เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 57 จะพัฒนาตระกูลเย่ให้รุ่งเรืองต้องอาศัยเย่เทียนเฉิน?

อ่านนิยายจีนเรื่อง เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ ตอนที่ 57 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.
บทที่ 57 จะพัฒนาตระกูลเย่ให้รุ่งเรืองต้องอาศัยเย่เทียนเฉิน?

หลังจากที่เย่เทียนเฉินทานอาหารเย็นที่บ้านหลักตระกูลเย่เสร็จแล้ว ก็นั่งดื่มชาตากอากาศอยู่ที่ลานบ้าน คุยเล่นกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาว เสพสุขกับชีวิตอันเงียบสงบ

 กล่าวตามจริง ชีวิตอันเงียบสงบที่เย่เทียนเฉินต้องการลิ้มรสนั้น ไม่ใช่เขาเองใช้ชีวิตเรียบง่ายไปวันๆ แต่อยากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสงบร่มเย็นตอนที่อยู่ด้วยกันกับพ่อแม่และน้องสาว ไม่ถูกผู้อื่นรบกวน หากมีใครกล้าทำตัวไม่ดี งั้นก็ต้องขอโทษด้วยที่ต้องมอบหมัดให้คุณสักยก

เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้ามาเกิดใหม่ในเมือง เย่เทียนเฉินในโลกก่อนเดิมทีก็เป็นคนบ้าการต่อสู้ อยู่ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านตลอดเวลา โลหิตของเขาต่างก็ถูกเผาไหม้ไปกับการต่อสู้ ชีวิตในเมืองบางครั้งก็น่าเบื่อ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่ถือสาที่จะหาอะไรสนุกๆ ทำ ดั่งเช่นหาเหล่าผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณมาประมือด้วยสักหน่อย และถือโอกาสยกระดับพลังพิเศษของตนไปด้วย

“พี่ชาย พี่ว่าคุณปู่เรียกพ่อไป คุยอะไรเหรอ?” เย่เฉี่ยนเหวินกล่ามถามอย่างแปลกใจ

“ไม่ค่อยรู้หรอก คงรำพึงรำพันตามประสาพ่อลูกล่ะมั้ง พ่อกับผู้อาวุโสไม่ได้เชื่อมสัมพันธ์กันนานมากแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองแสงดาวบนฟากฟ้าพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก

“หลายปีมานี้ ดูเหมือนว่าปู่ของลูกมีอคติต่อพ่อของลูกมาโดยตลอด แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเราไปซื้อบ้านลงหลักปักฐานกันอยู่ข้างนอก หรือเป็นเพราะลุงใหญ่กับลุงสองของลูกยุยงอยู่ภายใน หวังว่าคราวนี้พวกเขาสองพ่อลูกจะเข้ากันได้ดี” หลัวเยี่ยนกล่าวอย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง

 “แม่ครับ แม่อย่าคิดมากขนาดนั้นเลยครับ ดื่มชาเถอะ ดูฟ้ายามค่ำคืนสิว่าสวยขนาดไหน ผมคิดว่าพ่อคงคุยอย่างมีความสุขแน่ครับ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เย่หงผู้เป็นพ่อและเย่หย่วนซานที่เป็นผู้อาวุโสคุยยกันยู่ภายในห้องหนังสือตระกูลเย่นั้น เย่เทียนเฉินรู้ดีราวกับรู้ฝ่ามือตนเอง ความสามารถของผู้มีพลังพิเศษระดับจอมราชัน หากพูดถึงเมืองในปัจจุบันนี้ แม้ว่าไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เพียงพอที่จะโอหังเหิมเกริมได้ไปครึ่งประเทศจีน โดยเฉพาะพลังพิเศษแห่งการรับรู้ที่ทะลวงไปถึงขอบเขตที่แน่นอน ดังนั้นเย่เทียนเฉินเปิดใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ไปตั้งนานแล้ว จึงรู้ทุกย่างของบ้านหลักตระกูลเย่เป็นอย่างดี

 ในโลกเดิม ผู้มีพลังพิเศษแบ่งเป็นระดับตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงเก้า เหนือกว่าระดับเก้าก็คือระดับราชัน ระดับจอมราชัน ระดับจักรพรรดิ ระดับพระเจ้า และระดับเทพราชัน ยิ่งเป็นระดับพลังที่ยิ่งใหญ่ พลังพิเศษก็ยิ่งแข็งแกร่งและร้ายกาจ แน่นอนไม่ใช่ว่าความสามารถของผู้มีพลังพิเศษที่อยู่ในขอบเขตพลังระดับหนึ่งถึงระดับเก้าจะอ่อนแอ ต้องทราบว่า พลังพิเศษนั้นนอกจากจะมีการแบ่งระดับแล้ว ยังมีการแบ่งตามสายอีกด้วย

 กล่าวโดยรวมก็คือ สายพลังของพลังพิเศษแบ่งออกเป็นห้าสายคือ

 สายพลังธาตุ ได้แก่ ลม ไฟ สายฟ้า น้ำ ดิน ไม้ แสง ทั้งหมดเจ็ดสายย่อย เป็นพลังพิเศษที่เห็นได้บ่อยที่สุด ผู้ที่รู้ตัวว่ามีพลังพิเศษแล้วส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ในสายนี้

สายเสริมพลัง ได้แก่ การเพิ่มความแข็งแกร่งหรือเปลี่ยนแปลงความสามารถหนึ่งๆ ของร่างกาย ผู้ที่แข็งแกร่งมากๆ ถึงขั้นสามารถเสริมความแข็งแกร่งของวัตถุพิเศษบางอย่าง เช่น อาวุธ ดินปืน โลหะ รวมถึงประเภทพิเศษบางอย่าง

สายจิตวิญญาณ สามารถสร้างผลกระทบต่อสมองของมนุษย์ได้ เป็นความสามารถที่น่าเกรงขามที่สุดจากทุกสาย สามารถฆ่าคนโดยใช้การควบคุมที่มองไม่เห็น กระทั่งสามารถทำลายผู้อื่นด้วยการประทับรอยประทับจิตวิญญาณของตนเองลงไปได้ ดูเหมือนว่าระดับความแข็งแกร่งของพลังพิเศษสายอื่นๆ ต่างก็มีผลต่อสายจิตวิญญาณ บางคนกระทั่งสามารถตัดสินความแข็งแกร่ง ระดับ และศักยภาพได้โดยตรง ผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษประเภทนี้ค่อนข้างน้อย จำนวนของผู้ที่เป็นรูปแบบจิตวิญญาณโดยกำเนิดก็คือหนึ่งในร้อยล้าน

สายเขตแดน รวมถึงความสามารถรูปแบบป้องกันต่างๆ ที่แสดงรูปลักษณ์คล้ายๆ กัน คือผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพื้นที่ที่แน่นอน ภายในเขตแดนของเขาเกือบจะไร้ผู้ต่อกร  แน่นอนว่าใช้ได้เพียงระดับที่ความแตกต่างระหว่างระดับพลังเท่ากันหรือต่างกับไม่มากเท่านั้น ประเภทนี้มีความต้องการพลังจิตวิญญาณค่อนข้างมาก ผู้ที่รู้ตัวค่อนข้างน้อย

สายพิเศษ สายที่ไม่สามารถแบ่งเข้าสายอื่นๆ ได้อย่างชัดเจนก็จะจัดอยู่ในสายนี้ ความสามารถแปลกประหลาด มีไม่มากนัก ที่แข็งแกร่งที่สุดและอ่อนแอที่สุดหลายคนต่างก็อยู่ในสายนี้ แต่สายนี้ทำให้ผู้คนรู้ได้ว่าอะไรที่เรียกว่าพลังพิเศษ อะไรที่เรียกว่ามีทุกอย่าง

ดังนั้นผู้มีพลังพิเศษที่อยู่ในสายหนึ่งๆ แม้ว่าพลังพิเศษของพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเช่นนั้น แต่ก็มีความสามารถที่พิเศษเป็นอย่างมาก ความสามารถเช่นนี้พอได้ใช้ ต่อให้เป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีระดับตั้งแต่ระดับราชันขึ้นไปก็ต้องถูกบีบให้พ่ายแพ้ ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ถ้าหากผู้มีพลังพิเศษสายเขตแดนทำให้พลังเขตแดนแสดงผลการจำกัด และใช้ท่า “เนรเทศชั่วนิรันดร์” เพื่อเนรเทศผู้คนไปสู่ความมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด เป็นใครก็ทำอะไรไม่ถูก

ตอนที่พบเสี่ยวฉิงใช้พลังพิเศษเป็นครั้งแรก เย่เทียนเฉินก็รู้ว่า ในเมืองของโลกแห่งนี้ จะต้องมียอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณอยู่แน่นอน และก็มีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้มีพลังพิเศษสายต่างๆ มีอยู่หรือไม่ แล้วจะเก่งกาจขั้นระดับใดกัน? ทำให้ผู้คนรู้สึกตั้งตารออยู่บ้างจริงๆ

 ตอนนี้ เย่เทียนเฉินนอนอยู่บนเก้านี้หวาย มองดาวบนท้องฟ้าไปพลาง รับรูถึงสถานการณ์ทั้งหมดในบ้านหลักตระกูลเย่ไปพลาง และก็ได้ยินคำพูดของเย่หงผู้เป็นพ่อและผู้อาวุโสเย่หย่วนซานด้วย ทำให้พอรู้เรื่องบ้างแล้ว

 “หงเอ๋อร์ หลายปีมานี้พ่อมีอคติต่อลูกอยู่บ้าง ลูกมีอะไรจะบ่นพ่อบ้างไหม?” เย่หย่วนซานนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือ ส่วนเย่หงนั่งอยู่บนโซฟา

 “พ่อครับ ผมทราบว่าพ่อมีความยากลำบากเหมือนกัน หากครอบครัวรักใคร่ปรองดอง ทุกสิ่งก็จะเจริญ ผมล้วนกระจ่างแจ้ง!” เย่หงพยักหน้าพลางกล่าว

 เย่หย่วนซานมองเย่หงด้วยรอยยิ้ม พูดตามจริงแล้ว ในหมู่ลูกชายทั้งสามคน คนที่รู้เรื่องที่สุดและกตัญญูที่สุดก็คือลูกสามเย่หง เพียงแต่หลายปีมานี้เปลือกนอกเขาปฏิบัติตัวไม่ดีต่อเย่หงอยู่บ้าง และดูเหมือนจะมีการพุ่งเป้าอยู่บ้าง นี่ทำให้คนมากมายไม่เข้าใจว่าทำไม ไม่มีเหตุผผเอาเสียเลย ทำไมเขาถึงปฏิบัติกับลูกสามไม่ดี

“อืม ลูกจะคิดแบบนี้ก็ได้ พ่ออย่างฉันนี่มันจริงๆ เลย บอกลูกตามตรง หลายปีมานนี้ ที่ทำไม่ดีกับลูก ทุกอย่างเป็นความตั้งใจของพ่อเอง” เย่หย่วนซานมองเย่หงหลางกล่าว

“พ่อครับ พ่อ…” เย่หงตกใจอยู่บ้าง เดิมทีเขาคิดว่าเป็นพี่ชายทั้งสองของเขาที่มักจะพูดถึงตนเองไม่ดีต่อหน้าพ่อ ถึงทำให้พ่อค่อยๆ ห่างเหินกับตนเอง ไหนเลยจะรู้ว่าที่แท้ก็เป็นเขาจงใจทำ ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อทำให้เย่หงรู้สึกไม่เข้าใจ

“เย่หง ลูกฟังพ่อพูดนะ ตั้งแต่พ่อเกษียณออกมา ในหมู่พี่น้องสามคน ไม่มีสักคนเลยที่จะเป็นเสาหลักได้ พี่ชายสองคนของลูกก็ไม่ต้องพูดเลย ทั้งวันรู้จักแต่วางอุบายแย่งชิงทรัพย์สมบัติตระกูล ไม่เหมือนกับคนที่จะพัฒนาตระกูลให้รุ่งเรืองไปได้เลยสักนิด มีแค่ลูกถึงจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่ว่าหลังจากที่พ่อวางมือ ลูกที่สามารถแย่งชิงและรักษาตำแหน่งรองผู้ว่าการเมืองhได้ก็ไม่เลวแล้ว อยากจะก้าวไปอีกก้าวก็ยากนัก อีกทั้งหลายปีมานี้ พ่อค้นพบเรื่องๆ หนึ่ง นั่นก็คือเบื้องบนดูเหมือนจะมีคนพุ่งเป้ามาที่ตระกูลเย่ของพวกเรา ไม่งั้นเพื่อไม่ให้ลูกต้องเหนื่อย ก็คงอาศัยความสัมพันธ์แต่เก่าก่อนของพ่อย้ายตำแหน่งให้ลูกไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นพ่อจึงเริ่มห่างเหินกับลูก แสดงออกว่าทำไม่ดีกับลูก เพื่อจะได้ไม่มีผลกระทบต่ออนาคตของลูก ทำให้ตระกูลเย่ของพวกเราไม่ถึงกับตกต่ำจนถึงจุดที่ไม่มีชื่อเสียงเลย…” เย่หย่วนซานกล่าวอย่างจริงใจ

ได้ยินคำพูดของเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อ เย่หงก็ตกตะลึง และกระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยพลัน มิน่าเล่าหลายปีมานี้บิดาห่างเหินกับตนอย่างกะทันหัน กลายเป็นไม่ต้อนรับตนเอง กระทั่งมีหลายครั้งที่ไล่เขาออกจากบ้านหลักตระกูลเย่ ที่แท้ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนี่เอง ดูแล้วเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อก็วางแผนลึกซึ้ง คิดเพื่อทั้งตระกูล

“พ่อ ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะพยายาม!” เย่หงมองบิดาของตนเอง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ ในตอนที่เย่หย่วนซานยังไม่ลงจากตำแหน่ง จะอย่างไรตระกูลเย่ก็เป็นตระกูลชั้นหนึ่งในจิงตูทั้งยังนับว่ายิ่งใหญ่เป็นอย่างมากด้วย แต่ว่าตั้งแต่ที่เย่หย่วนซานเกษียณออกมา ในหมู่ลูกหลานตระกูลเย่ก็ไม่มีสักคนที่ปืนป่ายไปถึงระดับบนได้ ตระกูลเย่ก็ค่อยๆ ตกต่ำลงทุกวัน เย่หงทำไมจะไม่ร้อนใจ ไม่เจ็บใจ

“ผิดแล้ว หงเอ๋อร์ ครั้งนี้ที่พ่อเรียกลูกมาและเล่าเรื่องราวให้ลูกฟัง ไม่ใช่จะให้ลูกพยายามปืนป่ายไปสู่เบื้องบน แต่เพราะจะบอกลูกว่า ความหวังที่จะพัฒนาตระกูลเย่อยู่ที่เย่เทียนเฉิน” ตอนนี้เย่หย่วนซานพูดถึงเย่เทียนเฉินหลานชายคนนี้ มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่ง เขาเคยอยู่ในตำแหน่งสูงมาก่อน และอ่านคนมานับไม่ถ้วน เชื่อว่าตนเองคงมองไม่ผิดแน่ หลานที่เคยเสเพลคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นคนที่กล้าหาญและพาลเกินคน ทั้งยังมีฝีมือแข็งแกร่ง บางทีอาจจะสามารถทำให้ตระกูลเย่ยกระดับขึ้นอีกครั้ง ทำให้ชื่อเสียงสะท้านจิงตู!

“พ่อครับ เทียนเฉินเจ้าลูกคนนี้ เมื่อก่อนล้วนถูกผมทำให้เสียคนแล้ว หาเรื่องยุ่งยากวุ่นวายมาให้ตระกูลไม่น้อย แม้ว่าช่วงนี้เขาจะเปลี่ยนไป แต่ต้องพึ่งเขาฟื้นฟูตระกูลเย่ มันจะเป็นไปได้เหรอครับ?” เย่พูดกล่าวพลางหัวเราะอย่างไม่เชื่ออยู่บ้าง

เย่หงทราบดี เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก ตั้งแต่ปลดประจำการจากกองทัพกลับมา ก็เปลี่ยนความเสเพลเมื่อก่อน ถึงแม้ว่าบางครั้งจะยังคงทำอะไรไม่จริงจังและมีกลิ่นอายของนักเลงอยู่อย่างเข้มข้น แต่ว่าเขาก็รู้สึกได้ว่า ลูกชายไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ท่าทีวิธีการที่เขากระทำเรื่องราวและอุบายที่แข็งกร้าว ขนาดเขาที่เป็นคนที่โตขึ้นมาในตระกูลใหญ่ ก็ต้องตกตะลึง ถึงกับกล้าลงมือกับลั่วซงเฉิง เรียกขานลั่วซงเฉิงว่าไอ้แก่ ความกล้าหาญนี้ มีเพียงไม่กี่คนในจิงตูที่กล้าทำ

 แต่ว่า ต่อให้เย่เทียนเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย บางทีอาจสามารถปกป้องครอบครัวได้ แต่ว่าจะอาศัยเขาพัฒนาตระกูลเย่ให้รุ่งเรือง เย่หงยังไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่ เพราะเขาเข้าใจดี หากต้องพัฒนาตระกูลๆ หนึ่งให้รุ่งเรืองนั้นยากแค่ไหน โดยเฉพาะในจิงตูที่เป็นสถานที่ที่มีเสือหมอบมังกรซ่อน เป็นเมืองที่มีอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อยู่เต็มไปหมด เกรงว่าจะไม่ใช่แค่ตบตีฆ่าฟันก็สามารถสำเร็จได้ การชิงไหวชิงพริบเป็นสิ่งสำคัญมาก อาศัยแค่กำลังของคนๆ เดียวพัฒนาตระกูลหนึ่งให้รุ่งเรืองนั้นเป็นไปไม่ได้ กระทั่งทั่วทั้งจีน หลายร้อยปีมานี้ยังไม่มีตัวอย่างปรากฏออกมาให้เห็น

 “ฮ่าๆ หงเอ๋อร์ ดูแล้วลูกยังไม่ค่อยเข้าใจลูกชายของลูก ลูกลองคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่เขาทำตั้งแต่กลับมาจากกองทัพดู… ยกเลิกการแต่งงานกับตระกูลฉีอย่างง่ายดาย ทำให้ลูกกลายเป็นเลขาธิการคณะกรรมการเมืองh เลื่อนขั้นขึ้นถึงสองระดับ เผชิญหน้ากับคำยั่วยุของตระกูลลั่ว ให้วิธีการอันแข็งกร้าวฆ่าคนโดยตรง สั่นสะเทือนไปทั่วจิงตู อาจกล่าวได้ว่าเขานั้นบ้าบิ่น และอาจกล่าวได้ว่าเขากล้าหาญ กล้าทำกล้ารับ… ฉันคิดว่าเขาทำได้!” เย่หย่วนซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 “พ่อ งั้นความหมายของพ่อคือ…” เย่หงชะงักไปชั่วครู่จึงเปิดปากกล่าว

 “พ่อจะคิดหาวิธี ใช้ความสัมพันธ์แต่เก่าก่อน ทำให้เขามีอาชีพการงาน ไม่ว่าจะด้านการเมืองหรือการทหาร อย่างน้อยก็ต้องเข้าไปสักตำแหน่ง ถึงตอนนั้นค่อยพัฒนาไปช้าๆ” เย่หย่วนซานกล่าวอย่างจริงจัง

“พ่อ แต่เทียนเฉินยังเป็นนักศึกษาปีหนึ่งขอมหาวิทยาลัยหลงเถิง ยังมีเวลาอีกประมาณสองเดือน ก็ต้องไปรายงานตัวแล้ว!” เย่หงเปิดปากกล่าว

“ไม่เป็นไร ทั้งสองด้านสามารถไปด้วยกันได้ ใครบอกว่านักศึกษาไม่สามารถเป็นข้าราชการได้? ขอเพียงมีความสามารถพอที่จะทำ…” มุมปากของเย่หย่วนซานประดับไปด้วยรอยยิ้ยพลางกล่าว

………………………………………..

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด