นี่ข้าเป็นเพียงตัวประกอบงั้นรึ – ตอนที่ 12 เมืองอี้เจิ้ง

อ่านนิยายจีนเรื่อง นี่ข้าเป็นเพียงตัวประกอบงั้นรึ ตอนที่ 12 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 12

เมืองอี้เจิ้ง

ดวงอาทิตย์ยามเช้าเริ่มปรากฏขึ้นมาบนท้องนภา แสงอาทิตย์บนท้องนภาเริ่มเปล่งประกายทอแสงสีส้มทอง ความมืดมิดยามราตรีถูกปัดเป่าออกไปพร้อมกับความหนาวเย็นยามราตรี

หนึ่งบุรุษที่สวมใส่อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มนั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ ลู่หานรอดพ้นหนึ่งราตรีของป่าราตรีมรณะแห่งนี้มาได้สำเร็จ

แผ่นหลังที่แนบพิงชิดติดเข้าไปกับลำต้นขนาดใหญ่ของต้นไม้โดยบนไหล่ของลู่หานมีอินทรีย์ตัวหนึ่งที่มีรูปร่างงดงามเกาะอยู่บนหัวไหล่

มันคืออินทรีย์เพลิงฟ้าสัตว์อสูรระดับ ราชันย์อสูร ที่ลู่หานพบเจอเมื่อราตรีก่อนหน้านี้โดยบังเอิญ

อินทรีย์เพลิงฟ้ายามทั่วไปแล้วมันก็มีรูปร่างเหมือนกับอินทรีย์ทั่วไปแต่เมื่อมันเข้าสู่การต่อสู้ร่างของมันจะมีเปลวเพลิงสีฟ้าออกมาปกคลุมทั้วทั้งร่างกายเพียงเท่านั้น

มือขวาของลู่หานยังคงถือดวงแก้วเปลวเพลิงเอาไว้เช่นเดิม ราตรีที่ผ่านมาจะเรียกว่าเขานั้นรอดมาได้เพราะว่าดวงแก้วเปลวเพลิงและอินทรีย์เพลิงฟ้าตัวนี้ก็ไม่ผิด

หลังจากที่เข้าปะทะกับแมงมุมเหล็กยี่สิบขาและสังหารมันได้สำเร็จ ลู่หานก็พบเจอกับอสูรวิญญาณอีกหลายตัวภายในป่าราตรีมรณะแต่ก็ได้ดวงแก้วเปลวเพลิงและอินทรีย์เพลิงฟ้าที่เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เขานั้นรอดมาได้ถึงตอนนี้

แต่ราตรีที่ผ่านมามันก็เหมือนกับลู่หานนั้นเสียแรงเปล่ากับการลงแรงต่อสู้กับอสูรวิญญาณจริงๆ เขานั้นไม่พบเจอกระทั่งสมุนไพรวิญญาณเลยสักชนิดทั้งที่จริงภายในป่าราตรีมรณะแห่งนี้มันควรจะมีสมุนไพรอยู่มากมายแท้ๆ เมื่อเห็นความผิดปกติเลยลองถามเจ้าอินทรีย์เพลิงฟ้าด้วยให้สงสัยว่าเจ้านี้มันจะกินพวกสมุนไพรพวกนั้นไปหมดแล้วและมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

อาหารของเจ้าอินทรีย์ตัวนี้มันคือพลังบ่มเพาะยิ่งเป็นพลังบ่มเพาะที่กำเนิดมาจากพืชพันธุ์วิญญาณแล้วยิ่งเป็นของที่มันชื่นชอบ

การที่ลู่หานออกเดินไปทั่วทั้งป่าราตรีมรณะก็เพื่อที่ว่าเขานั้นจะเก็บรวบรวมเมล็ดพืชสมุนไพรหายากกลับไปสักอย่างสองอย่างแท้ๆแต่ทุกอย่างมันก็ลงไปอยู่ในท้องของเจ้านี้หมดแล้ว

และเมื่อมามองดูพวกซากศพของสัตว์อสูรที่ให้ดวงแก้วเปลวเพลิงกำจัดมันแล้วมันยิ่งเพิ่มความหนักใจให้กับลู่หานยิ่งนัก เมื่อไม่ได้เมล็ดพืชพันธุ์ลู่หานก็หวังว่าตนเองจะได้รับของดีจากซากศพของพวกสัตว์อสูรกลับไปบ้างแต่ว่าด้วยผลของศาสตราวิญญาณระดับเทวะอนุภาพของการโจมตีมันรุนแรงเกินไปจนทำให้ร่างกายสัตว์อสูรเสียหายไปจนหมด

ตอนนี้สิ่งที่ลู่หานนั้นทำได้ก็คือการมานั่งรำพึงรำพันกับความเหนื่อยล้าโดยใช้เหตุผลการผิดพลาดของตนเองที่เกิดขึ้นมาเพราะปัจจัยหลายๆอย่าง

แต่มันก็มีสองเรื่องที่ลู่หานถึงว่ายังพอเป็นประโยชน์กับตนเอง หนึ่งคือการที่เขานั้นได้รับเจ้าอินทรีย์เพลิงฟ้ามาเป็นสัตว์เลี้ยงและได้ทำให้ร่างกายคุ้นชินกับการต่อสู้ภายในเรื่องนี้ ตั้งแต่หลุดเข้ามาภายในนิยายเรื่องนี้นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้ในฐานะผู้ฝึกตน

ในขณะที่ลู่หานกำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แสงแดดอ่อนๆในยามเช้าก็สาดส่องเข้ามากระทบเข้าที่ใบหน้าของลู่หานที่กำลังเหนื่อยล้า พร้อมกับเสียงท้องของเขาที่ร้องคำรามออกมาเป็นเสียงดังลั่นพาให้ลู่หานยกมือข้างซ้ายของตนเองขึ้นมาสัมผัสเข้าไปที่ท้องน้อยๆของเขากำลังหิวโหย

“ หิวจังเลยแรงก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว… ” เขาพึมพำออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา

ทว่า..อยู่ๆกลิ่นหอมของอันใดบางอย่างได้ล่องลอยมาเตะเข้าที่จมูกของลู่หานที่กำลังหิวโหย ดวงตาทั้งสองข้างหันมองไปทิศทางที่กลิ่นหอมนั้นล่องลอยมาทันที

“ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรอดด้วยเก่งมากเจ้าแปด ” เสียงของผู้เป็นอาจารย์ดังขึ้นมาในจังหวะที่ดวงตาทั้งสองข้างของลู่หานจะหันไปมองที่ต้นตอของกลิ่นหอมนั้น

เมื่อหันไปมองก็พบเห็นเข้ากับร่างของชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนของอีกากำลังยืนกินซาลาเปาด้วยท่าทางเพลิดเพลินใจ หนึ่งมือยกซาลาเปาลูกใหญ่ในมือขึ้นมาและใช้อีกหนึ่งปากกัดกินมันอย่างเอร็ดอร่อย

“ อาจารย์… ” ลู่หานร้องเรียกอย่างแผ่วเบา

“ เอ้ารับไป!!! ” หวังเซียนฉิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับโยนซาลาเปาอีกหนึ่งลูกที่อยู่อีกมือหนึ่งไปให้กับศิษย์ของตนเองที่กำลังหมดแรง

ลู่หานที่เห็นว่าอาหารกำลังลอยมาหาตนเองสัญชาตญาณของร่างกายมันตอบสนองอย่างรวดเร็ว มือข้างซ้ายยกขึ้นมารับซาลาเปาลูกนั้นเอาไว้ภายในมือพร้อมกับนำมันเข้าปากทันที

เมื่อได้มีอาหารลงท้องเรี่ยวแรงของลู่หานก็กลับมาหลายส่วนพร้อมที่จะสนทนากับผู้เป็นอาจารย์ได้แล้ว

ชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำสนิทประหนึ่งอีกาย่างกายเข้ามาใกล้ๆร่างของเจ้าแปดแล้วนั่งลงข้างกายของศิษย์ที่เพิ่งจะผ่านบททอดสอบมาได้

ลู่หานไม่รีรอที่จะส่งคืนของที่อยู่ภายในมือของตนเองกลับไปให้กับผู้เป็นอาจารย์

“ นี่ขอรับท่านอาจารย์.. ”

หวังเซียนฉิงหนึ่งมือกับยกซาลาเปาขึ้นมากินพร้อมกับอีกหนึ่งมือที่รับศาสตราเทวะของตนเองกลับมา ครั้งนี้หวังเซียนฉิงไม่ต้องใช้มือโบกสะบัดเพื่อเปิดค่ายกลมิติแล้ว เพราะอยู่ๆค่ายกลมิติมันก็เปิดขึ้นมาเองแล้วเขาก็เก็บดวงแก้วเปลวเพลิงของตนเองเข้าไปด้านใน

“ เป็นเช่นไรบ้างเจ้าแปดดูเหมือนว่าเจ้าจะได้ของดีมาเลยนะ ” หวังเซียนฉิงปรายตาไปมองอสูรวิญญาณอินทรีย์เพลิงฟ้าที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ของลู่หาน

เจ้าอินทรีย์เพลิงฟ้ายังยืนอยู่บนไหล่ของนายมันด้วยท่าทางยิ่งยโสไม่รู้เลยว่าผู้ที่กำลังจับจ้องมันอยู่เป็นผู้ที่สูงส่งเพียงใด

ลู่หานเองก็รู้ดีว่าเจ้าอินทรีย์เพลิงฟ้าที่เขาได้มันมาติดตามมันอสูรวิญญาณที่เยี่ยมยอดหนึ่งตัวที่เหมาะกับการนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง แม้ว่าเจ้าอินทรีย์เพลิงฟ้าจะไม่ใช่สัตว์อสูรที่มีพลังโจมตีสูงล้ำแต่มันก็มีความสามารถหลายๆอย่างที่เป็นประโยชน์อย่างเช่นการที่มันสามารถส่งผ่านพลังมาให้เขาเพื่อเพิ่มบ่มเพาะที่ลดถอยไป

กระนั้นการที่จะได้รับมันมาเป็นสัตว์เลี้ยงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าอย่างไรเสียมันก็เป็นสัตว์อสูรระดับราชันย์อสูร นิสัยของมันจะไม่มีทางติดตามผู้ที่มันไม่ยอมรับ การที่เขานั้นได้มันมาเป็นสัตว์เลี้ยงถือว่าโชคดีระดับนึงเลย

“ เอาละเจ้าแปดข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวเล่นต่อ ”

เสียงของผู้เป็นอาจารย์ดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อลู่หานหันไปมองหวังเซียนฉิงก็ลุกขึ้นจากท่านั่งแล้ว บุรุษที่สวมใส่อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มก็ทำได้แต่เพียงการลุกขึ้นจากท่านั่งของตนเองตามไป

ชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำสนิทประหนึ่งขนของอีกาไม่รีรอที่จะใช้มือของตนเองคว้าจับไปที่คอเสื้อของลู่หานแล้วพาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง เจ้าอินทรีย์เพลิงฟ้าที่กำลังเกาะอยู่ที่หัวไหล่ของลู่หานมันได้เปล่งเพลิงสีฟ้าออกมาปกคลุมทั่วทั้งร่างกายแล้วพาร่างของมันซ่อนเร้นเข้าไปภายในร่างกายของผู้เป็นนาย

หวังเซียนฉิงพาร่างของศิษย์พุ่งทะยานไปบนท้องนภาอย่างรวดเร็วเป็นเวลาหลายชั่วยาม ช่วงบ่ายของวันลู่หานที่ถูกหิ้วลอยไปตามสายลมก็ถูกปล่อยลงมาที่พื้น

ตู้บ!!! ร่างของบุรุษวัยเลขสองที่มีใบหน้าหล่อเหลาถูกปล่อยลงที่พื้นอีกครั้ง ครั้งนี้ลู่หานนั้นไม่รู้สึกมึนศีรษะเหมือนกลับครั้งแรกแล้ว เมื่อผู้เป็นอาจารย์ปล่อยร่างของเขาลงพื้นลู่หานก็ลุกขึ้นมาทันที หลังจากที่ตั้งสติได้ก็เริ่มกวาดสายตามองทัศนียภาพรอบกายของตนเองก็พบว่าที่แห่งนี้มันคือกลางถนนแห่งหนึ่งที่เส้นทางด้านหน้าจะมุ่งตรงเข้าไปภายในเมืองขนาดใหญ่

เมืองใหญ่ตั้งตระหง่าเบื้องหน้าของลู่หาน กำแพงหินสูงใหญ่ล้อมรอบเมืองเอาไว้อย่างแน่นหนาพร้อมกับเบื้องหน้าประตูทางเข้าที่มีด่านตรวจตาคนเข้าเมืองที่มีเหล่าทหารกำลังทำงานก็อย่างเคร่งครัด

ร่างของมหาจอมปราชญ์แห่งยุดลงมาจากฟากฟ้าแล้วลงมายืนอยู่ข้างกายของลู่หาน หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์กำลังหันหน้ามองตรงไปที่เมืองขนาดใหญ่เบื้องหน้า

“ ที่แห่งนี้มันคือที่ใดกันงั้นรึขอรับท่านอาจารย์ ” ลู่หานหันไปถามผู้เป็นอาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างกาย

“ เมืองอี้เจิ้ง ”

“ เมืองอี้เจิ้งงั้นรึขอรับ ”

“ ใช่!!! ”

สถานที่แห่งนี้มันคือเมืองอี้เจิ้งลู่หานมองเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าของตนเองพลางนึกคิดอันใดบางอย่าง เมืองอี้เจิ้งแห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ภายในนิยายที่ถือว่ามีบทบาทมากระดับนึงเพราะว่าเมืองแห่งนี้มันเปรียบเสมือนกับเมืองหลวงของดินแดนเยี่ย สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของตระกูลเยี่ยผู้ปกครองหนึ่งในเก้าดินแดน

“ เข้าไปกันเถอะเจ้าแปด ”

ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยออกมาพร้อมกับเดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่รีรอศิษย์ของตนเองที่ยังคงยืนงุนงงอยู่ด้านหลังเลยสักนิด เมื่อลู่หานรู้ตัวอีกทีท่านอาจารย์ของเขานั้นก็เดินนำหน้าไปไกลแล้วเขาก็ทำได้แต่วิ่งตามไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น

ทั้งสองเดินผ่านเข้าไปภายในเมืองอี้เจิ้งได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีทหารยามผู้ใดเลยที่สังเกตุเห็นว่าชายชราผู้นี้คือมหาจอมปราชญ์แห่งยุคผู้ที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า

เมืองอี้เจิ้งถูกบรรยายเอาไว้ว่ามันนั้นมีถนนเส้นหลักเชื่อมต่อกันอยู่เก้าเส้นและมีถนนเส้นเล็กแยกออกไปอีกประมาณเกือบหนึ่งร้อยเส้นมันเลยเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่มากเมืองหนึ่ง สถานที่แห่งนี้คือเมืองเกิดของตัวเอกของนิยายเรื่องนี้

ลู่หานที่ได้เข้ามาชมทัศนีย์ภาพของเมืองแห่งนี้ด้วยตาของตนเองนั้นก็เขาในฐานะของแฟนนิยายเรื่องนี้ก็เป็นสุขใจยิ่งนัก นักเขียนของเรื่องนี้ได้บรรยายเกี่ยวกับเมืองอี้เจิ้งเอาไว้ตระการตามากเมื่อมาพบเห็นมันก็ไม่ผิดเลย

สองเท้าเดินตามหลังของผู้เป็นอาจารย์ไปพร้อมกับสองตาที่กวาดมองทัศนียภาพพายในมือไปด้วยสายตาของลู่หานเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ตนเองได้มาพบเห็น

กระทั่งเมื่อร่างของผู้เป็นอาจารย์เบื้องหน้าได้หยุดลงพาให้ลู่หานที่เดินตามหลังอยู่ชนเข้ากับร่างของผู้เป็นอาจารย์ แทนที่ร่างของหวังเซียนฉิงที่แก่ชรากว่าจะล้มแต่กลับที่ลู่หานเองที่หงายหลังล้มไปกับพื้น ความรู้สึกของลู่หานราวกับเขานั้นเดินขนเข้ากับภูเขาขนาดใหญ่

ตู้บ!!! ก้นของลู่หานล้มลงไปกระแทกกับพื้นเป็นครั้งที่สองของวัน

“ โอ๊ยๆๆ ” ลู่หานเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างแผ่วเบา

บัดนี้ลู่หานไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าของผู้เป็นอาจารย์ของเขานั้นกำลังฉีกยิ้มอันเจ้าเล่ห์ออกมา

หวังเซียนฉิงได้หันมากล่าวกับศิษย์ของตนเองที่ล้มอยู่ด้านหลัง “ เอาละเจ้าแปด!!! ถึงเวลาของเจ้าแล้ว ”

ลู่หานที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตั้งคำถามภายในใจของตนเองก่อนที่จะเริ่มมองไปเบื้องหน้าเพียงได้มองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเขาตนเองเพียงเท่านั้นดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้นด้วยตื่นตระหนกอีกครั้ง

“ นี่มัน!!! ”

จบตอน

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด