เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 112 บ้าไปแล้ว ฉินเหิงบ้าไปแล้ว!

อ่านนิยายจีนเรื่อง เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ ตอนที่ 112 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.
บทที่ 112 บ้าไปแล้ว ฉินเหิงบ้าไปแล้ว!

“ฉีหรูเสวี่ย ฉันได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเย่เทียนเฉินไม่เลวเลยนี่ ไม่รู้ว่าตอนที่เขาได้ยินข่าวการหมั้นของเธอกับฉันจะมีปฏิกริยายังไง?” ฉินเหิงนั่งอยู่ในรถสุดหรู มองไปยังฉีหรูเสวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แล้วเอ่ยขึ้นทั้งยิ้มอย่างลำพองใจ

ฉีหรูเสวี่ยมองฉินเหิงอย่างรังเกียจ เธอเจ็บใจและเสียใจเป็นอย่างมาก เดิมทีตนเองอยู่ที่บ้านตระกูลเย่เพราะอยากจะหลบเลี่ยงการหมั้นกับฉินเหิง แต่ด้วยอำนาจอิทธิพลของตระกูลฉีการจะหาเธอนั้นง่ายมาก หลังจากที่ฉีชางเซิ่งผู้เป็นพ่อหาฉีหรูเสวี่ยพบ ก็พูดกับเธอเพียงประโยคเดียวว่า ถ้าไม่กลับตระกูลฉี ก็ตัดพ่อตัดลูกกันไปเลย ตระกูลฉีไม่อาจอดทนกับเธอได้อีกต่อไป ยังมีอีกอย่างก็คือ หากว่าเธออาศัยอยู่ที่ตระกูลเย่ และทำให้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉีและตระกูลฉินไม่สำเร็จ เกรงว่าคนตระกูลเย่จะต้องเข้ามาพัวพันและถูกแก้แค้นไปด้วย

วันเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันกับแม่และน้องสาวของเย่เทียนเฉินเหล่านี้ ฉีหรูเสวี่ยมีความสุขมาก พวกเธอเห็นตนเองเป็นดั่งคนในครอบครัว ได้คุยเล่นกันและไปช้อปปิ้งด้วยกันกับพวกเธอ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีความรู้สึกฝืนใจเลยแม้แต่น้อย นี่ถึงจะเป็นชีวิตที่ฉีหรูเสวี่ยต้องการ

ดังนั้น ฉีหรูเสวี่ยรู้ดีว่าพ่อของตนพูดได้ก็ทำได้ ถ้าหากตนเองไม่ยอมกลับบ้านจริงๆ แม่และน้องสาวของเย่เทียนเฉินจะต้องมีอันตรายแน่นอน อำนาจอิทธิพลของตระกูลฉียิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่ ตระกูลเย่ไม่มีทางต่อต้านได้ เมื่อความเป็นจริงมากองเรียงอยู่ตรงหน้า เธอก็จำเป็นต้องทำตาม

สุดท้ายฉีหรูเสวี่ยจึงเลือกที่จะกลับไป เพื่อปกป้องแม่และน้องของเย่เทียนเฉิน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉี เธอไม่อาจเห็นแก่ตัวจนมากเกินไปได้ ตระกูลฉินโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่มาโดยตลอด สองพ่อลูกฉินเหิงยิ่งเป็นสวะในหมู่สวะ หากตนเองดื้อดึงไม่ยอมหมั้นกับตระกูลฉิน ตระกูลฉินจะต้องแก้แค้นตระกูลฉีเป็นแน่

ฉีหรูเสวี่ยไม่ใช่ผู้หญิงที่มีดีแต่ความสวย เธอมีสมองอันชาญฉลาด เธอต้องการพยายามให้ได้มาซึ่งความสุขของตนเอง ขอเพียงแค่มีโอกาสจะต้องพยายามแน่ เธอคิดแล้วว่า หากไม่สามารถเป็นจริงได้ ก็จะแต่งให้กับตระกูลฉิน แต่เธอจะไม่ยอมให้สวะอย่างฉินเหิงแตะต้องตนเองโดยเด็ดขาด ต่อให้เธอต้องตายก็ตาม!

“หน้าด้าน!” ฉีหรูเสวี่ยตอบฉินเหิงกลับไปเพียงสองคำนี้เท่านั้น รู้สึกหยามเหยียดฉินเหิงจากใจ

“เฮอะ หน้าด้าน? ฉันจะทำให้เธอรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าหน้าด้าน เธอหมั้นกับเย่เทียนเฉินมาก่อน ไม่ว่าจะยังไงก็นับว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวของเขา ถ้าหากเธอขึ้นเตียงกับฉัน เขาจะรู้สึกว่าถูกสวมเขารึเปล่า? ถ้าหากฉันอัดคลิปที่เราสองคนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันส่งให้เขา เขาจะดูอย่างพออกพอใจรึเปล่า?” ฉินเหิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอัปลักษณ์

“บ้าไปแล้ว แกมันบ้าไปแล้ว!” ฉีหรูเสวี่ยโกรธจนอยากจะตบหน้าฉินเหิงสักหลายที

“ฉันบ้าไปแล้ว ส่วนเธอสองคนเป็นพวกไม่รู้จักกลัวตาย เมืองหลวงไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับฉันฉินเหิง ฉันหมั้นกับเธอ เธอกลับมาดูถูกฉัน? ไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินถึงกับกล้ามาอัดฉัน? วันนี้ฉันจะตอบแทนมันอย่างสาสม!”

ฉินเหิงชี้ไปที่ใบหน้าของตน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนรูปร่างไปแล้วโดยสิ้นเชิง กระดูกทุกท่อนภายในล้วนถูกเย่เทียนเฉินกระทืบจนแตกหัก ยังดีที่ไม่กระทืบจนมันสมองระเบิดออกมา มิฉะนั้นเขาคงตายไปแล้ว ทั่วทั้งใบหน้าพันด้วยผ้าพันแผล มีเพียงดวงตาที่ปรากฏออกมาราวกับมัมมี่ ฉีหรูเสวี่ยเห็นก็รู้สึกสะอิดสะเอียน

“แก ตกลงแกต้องการอะไรกันแน่?”

“ต้องการอะไร? ฉันต้องการแก้แค้นเย่เทียนเฉิน ฉันต้องการฆ่ามัน ฉันต้องการให้มันรู้ว่าฉันฉินเหิงไม่อาจล่วงเกินได้ ฉันต้องการให้มันรู้ว่า ผู้หญิงของมันกำลังถูกฉันจัดการ ฉันต้องการให้มันรู้สึกว่ารสชาติของการถูกสวมเขามันเป็นยังไง…”

เพียะ!

เสียงตบหน้าดังขึ้น ฉีหรูเสวี่ยตบหน้าฉินเหิงอย่างแรง กับคนที่ไร้สามัญสำนึก ไร้การอบรมสั่งสอน และไร้ซึ่งกริยาอันดีงาม จนมิอาจเรียกว่าเป็นผู้ชายได้นี้ ฉีหรูเสวี่ยไม่อยากจะเสวนาด้วย ตบหน้าไปทีหนึ่งก็พอแล้ว

“ดี ดี ตบได้ตี ตบได้ดี เย่เทียนเฉินกล้าอัดฉัน แกก็กล้าตบฉัน จะช้าจะเร็วฉันก็จะทำให้ชายหญิงชาติหมาอย่างพวกแกรู้ถึงความร้ายกาจของฉันฉินเหิง!” ฉินเหิงหัวเราะอย่างโกรธแค้น สองตาอันแดงก่ำราวเลือดจ้องไปยังฉีหรูเสวี่ยแล้วตะโกนขึ้น

ฉีหรูเสวี่ยขี้เกียจจะสนใจคนพรรค์นี้จึงหันหน้าไปอีกฝั่งมองไปนอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกโศกเศร้า ตนเองจะต้องแต่งให้กับตระกูลฉินจริงๆ หรือ? จะไม่มีโอกาสให้ไขว่คว้าความสุขของตนเองสักนิดเลยหรือ?

ตอนนี้ ฉีหรูเสวี่ยอดคิดถึงเย่เทียนเฉินไม่ได้ คนคนนี้แม้จะน่ารังเกียจ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าคนบ้าคลั่งอย่างฉินเหิงคนนี้มาก คิดถึงช่วงเวลาที่ตนเองอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ แม้จะทะเลาะกับเย่เทียนเฉินบ่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นตนที่ไปกวนประสาทเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเอะอะโวยวายว่าจะแก้แค้นตนเอง แต่ก็ไม่ได้ลงมือจริงจังอะไร อีกทั้งตอนที่ไปประเทศMก็ยังแปะโน๊ตไว้ให้แผ่นหนึ่งด้วย เมื่อคิดว่าเย่เทียนเฉินเอะอะโวยวายใหญ่โตแต่ไม่ได้ทำอะไรจริงจัง นับว่าเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ

ฉินเหิงบ้าไปแล้วโดยสิ้นเชิง หลังจากที่ความทะนงตนอันเปราะบางของเขาถูกเย่เทียนเฉินทำลายไปก็ยิ่งทวีความบ้าคลั่งจนกลายเป็นคนวิปริตโดยสมบูรณ์ ในใจรับไม่ได้เรื่องที่มีคนกล้าทำร้ายคุณชายตระกูลฉินอย่างเขา

แต่ไหนแต่ไร ตัวเขาฉินเหิงก็ยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในเมืองหลวงมาตลอด ต่อให้ตระกูลฉินไม่ได้เป็นสามตระกูลใหญ่แห่งประเทศจีน แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา รวมทั้งเขาเคยกระทำความผิดฐานข่มขืนในเมืองหลวง ก็เพียงไปนั่งในคุกอยู่ไม่กี่ปีก็ได้ออกมาเป็นคุณชายตระกูลฉินที่ยโสโองหังต่อไปได้ แล้วจะยังมีใครกล้ามาทำอะไรเขาอีกล่ะ?

ไหนเลยจะรู้ว่าจะต้องมาพบกับเย่เทียนเฉิน ตนนำคนไปยังบ้านตระกูลเย่โดยไม่แยแสสิ่งใด เพื่อต้องการไปสั่งสอนอีกฝ่ายถึงประตูบ้าน ให้เขาได้รับความอัปยศอดสู แต่คาดไม่ถึงว่าตนจะถูกเย่เทียนเฉินหยุดไว้ที่เป้ยเฟิงเซวียนแล้วอัดคุณชายตระกูลฉีผู้นี้จนหน้าทิ่มดิน อัดจนหน้าตาไม่เหลือเค้าเดิม ขายตาต่อหน้าประชาชี กระทั่งฉินเทาหยวนพ่อของตนก็ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้า สำหรับตระกูลฉินแล้วนี่เป็นความอัปยศที่ไม่อาจทนรับได้

ถ้าไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสฉินอี้สั่งเอาไว้อย่างเด็ดขาดว่า ไม่อนุญาตให้บุ่มบ่ามไปสร้างความวุ่นวายให้กับเย่เทียนเฉิน ด้วยนิสัยโอหังและกำเริบเสิบสานของฉินเหิง คงว่าจ้างนักฆ่าไปฆ่าเย่เทียนเฉินทั้งครอบครัวแล้ว แม้ว่าจะไม่กล้าลงมือ แต่กลับทำให้ฉินเหิงคิดถึงวิธีที่จะแก้แค้นเย่เทียนเฉินวิธีนี้ขึ้นมาได้ จิตใจของเขาวิปริตไปแล้วโดยสิ้นเชิง

“คืนนี้ฉันจะทำให้แกอยู่ไม่สู้ตาย จะทำให้เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงร้องครวญครางของแก” ฉินเหิงยิ้มอย่างอัปลักษณ์ มองฉีหรูเสวี่ยแล้วเอ่ยขึ้น

“ฉันไม่ยอมให้แกทำเรื่องชั่วๆ ได้แน่ ต่อให้ตายก็ไม่ยอม!” ฉีหรูเสวี่ยเอ่ยอย่างแข็งกร้าว

ไม่นานรถที่ฉินเหิงและฉีหรูเสวี่ยนั่งก็มาถึงประตูคฤหาสน์ตระกูลฉิน ข้างหลังตามมาด้วยรถสีดำสิบกว่าคัน คนที่ลงมาจากบนรถล้วนแต่เป็นบอดี้การ์ดของตระกูลฉินทั้งหมด ตั้งแต่ที่ฉินเหิงถูกเย่เทียนเฉินทำร้าย ข้างกายเขาก็มีบอดี้การ์ดฝีมือดีมากยิ่งขึ้น หากมีไม่มากพอ เขาก็จะยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย

ฉีหรูเสวี่ยหมั้นกับฉินเหิง คนตระกูลฉีเองก็มากันเยอะ รวมไปถึงฉีหรูไห่ซึ่งเป็นผู้อาวุโสตระกูลฉี ฉีชางเซิ่งพ่อของฉีหรูเสวี่ย และฉีย่ากวงพี่ชายของเธอ ทุกคนมาถึงกันนานแล้ว ตอนนี้กำลังพูดคุยกับเหล่าบุคคลสำคัญอย่างยินดี พวกเขาลืมไปแล้ว ลืมฉีหรูเสวี่ยที่กำลังร้องไห้และเจ็บปวดใจไปแล้ว เอาแต่ดีใจไม่หยุดกับการที่อำนาจอิทธพลของตระกูลฉีสามารถยกระดับขึ้นไปได้อีกขั้น

“สวัสดีครับทุกท่าน ขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่า มาร่วมพิธีหมั้นหมายระหว่างคุณชายฉินเหิงและคุณหนูฉีหรูเสวี่ย ตอนนี้ผมขอเป็นตัวแทนตระกูลฉินกล่าวอวยพร ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จและสมปราถนาทุกประการ!”

แม้ว่าคำพูดของพิธีกรจะล้าสมัย แต่ก็ยังคงใช้ได้ดี เดิมทีคนเหล่านี้ที่มาร่วมพิธีหมั้นหมายของฉินเหิงและฉีหรูเสวี่ยในครั้งนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่มาเพื่อดูพิธีหมั้น กล่าวให้ชัดเจนก็คือ มาเพราะปัจจัยสองอย่าง หนึ่ง ถ้าไม่มาก็แสดงว่าล่วงเกินตระกูลฉิน จึงไม่มาไม่มา สอง คนที่มาส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาทั้งในและต่างประเทศ ถ้ามาก็ได้ทำความรู้จักคนในแวดวงสังคม มีประโยชน์และคุ้มค่าเป็นอย่างมาก

“ลำดับต่อไปพวกเราขอเชิญผู้อาวุโสตระกูลฉิน ท่านฉินอี้ มากล่าวปราศรัย ทุกท่านโปรดต้อนรับ!”

หลังจากเสียงปรบมือดั่งกระหึ่มหยุดลง ฉินอี้เดินขึ้นมาบนเวที หยิบไมโครโฟนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมพิธีหมั้นของฉินเหิงหลานชายของผม ขอบคุณทุกท่านสำหรับการสนับสนุนตระกูลฉิน หากมีส่วนไหนที่รับรองได้ไม่ดีก็ขออภัยด้วยนะครับ!”

ฉินอี้กล่าวปราศรัยง่ายๆ ไม่กี่ประโยค เขาเป็นหัวหน้าตระกูลฉิน มีตำแหน่งที่สำคัญในประเทศ กล่าวได้ว่าที่คนเหล่านี้มาก็เพราะเห็นแก่หน้าเขา อาศัยแค่ฉินเทาหยวนและฉินเหิง ต่อให้เป็นงานแต่งงานก็เกรงว่าจะเชิญคนพวกนี้มาไม่ได้

“ผมขอประกาศว่า พิธีหมั้นของคุณฉินเหิงและคุณฉีหรูเสวี่ย เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!” พิธีกรพูดเสียงดัง

ทุกคนต่างนั่งอยู่บนที่นั่งด้านล่าง มองฉินเหิงและฉีหรูเสวี่ยเดินขึ้นเวที ฉีหรูเสวี่ยสวมชุดเจ้าสาวอันงดงาม ทั้งยังไร้การแต่งแต้มใดๆ แต่ก็ไม่อาจซ่อนเอกลักษณ์อันงดงามตรึงใจผู้คนได้ หลายคนเห็นก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง และมีหลายคนที่แอบรู้สึกเสียดาย สาวงามเลิศล้ำคนหนึ่ง ต้องมาหมั้นกับเศษสวะอย่างฉินเหิง สวรรค์ช่างไม่มีตาเลยจริงๆ

กระทั่งมีหลายคนคิดว่า หากฉีหรูเสวี่ยหมั้นกับเย่เทียนเฉินคงจะดีกว่ารึเปล่า? ดีกว่าต้องแต่งให้เศษสวะอย่างฉินเหิงเสียอีก!

“ตอนนี้ผมจะขอถามตามพิธีหน่อยนะครับ คุณฉินเหิง คุณเต็มใจที่จะแต่งคุณฉีหรูเสวี่ยเป็นภรรยาหรือไม่?” พิธีกรถามยิ้มๆ

“ผมเต็มใจ!” ฉินเหิงยิ้มเย็นชา มองไปยังฉีหรูเสวี่ยแล้วเอ่ยตอบ

“เช่นนั้นคุณฉีหรูเสวี่ย คุณเต็มใจที่จะแต่งให้กับคุณฉินเหิงหรือไม่?” พิธีกรถามต่อไปด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เต็มใจ!” ฉีหรูเสวี่ยเอ่ยอย่างเย็นชา

พิธีกรพลันชะงักค้างทำตัวไม่ถูก ส่วนเหล่าแขกรับเชิญที่มาก็ส่งเสียงฮือฮา เดิมทีนี่เป็นพิธีหมั้นหมาย ไม่ควรจะถามเหมือนพิธีแต่งงาน แต่พิธีกรถามเช่นนี้ ก็เพราะอยากจะบอกทุกคนว่า เรื่องของฉินเหิงและฉีหรูเสวี่ยถูกกำหนดเป็นที่แน่นอนแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าฉีหรูเสวี่ยจะพูดสามคำนี้ออกมา

“เอ่อ ฮ่ะๆ ทั้งสองอย่าได้แกล้งกันเลยครับ จะต้องแกล้งกันแน่ๆ โบราณกล่าวไว้ว่า สามีภรรยาทะเลาะกันคืนดีกันได้อย่างรวดเร็ว เรื่องระหว่างสามีภรรยา ไม่อาจหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันได้ อีกสักครู่เข้าห้องหอก็ดีกันแล้ว!” พิธีกรรีบพูดให้จบลงด้วยดี

ฉีหรูเสวี่ยหันหน้าไปด้านหนึ่ง มองแขกรับเชิญด้านล่าง ในสายตาของเธอมีความคาดหวังอย่างหนึ่ง เป็นเพราะเธอได้ข่าวว่าเย่เทียนเฉินกลับมาแล้ว และไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยถึงอยากเจอเจ้าคนบ้านี่นัก อยากเจอมากๆ อยากเจอสุดๆ แบบนั้นเลย ราวกับว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเธอ

“เฮอะ ไม่ต้องมองไปข้างล่างแล้ว เธอคิดว่าเย่เทียนเฉินกล้ามารึไง? ต่อให้มา ฉันก็รับประกันได้เลยว่า มันจะเดินออกไปจากตระกูลฉินของฉันไม่ได้ จะต้องตายอย่างอนาถ!” ฉินเหิงกระซิบกับฉีหรูเสวี่ยอย่างโหดเหี้ยม

…………………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด