การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 43

อ่านนิยายจีนเรื่อง การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] ตอนที่ 43 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

LS ตอนที่ ๔๓

 

ได้ยินสิ่งที่เถ้าแก่พูดแล้ว ทุกคนก็ตกตะลึงไป นี่ยังไม่ใช่ไก่แสนอร่อยที่เป็นอาหารชั้นเลิศขึ้นชื่ออีกหรือ?

 

ล้อเล่นหรือเปล่า?

 

เถ้าแก่ยังคงเอ่ยต่อ “ไก่ขอทานของจริงมีกฎของเวลาและอุณหภูมิที่ใช้อย่างเคร่งครัด มีเพียงตอนที่คุณหนูแห่งตระกูลซูซึ่งเป็นเจ้าของภัตตาคารนี้ ใช้เวลาในการปรุงอันยาวนานด้วยตัวเองเท่านั้น ไก่ขอทานของจริงถึงจะถูกปรุงขึ้น แต่โชคไม่ดีที่คุณหนูตระกูลซูยังเด็กนัก นางจะทำมันด้วยตัวเองได้อย่างไร? ดังนั้นคุณหนูจึงแก้ปัญหาด้วยการลดกระบวนการทำลงและเพิ่มปริมาณการทำ ผลที่ได้ก็คือทุกคนเพิ่งจะได้ชิมไก่ขอทานที่มีรสชาติด้อยกว่าต้นฉบับไปนั่นเอง”

 

“กลายเป็นว่าคุณหนูตระกูลซูคืออัจฉริยะ” ท่านโจวน้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน “ช่างเป็นมืออาชีพนัก! ข้าหวังว่าจะได้เจอนางสักวัน”

 

“ดังนั้นแล้ว…”

 

เถ้าแก่ชี้ไปที่ป้ายที่วางข้าง ๆ “ราคาของไก่ขอทานของแท้ที่ห้าสิบชั่งไม่ได้สูงเลย ภัตตาคารของเรารับจองล่วงหน้าในทุกเดือน โดยแต่ละเดือนจะทำเพียงสามจานเท่านั้น ไก่ขอทานที่ให้พวกท่านทานในวันนี้จึงมีไม่จำกัดและขายในราคาต่ำเพียงสิบชั่ง”

 

ทุกคนรู้สึกว่านี่เป็นราคาที่ถูกมาก แขกชนชั้นกลางที่ไม่อาจไขว่คว้ามันได้ก็จะสั่งอาหารจานอื่นเพื่อประทังความอยากไป

 

พ่อครัวในห้องครัวยังคงทำไก่ขอทานตลอดทั้งวัน แต่มันก็มีแค่สามรอบเท่านั้น ซึ่งมันเป็นเวลาดึกมากแล้วหลังจากการทำอาหารรอบที่สามเสร็จสิ้น แขกเหรื่อทั้งหลายเพิ่งเดินออกไปหลังจากเวลาภัตตาคารปิด

 

“นายท่าน ดูสิขอรับ! กำไรของร้านอาหารในวันแรกออกมาแล้ว”

 

ในเรือนหลักของบ้านตระกูลซู พ่อบ้านชรารีบรุดเข้ามาในห้องหนังสือและถือสมุดเล่มเล็กไว้ ซูฮ่วนหลี่พลันคว้ามันมาดู

 

“เราทำกำไรได้ถึงแปดร้อยชั่งในวันแรกเชียว! รวมค่าต้นทุนวัตถุดิบแล้ว กำไรสุทธิมีมากกว่าห้าร้อยชั่ง ทำเงินมากกว่าร้านผ้าไหมเสียอีก”

 

ซูฮ่วนหลี่ตื่นเต้นเสียจนมือสั่นระริก นี่คือกำไรของภัตตาคารในวันเดียว ร้อยละสี่สิบของกำไรหมายถึงเงินที่มากกว่าสองร้อยชั่ง เป็นจำนวนเงินบริสุทธิ์หกพันชั่งในหนึ่งเดือน!

 

“นายท่าน แผนธุรกิจของท่านช่างยอดเยี่ยมนักขอรับ ขั้นแรกตั้งราคาไว้ที่ห้าสิบชั่งเพื่อให้แขกคาดเดากัน จากนั้นก็ทำให้พวกเขาเสพติดด้วยการเสนอว่าให้ทานโดยไม่คิดเงิน และในที่สุดก็ลดราคาลง ผลก็คือไม่มีใครสามารถทนได้ แม่แต่ครอบครัวชนชั้นกลางยังต้องจ่ายเงินให้มันเลยขอรับ”

 

ซูฮ่วนหลี่รู้สึกอับอายกับสิ่งที่พ่อบ้านพูด ความจริงแล้วเขาได้ยินแผนนี้มาจากเอ้อร์หยา ตอนแรกเขาคิดว่าแผนการนี้ไม่เข้าท่า เขาจะทำอย่างไรหากลูกค้าหวาดกลัวกับราคาห้าสิบชั่งกันเล่า?

 

แต่เขาก็รู้ว่าต่อให้เอ้อร์หยาทำอาหารตลอดทั้งวัน เขาก็ไม่อาจสนองความอยากอาหารของทุกคนได้ ในเมื่อเขาคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออกแล้วเขาก็ต้องทำตามแผนนี้

 

โดยไม่คาดคิด แผนการกลับออกมายอดเยี่ยมนัก ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้ปรับราคาของไก่ขอทานแต่ยังโฆษณาได้ว่าอาหารที่บุตรสาวเป็นผู้ทำเป็นสมบัติที่แขกเหรื่อทั้งหลายแย่งจองกันให้วุ่น

 

เอ้อร์หยาช่างมีพรสวรรค์ด้านธุรกิจนัก หากนางดูแลกิจการตึกไป๋เว่ย ผลกำไรก็คงจะสูงกว่านี้แน่

 

“ในอดีต อาหารจานแนะนำของตึกไป๋เว่ยมีค่าเพียงเงินหนึ่งชั่งเท่านั้น อาหารแนะนำจานปัจจุบันมีค่ามากกว่านั้นสิบเท่า ทว่าบรรดาแขกทั้งหลายกลับรู้สึกว่ามันถูก เป็นงั้นไป…”

 

ซูฮ่วนหลี่ส่ายหน้าและหัวเราะ ปัดความกังวลและหวาดกลัวเมื่อก่อนหน้านี้ออกไปก่อนจะนั่งนิ่งบนเก้าอี้จตุรัสอีกครั้ง สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือเขาต้องดูแลโรงเลี้ยงไก่ให้ดี นั่งอยู่กับบ้านคอยเก็บเงิน ช่างสุขสบายอะไรเช่นนี้?!

***

 

มีคนไม่กี่คนในเมืองต้าซูตอนกลางดึก ฟ่างหยวนเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วในตรอกมืดสลัว เขาหยุดที่หน้าประตูเรือนเก่าหลังหนึ่ง

 

ฟ่างหลิงที่ได้ยินเสียงดันประตูเรือนออกมาและถามเบา ๆ “ท่านพี่หรือเจ้าคะ?”

 

ความระแวดระวังของฟ่างหยวนหายไป เขากล้ำกลืนความเหนื่อยล้าและเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าเองอาหลิง เปิดประตูเถอะ”

 

ประตูเรือนแง้มเปิดในทันที เผยให้เห็นใบหน้าเล็กฉายแววดีใจของฟ่างหลิง

 

“พี่ชาย ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ข้าเป็นห่วงเหลือเกิน! คนในภัตตาคารนั้นรังแกท่านให้อับอายหรือเปล่าเจ้าคะ? พี่สาวข้าบอกข้าว่าคนในเมืองต้าฮั่นช่างเจ้าเล่ห์และร้ายกาจนัก”

 

ฟ่างหยวนหยิบห่อพัสดุเล็ก ๆ และก้าวเข้ามา ฟ่างหลิงยังคุยจ้อไม่หยุดขณะปิดประตู แต่นางก็ไม่กล้ามองพี่ชายตรง ๆ

 

ขณะที่ตะเกียงน้ำมันกำลังลุกไหม้ ใบหน้าของฟ่างหยวนก็ดูนุ่มนวลขึ้นภายใต้แสงตะเกียง เขาปาดคราบน้ำตาที่ยังไม่หายไปจากหางตาของน้องสาวและรู้สึกทุกข์ใจขึ้นมา

 

สาวน้อยคนนี้จะต้องแอบร้องไห้ในระหว่างวันแน่ ๆ

 

“ข้าแค่โดนลมโกรกใส่ ข้าไม่ได้ร้องไห้เจ้าค่ะ” ฟ่างหลิงรีบอธิบาย แต่ในดวงตาของนางยังเปียกชื้น

 

ฟ่างหยวนรีบเปลี่ยนหัวข้อในทันที “เถ้าแก่นิสัยดีมาก เขาไม่เพียงแต่จะขึ้นค่าแรงแต่ยังให้รางวัลพิเศษกับข้าด้วย ฟ่างหลิง เปิดมันออกสิ”

 

หัวข้อใหม่ยึดความสนใจของฟ่างหลิงไว้ได้ นางเปิดห่อของอย่างระมัดระวังและมีท่าทางดีใจในทันทีที่เห็นไก่ขอทานไร้หนังครึ่งตัว

 

“ว้าว นี่มันไก่ขอทานนี่! พี่ชายสุดยอดไปเลย ข้าได้ยินมาว่ามันมีราคาตั้งห้าสิบชั่งแน่ะ! ข้าจะอุ่นมันก่อนนะ แล้วเราค่อยมากินด้วยกันทีหลัง”

 

ฟ่างหยวนพยักหน้าและมองน้องสาวถือไก่ขอทานเดินเข้าครัวไป รอยยิ้มของเขาหุบลงและเขาก็กำหมัดแน่นเสียจนเลือดแทบจะไหลออกมา

 

“อาฟ่าง ไก่ครึ่งตัวนี้ตกลงไปในถังขยะแล้ว วันนี้เจ้าทำงานดีมาก นี่คือรางวัลของเจ้า พยายามทำงานให้ดีต่อไปล่ะตกลงไหม?”

 

ต่อให้เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูง…เขาก็เป็นบุคคลที่มีคุณธรรมและเกียรติศักดิ์ศรี ไม่ใช่ขอทานที่ต้องจัดการกับขยะ!

 

แต่เขาไม่ได้รับค่าแรงเลย ดังนั้นพวกเขา…จึงต้องกินมัน

 

ภายในเรือนใหญ่โอ่อ่าติดกับเรือนหลังเล็ก กลุ่มอันธพาลท้องถิ่นกำลังเล่นไพ่กัน โดยมีเสียงสตรีดังกังวานไม่ขาดสาย

 

“แล้วเด็กนั่นล่ะ?”

 

“ฮ่า ๆ เราขโมยเงินของเขาแล้วพี่ชายกับน้องสาวก็เร่ร่อนไปตามถนน เจ้าให้เรือนเก่าโทรมกับพวกเขาเป็นสินเชื่อ เขารู้สึกซาบซึ้งกับเรื่องนี้มาก!”

 

“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กนั่นจะรวยขนาดนี้ มันมีเงินมากกว่าห้าร้อยชั่งเลยทีเดียว”

 

“ฮ่า ๆๆ ถึงอย่างไรเงินของมันก็เป็นเงินของเราแล้ว”

 

“…”

 

มันเป็นคืนเดือนดับอันมืดมิด จนกระทั่งมองไม่เห็นฝ่ามือที่อยู่ตรงหน้า

 

เมื่อซูเอ้อร์หยาตื่นขึ้นในเช้าของอีกวันหนึ่ง นางก็เห็นคำสั่งจองนับร้อยที่บิดาของนางเป็นผู้ส่งมา จากเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่าทำสามจานต่อเดือน แค่คำสั่งจองวันแรกวันเดียวก็ใช้เวลาไปถึงปีหน้ากว่าจะทำหมดแล้ว

 

ซูเอ้อร์หยาถอนใจ ข่าวเกี่ยวกับไก่ขอทานคงไม่ได้แพร่กระจายไปยังเมืองอื่นในวันเดียวแน่ คำสั่งจองเหล่านี้ทั้งหมดต่างมาจากเมืองต้าซู “กล่าวกันว่าผู้คนในเมืองต้าซูไม่ได้รวย ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริงเสียแล้ว”

 

ซูเอ้อร์หยาเลื่อนคำสั่งจองไว้ข้าง ๆ และทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ ไม่มีสัญญาณว่าจะทำมันเลย

 

ซูฮ่วนหลี่อยู่ในอาการรีบร้อนเมื่อได้รับข่าว เขาหยุดงานทั้งหมดและรีบวิ่งเข้ามาและชะลอลงเพื่อที่จะพูด “เอ้อร์หยา คำสั่งจองพวกนี้กองท่วมเป็นภูเขาแล้ว การเลือกที่จะไม่ทำเงินไม่ใช่เรื่องสมเหตุผลเลย ทำไมเจ้าไม่ทำงานหนักเพื่อทำคำสั่งจองพวกนี้ให้เสร็จล่ะ?”

 

บุตรสาวของเขาเอ่ยแย้ง “ท่านพ่อ ท่านจะให้ข้าทำงานหนักก็ได้เจ้าค่ะ แต่ในตำรากล่าวไว้ว่ายิ่งของนั้นหายากเพียงใด มันก็ยิ่งมีมูลค่ามากขึ้นเท่านั้น หากข้าปรุงมันมากเกินไป ลูกค้าทั้งหลายก็อาจรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นของหายากอย่างที่คิด ถึงขนาดที่พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสูญเปล่าไม่ว่ามันจะอร่อยขนาดไหนก็ตาม”

 

ซูเอ้อร์หยาหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “อีกอย่างหนึ่ง ความหมายของอาหารแนะนำไม่ได้อยู่ที่ตัวอาหาร แต่อยู่ที่ว่าคนรวยใช้มันเพื่อแสดงฐานะ หากมันเข้าถึงทุกคนได้แล้ว คนรวยก็จะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ของหายาก แล้วมันก็จะไม่มีคำสั่งจองมาอีก ท่านพ่อ ท่านต้องไม่สับสนไปกับคำสั่งจองรอบแรกนะเจ้าคะ”

 

ซูฮ่วนหลี่พลันรู้ซึ้งในทันทีราวกับตื่นขึ้นจากความฝัน สิ่งที่บุตรสาวของเขาพูดนั้นเป็นเรื่องถูกอย่างยิ่ง วิสัยทัศน์ทางธุรกิจควรจะมองในระยะยาว หากเขาบริหารธุรกิจแบบนี้ สถานการณ์อันน่าพอใจเช่นนี้ก็อาจจะหายไป

 

“ว้าว!” ซูฮ่วนหลี่อุทาน “เจ้าไม่น่าจะรู้อะไรมากขนาดนี้ด้วยอายุน้อยเพียงเท่านี้เลย ข้าต้องมองเจ้าด้วยสายตาแบบใหม่เสียแล้ว”

 

ซูฮ่วนหลี่ยังคงลังเลที่จะเลิกฝันถึงเงินจำนวนมากกว่าห้าพันชั่งอยู่เล็กน้อย!

 

“ท่านหมอฉีเป็นอาจารย์ที่ดีเจ้าค่ะ” ซูเอ้อร์หยาเริ่มยกความดีความชอบให้กับฉีเซี่ยนชิงด้วยคำชม “เขาไม่เพียงแต่สอนข้าให้อ่านออกเขียนได้ แต่ยังบอกความจริงของชีวิตและปรัชญาชีวิตอีกด้วย สิ่งที่ท่านหมอฉีเอ่ยมักพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง”

 

“ที่แท้ท่านหมอฉีคนนั้นก็เป็นอาจารย์ที่อยู่เหนือโลกจริง ๆ!”

 

ซูฮ่วนหลี่สะท้อนกับสิ่งที่บุตรสาวพูด แต่กลับตื่นตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเคยคิดว่าฉีเซี่ยนชิงเป็นคนดีเพราะเขาไม่มีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์กับเขา ตอนนี้เอ้อร์หยาเป็นบุคคลสำคัญของตระกูลซูไปแล้ว หากฉีเซี่ยนชิงสอนให้เอ้อร์หยาขบถขึ้นมา วันเวลาของเขาก็คงจะจบสิ้น

 

“ข้าต้องคิดหาวิธีจัดการกับมันแล้ว”

 

ซูฮ่วนหลี่ออกไปพร้อมกับแผนการชั่วร้าย และซูเอ้อร์หยาก็ยิ้มบางพลางนั่งลงอ่านหนังสือราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

สิ่งที่นางอ่านก็คืออุปสรรคขั้นที่ห้าของตำราวิปัสสนาหุบผาภูติ

 

“คุณหนู ต้นไม้ที่นายท่านนำมาให้ทำไมเหลือเพียงแค่ครึ่งหนึ่งล่ะเจ้าคะ? พวกเราถูกปล้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” แม่บ้านหลี่เข้ามาและเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

 

ซูเอ้อร์หยาส่ายหน้าและเอ่ยตอบ “แม่บ้านจ๊ะ ไม่ต้องกังวลไป พวกมันมีพิษ ข้าเลยทิ้งพวกมันไปแล้ว”

 

“ดีแล้วเจ้าค่ะ”

 

แม่บ้านหลี่ระบายลมหายใจอย่างโล่งอกและเหลือบเห็นขวดกระเบื้องเคลือบสีดำเมื่อมบนโต๊ะอย่างไม่ตั้งใจ แต่นางก็ไม่ได้ถามเรื่องนี้ คุณหนูใช้เครื่องปรุงรสหลายอย่าง ขวดนี้จึงดูไม่น่าสงสัยขนาดนั้น

แม่บ้านหลี่รู้สึกกระวนกระวายนักเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก นางวิ่งไปปิดประตูจากนั้นก็กระซิบ “คุณหนูเจ้าคะ สาวใช้ที่ท่านติดสินบนเมื่อก่อนหน้านี้บอกข้าว่าคุณหนูสามถามถึงแผนผังห้องหนังสือของท่านเมื่อสองวันที่แล้วเจ้าค่ะ”

 

ซูเอ้อร์หยาอึ้งไปและยิ้มบาง “จื่อเผย…นางต้องการจะขโมยอะไรกัน?”

 

“ห้องหนังสือของท่านเต็มไปด้วยหนังสือและสูตรอาหาร จะมีอะไรอีกที่นางอยากจะขโมยล่ะเจ้าคะ?” พูดไม่ทันขาดคำ แม่บ้านหลี่ก็พลันตระหนักอะไรบางอย่างได้และเอ่ยขึ้นพลางเบิกตากว้าง “หรือว่า…”

 

ซูเอ้อร์หยาส่ายหน้าอย่างจนใจ “หากนางต้องการจะขโมยมันก็ให้นางไปเถอะ น้องสาวสามปลอมตัวเป็นข้าอยู่ในร้านอาหารได้สองวันแล้วและคงจะทรมานอย่างมาก”

 

“คุณหนู!” แม่บ้านหลี่พลันรู้สึกร้อนใจ “ซูจื่อเผยใจร้ายต่อท่าน แต่ท่าน…”

 

“แม่บ้านจ๊ะ หยุดพูดถึงมันเถอะ บอกผู้คุ้มกันว่าเป็นคำสั่งของข้าเองที่ให้น้องสาวสามเข้ามาและอย่าทำให้นางขายหน้า”

 

ได้ยินคำสั่งของซูเอ้อร์หยาแล้ว แม่บ้านหลี่ก็กระทืบเท้า แต่นางก็ทำตามสิ่งที่นางพูด

 

ไม่ว่านางจะเป็นห่วงคุณหนูสองแค่ไหน นางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งนาง ข้อห้ามร้ายแรงของคนรับใช้ก็คือการไม่เชื่อฟังคำพูดของเจ้านาย ใครจะจ้างคนรับใช้ที่ไม่ฟังคำสั่งของเจ้านายกัน?

 

“คุณหนูยังใจอ่อนเกินไปอยู่เหมือนเดิมเลย ข้าหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีนะ” หลังออกคำสั่งของคุณหนูแล้ว แม่บ้านหลี่ก็ยังคงเป็นกังวล แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหวังว่าคุณหนูสามจะมีสติและไม่ได้ขโมยสูตรอาหารอย่างที่พวกนางคิดว่านางจะทำ

 

ภายในห้องหนังสือ ซูเอ้อรหยาวางพู่กันลงและพัดเป่าหมึกให้แห้งเบา ๆ

 

นางกำลังเขียนสูตรอาหารอยู่ เนื่องจากยังไม่มีสูตรไก่ขอทานในห้องหนังสือที่สมบูรณ์แบบ ในเมื่อซูจื่อเผยต้องการมัน นางก็ต้องเตรียมการให้ล่วงหน้า

 

นางไม่ได้อธิบายอะไรผิดพลาดในสูตรอาหารนั้น ซึ่งลงรายละเอียดมากกว่าสูตรที่นางให้กับผู้ช่วยพ่อครัวเมื่อก่อนหน้านี้เสียอีก

 

“น้องสามที่รักของข้า อย่าทำให้ข้าผิดหวังนะ”

 

ซูเอ้อร์หยาหัวเราะหึ ๆ และม้วนแผ่นกระดาษ หยิบหนังสือคัดลายมือแห่งต้าฮั่นและเดินออกจากเรือนจินหยวนไป

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด