เธอขาไม่เจ็บแข้งเจ็บขาแล้วก็รีบกลับบ้านไปเถอะ….”

“อร๊าย…คนบ้า คนไร้ยางอาย…”

ยังไม่ทันจะขาดเสียงแห่งความดีใจของเย่เทียนเฉิน ก็เห็นฉีหรูเสวี่ยร้องกรี๊ด แล้ววิ่งลงไปชั้นล่างด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะเขินอาย

“หือ? แย่ล่ะ เปลือยอยู่นี่หว่า…”

เย่เทียนเฉินที่ตอนแรกยังงงๆ ไม่รู้ว่าทำไมฉีหรูเสวี่ยถึงได้อายจนร้องเสียงดัง แถมยังรีบวิ่งลงไปข้างล่าง ก็มองซ้ายมองขวา ทันใดนั้นก็พบว่าตอนนี้ตนกำลังสวมแค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว เผยให้เห็นความผงาดกร้าวแกร่งของผู้ชายในตอนเช้าอย่างชัดแจ้ง ส่วนนั้นชี้เด่ขึ้นมา มิน่าฉีหรูเสวี่ยจึงได้ตกใจจนร้องตะโกนออกมา

เย่เทียนเฉินรีบพุ่งเข้าไปสวมใส่เสื้อผ้าในห้อง แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อฉีหรูเสวี่ย แต่จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ส่วนคุณเป็นผู้ชาย น้องชายของตัวเองตื่นขึ้นมาเคารพธงชาติต่อหน้าผู้หญิง เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก เป็นใครก็รู้สึกกระดากใจ

รอจนกระทั่งเย่เทียนเฉินลงไป ก็พบว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องต่างก็มองเขาและฉีหรูเสวี่ยด้วยความสงสัย ส่วนฉีหรูเสวี่ยอายจนหน้าแดง เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวลูกเดียว

“เทียนเฉิน เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าลูกรังแกหรูเสวี่ยหรอกนะ?” หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงกล่าวถาม

“ใช่แล้วพี่ พี่อย่ารังแกพี่หรูเสวี่ยนะ หนูกับแม่ไม่ยกโทษให้พี่แน่” เย่เชี่ยนเหวินยืนอยู่ข้างฉีหรูเสวี่ยไปแล้วโดยสิ้นเชิง

“เปล่า เปล่า กินข้าวเถอะ กินข้าวเถอะ!” เย่เทียนเฉินหัวเราะเสียงแห้งพลางนั่งลงกินข้าว

จนกระทั่งเวลาอาหารเช้าสิ้นสุดลง ใบหน้างามของฉีหรูเสวี่ยเป็นสีแดง ระหว่างนั้นก็ใช้เดวงตาอันงดงามถลึงมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันหลายครั้ง ราวกับว่าอยากจะจับชายคนนี้ตอน แม้ว่าฉีหรูเสวี่ยจะได้รับการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศ แต่เธอก็ยังไม่เคยมีแฟน ขนาดจูบกับผู้ชายก็ยังไม่เคยทำมาก่อน หากพูดเรื่องนี้ออกไปคงไม่มีใครเชื่อแน่ แต่ก็เป็นเรื่องจริง

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เย่เทียนเฉินก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา เย่เชี่ยนเหวินไปโรงเรียน ส่วนแม่ไปล้างจ้านและซักเสื้อผ้า จริงๆ แล้วเป็นความตั้งใจที่จะให้เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยได้ใช้เวลาร่วมกันสองต่อสอง แต่ทันทีที่หลัวเยี่ยนหมุนตัวเดินเข้าห้องครัวไป เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยก็เริ่มเขม่นกันราวกับคู่รักคู่แค้น

“คนบ้า คนลามก คนชั่ว ไร้ยางอาย!” ใบหน้าอันงดงามของฉีหรูเสวี่ยบูดบึ้งยังเป็นสีแดงเรื่ออยู่เล็กน้อย เธอพูดพร้อมกับใช้ตางามถลึงมองใส่เย่เทียนเฉินอย่างดุร้าย

“นี่ เธอมาเห็นเอง เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย” เย่เทียนเฉินมีท่าทีไม่สนใจ

“นาย…น่ารังเกียจไร้ยางอาย สกปรกชั่นต่ำ มีใครที่ไหนไม่ใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกมาเหมือนนายบ้าง?” ฉีหรูเสวี่ยแทบอยากจะกระโดดไปขย้ำเย่เทียนเฉิน  คนๆ นี้มันจะเกินไปแล้ว

“ตอนนั้นฉันไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเหรอ? ถึงยังไงก็ใส่กางเกงตัวหนึ่งนะ โดนเธอเห็นแขนล่ำๆของฉัน ฉันเสียหายมากจริงๆ….” เย่เทียนเฉินสั่นศีรษะพูดด้วยท่าทางเจ็บปวดใจมาก

“คนบ้า ฉันยังไม่จบกับนายนะ” ฉีหรูเสวี่ยขบฟัน ใช้กำปั้นขาวนวลทุบใส่เย่เทียนเฉิน

“เอาล่ะ เธอบอกว่ากินข้าวเช้าเสร็จก็จะกลับบ้านไม่ใช่เหรอ? ยังจะอยู่ทำอะไรที่นี่อีก? รีบไปเถอะ ถ้ายังไม่ไปจะไม่ทันขึ้นรถสายสองนะ!”

“นายอยากให้ฉันไปใช่ไหม? ฉันไม่ไป ดูซินายจะทำยังไง เชอะ!”

“ทำไมถึงได้หน้าด้านนักนะ? ฉันกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกัน ถอนหมั้นกันไปแล้ว แม้ว่าวันนี้ตอนเช้าเธอจะเห็นเรือนร่างอันแข็งแกร่งงดงามของพี่ชายสุดหล่อคนนี้ แต่ดีที่ฉันเป็นคนใจกว้าง ไม่เอาเรื่องเธอ เธอไปได้แล้ว” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองฉีหรูเสวี่ยด้วยท่าทางจริงจัง

“นาย…คนอย่างนายควรจะถูกแจ้งความจับไปจริง ฉันจะแจ้งความตอนนี้เลย จะบอกว่านายทำตัวไร้ยางอาย…”

ในระหว่างที่ฉีหรูเสวี่ยพูด เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจริงๆ ขณะที่กำลังจะต่อสายไปหาตำรวจ ใครจะทราบว่าเธอยังไม่ทันได้กดเบอร์ เสียงไซเรนก็ดังขึ้นตำรวจนอกประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่ ไม่ถึงครึ่งนาทีก็มีเสียงเคาะประตูดังตึงๆๆ

เย่เทียนเฉินมองฉีหรูเสวี่ยอย่างหดหู่แล้วกล่าวว่า “เธอที่ไม่ใช่แค่หน้าด้าน แต่ยังปากเป็นลางอีกด้วย”

“นายสิหน้าด้าน นายสิปากเป็นลาง อย่างนายเรียกว่ากรรมตามสนอง…” ฉีหรูเสวี่ยเองก็รู้สึกตกใจ คิดว่าตนคงไม่น่าจะปากเป็นลางจริงๆ หรอกมั้ง พูดอะไร ก็เป็นอย่างนั้นเหรอ?

พอได้ยินเสียงไซเรนตำรวจ หลัวเยี่ยนแม่ของเย่เทียนเฉินก็เดินออกมาจากห้องครัว เปิดประตูคฤหาสน์ เห็นตำรวจสองนายยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าถมึงทึง ตำรวจนายหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าใครคือเย่เทียนเฉิน?”

“พวก พวกคุณมาหาลูกชายฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ?” หลัวเยี่ยนกล่าวถาม ในใจเกิดความกระวนกระวายเล็กน้อย

“พวกเราสงสัยว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม เมื่อคืนนี้ จึงจะเชิญเขากลับไปสอบปากคำครับ” ตำรวจอีกนายหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“เป็นไปไม่ได้ ลูกชายของฉันไม่ฆ่าใครหรอกค่ะ ฉันคิดว่าพวกคุณเข้าใจผิดแล้ว” ลั่วเหยียนก็เป็นเหมือนคนเป็นแม่คนอื่นๆ ถึงอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าลูกชายของตนฆ่าคน และไม่อยากให้ตำรวจสองนายนี้พาลูกชายของตนไป

“เรื่องนี้ยังต้องทำการตรวจสอบก่อนถึงจะสามารถยืนยันได้ครับ ตอนนี้ขอเชิญคุณเย่เทียนเฉินออกมา พวกเราต้องพาเขาไปให้ความร่วมมือในการสืบสวน” ตำรวจที่เป็นผู้กล่าวนำนั้นพูดจาด้วยท่าทีวางมาด

“ผมคือเย่เทียนเฉิน ไม่ทราบว่าที่พวกคุณสงสัยว่าผมฆ่าคน มีหลักฐานอะไรไหม?” เย่เทียนเฉินเดินออกมา มองตำรวจทั้งสองนายพลางกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“หลักฐาน? คำพูดของพวกเราก็คือหลักฐานไงล่ะ ขอเชิญคุณไปกับพวกเราด้วย”

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าตำรวจสองนายนี้มาหาเรื่อง ไม่ทราบว่ากลุ่มอำนาจไหนที่ต้องการกำจัดตนเอง สุดท้ายก็พูดกับลั่วเหยียนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมไปแปปเดียวเดี๋ยวก็มา ไม่ต้องบอกพ่อกับน้องเรื่องนี้นะครับ”

“เทียนเฉิน…นี่…” ลั่วเหยียนรู้สึกกังวลมาก อย่างไรเสียก็การถูกตำรวจมาหาถึงที่บ้าน แล้วยังบอกว่าต้องพาลูกชายไปเพราะเรื่องฆ่าคนอีก คนเป็นแม่ที่ไหนจะไม่กังวลบ้าง

“ไม่เป็นไรครับ อีกเดี๋ยวผมก็กลับมาแล้ว” เย่เทียนเฉินกล่าวกับแม่ด้วยรอยยิ้ม

จริงๆ แล้วตำรวจสองนายนี้ ได้รับการแจ้งความจากลูกสมุนของหลี่เถีย ถึงได้มาจับตัวเย่เทียนเฉิน แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่หลี่เถียมีอิทธิพลมากมายในกลุ่มอิทธิพลใต้ดินของเมืองหลวง และมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกลุ่มอิทธิพลเบื้องหน้า ตอนที่ลูกสมุนไปแจ้งความ หลี่เถียก็ได้ฝากคำพูดไปถึงกรมตำรวจว่า หากสามารถทำให้เย่เทียนเฉินตายได้ก็ทำได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ดังนั้นตำรวจสองนายนี้จึงปฏิบัติกับเย่เทียนเฉินเช่นนี้

ขณะมองดูเย่เทียนเฉินถูกตำรวจทั้งสองนายพาตัวไป ลั่วเหยียนก็รู้สึกกระวนกระวาย ฉีหรูเสวี่ยเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าแค่ตนเองแค่พูดตามใจปาก เย่เทียนเฉินก็ถูกตำรวจจับตัวไปจริงๆ ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงเข้าไปปลอบลั่วเหยียน

ตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปกับตำรวจสองนายนั้นก็ได้กำชับกับลั่วเหยียนผู้เป็นแม่อีกครั้งว่าอย่าได้ให้พ่อกับน้องรู้เรื่องนี้ เนื่องจาก ข้อแรกเพราะเกรงว่าพวกเขาจะเป็นห่วง ข้อสองเพราะเกรงว่าเรื่องนี้จะส่งผลถึงตระกูลเย่ เพราะเห็นตำรวจทั้งสองนายก็รู้ทันทีว่าไม่ได้มาดีแน่ เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องวางแผนรับมือเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

“แม่งเอ้ย ไม่ได้กินข้าวเช้ามาเหรอไง? เดินเร็วๆ หน่อย พวกฉันต้องรีบกลับนะ” ตำรวจนายหนึ่งกล่าวกับเย่เทียนเฉินอย่างหยาบคาย

“เดินเร็วหน่อย เดี่ยวก็ตัดขาทิ้งซะหรอก” ตำรวจอีกนายหนึ่งชักสีหน้าใส่

แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะทราบว่าตำรวจสองนายน้น่าจะถูกผู้อื่นซื้อตัวไปแล้ว และตั้งใจมาเพื่อสร้างความยุ่งยากให้กับตนเอง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสองคนนี่จะแสดงสันดานแย่ๆ ออกมาเร็วเช่นนี้ ไม่มีลักษณะของผู้รับใช้ประชาชนหรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เลยแม้แต่นิดเดียว

ผัวะๆ!

เย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับตำรวจสองนายที่ร้องเอะอะโวยวายด้วยการต่อยหมัดสองหมัดใส่ จนตำรวจเลวทั้งสองใช้มือกุมท้อง คุกเข่าลงกับพื้น ลุกไม่ขึ้นไปครึ่งวัน

……………………………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด