การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 88

อ่านนิยายจีนเรื่อง การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] ตอนที่ 88 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ ๘๘

 

ตระกูลเม่ยเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้กับเม่ยรั่วหานเป็นอย่างดี อย่างเช่นผ้าปูที่นอนจำนวนมาก อากั่วเข้ามาช่วยซูหลี่หลังจากที่นางทำความสะอาดห้องคุณหนูของนางเองแล้ว ในที่สุดทั้งสามก็ทำความสะอาดเรือนจนเสร็จก่อนที่จะมืดค่ำ

 

“หลี่ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำความสะอาดบ้านเรือนได้คล่องแคล่วเช่นนี้” หลังเข้ากันได้ดีมาหนึ่งวัน เม่ยรั่วหานก็เรียกซูหลี่อย่างสนิทสนมขณะปาดเหงื่อออกจากใบหน้าและเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องพึ่งตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้แล้ว”

 

“อ๋า คุณหนู!” อากั่วรีบเอ่ยขึ้น “ท่านไม่เคยทำงานสกปรกและเหน็ดเหนื่อยแบบนี้มาก่อน ให้ข้าทำเถอะเจ้าค่ะ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้ ข้าต้องถูกไล่ออกจากเรือนท่านแน่เมื่อใดที่ท่านเรียนรู้มันแล้ว!”

 

อากั่วเอ่ยจริงจังเสียจนซูหลี่กับเม่ยรั่วหานพากันหัวเราะ ซูหลี่คิดว่าหากมีสาวน้อยหัวไวอย่างอากั่วอยู่ข้าง ๆ บางทีชีวิตของนางคงจะน่าสนใจมากขึ้น

 

อากั่วหัวเราะคิกคักทันทีหลังได้ยินทั้งสองนางหัวเราะ ทันใดนั้นเองนางก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้และเอ่ยเรื่องลึกลับกับซูหลี่

 

“คุณหนูซู มีเรื่องหนึ่งที่ท่านยังไม่รู้นะเจ้าคะ ตอนที่ข้าออกไป ข้าได้ยินว่าเรือนของน้องสาวท่านอยู่ห่างจากโรงเรียนไปหนึ่งพันหลา ค่าเช่าเรือนนั้นแค่สองร้อยชั่งต่อเดือนเองเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นนางเลยต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะไปโรงเรียนให้ทัน!”

 

ซูหลี่ไม่ประหลาดใจเลยหลังได้ยินเช่นนั้น จูเหยียนรักใคร่ซูจื่อเผยมาก แต่นางเกือบจะถังแตกแล้วจึงไม่อาจจ่ายค่าเช่าเรือนที่อยู่ในทำเลที่ดีได้

 

ในตอนเย็นหลังอาหารมื้อเย็น สตรีทั้งสามก็เข้านอน วันนี้มีหลายสิ่งเกิดขึ้น จึงทำให้เม่ยรั่วหานกับอากั่วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก

 

ซูหลี่มีพลังยุทธ์ระดับถือกำเนิด นางจึงยังคงกระปรี้กระเปร่าอยู่แม้จะไม่ได้นอนอย่างเต็มที่มาหลายวัน นางตื่นตรงเวลาหลังจากนั่งสมาธิมาหนึ่งคืน จากนั้นก็แต่งตัวและปรุงโจ๊กข้าวโพดแสนอร่อยหนึ่งหม้ออยู่ในครัว จากนั้นซูหลี่ก็ปรุงรสชาติด้วยวัตถุดิบที่มีและทำขนมเจ้าปิ่งงา (ขนมปังชนิดไม่ฟู) กรุบกรอบสามชิ้น รสชาติของขนมเจ้าปิ่งงาดีขึ้นอย่างมากเมื่อถูกปรุงรสด้วยเครื่องปรุงที่นางสรรหามาได้

 

“กลิ่นหอมเหลือเกิน!!”

 

อากั่วเหยียดกายลุกขึ้น นางสูดหายใจลึกก่อนจะเดินเข้าไปในครัว นางมึนเมาไปกับกลิ่นหอมมากเสียจนดูราวกับว่าเสียสติไป

 

“อากั่ว อาหารเช้าคืออะไรน่ะ? กลิ่นหอมเหลือเกิน”

 

เม่ยรั่วหานก้าวออกจากห้องก่อนจะแต่งตัว ดวงตาเป็นประกายวิบวับจนดูราวกับแมวตะกละตัวน้อย

 

อากั่วส่ายหน้า “คุณหนู มันยังไม่ทันรุ่งสางเลยเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งตื่นและยังไม่ได้ทำอาหารเช้าเลย”

 

“อย่างนี้นี่เอง…” เม่ยรั่วหานดูผิดหวัง “บางทีอาจเป็นกลิ่นอาหารจากเรือนใกล้เคียงกระมัง ข้าไม่คิดว่าเราจะได้กลิ่นมันนะ”

 

อากั่วพยักหน้า นางเกือบจะขออาหารจากเรือนใกล้เคียงแล้วหากว่าพวกนางสนิทชิดเชื้อกัน

 

“คุณหนู กลับไปนอนก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะไปเตรียมอาหารเช้าให้นะเจ้าคะ”

 

หลังเอ่ยดังนั้น อากั่วก็เปิดประตูครัวและดื่มด่ำอยู่กับกลิ่นหอมรุนแรงในทันที นางมองภาาพตรงหน้าในครัวควันโขมงด้วยสายตาว่างเปล่าและพลันกรีดร้องออกมา

 

“อ๋า!”

 

เม่ยรั่วหานหวาดกลัวกับเสียงร้องจนต้องวิ่งออกจากห้องและคว้ามืออากั่วไว้พลางเอ่ยอย่างตื่นตระหนก “อากั่ว เกิดอะไรขึ้น? อย่าทำให้ข้ากลัวสิ”

 

เม่ยรั่วหานเป็นกังวลเกี่ยวกับการออกจากบ้านครั้งแรก นางอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น เสียงร้องของอากั่วทำให้นางหวาดกลัวนัก

 

อากั่วกุมมือของเม่ยรั่วหานไว้และชี้ไปที่ครัวพลางเอ่ยละล่ำละลัก “อะ ๆๆ! คุณหนู ดูสิเจ้าคะ เป็นครัวของเรา! เป็นครัวของเรา!”

 

มุมปากของอากั่วปรากฏน้ำลายไหลหยดขณะเอ่ย กลิ่นของมันหอมเสียจนนางเกิดอยากทานขึ้นมา!!

 

ในตอนนี้เองซูหลี่ก็เดินออกจากครัวและเห็นเจ้านายกับสาวใช้ยืนอยู่ นางก็อึ้งไปและเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ทำไมพวกเจ้ายืนอยู่ที่นี่ล่ะ?”

 

เม่ยรั่วหานพยายามจะรับรู้ภาพในครัวไปกับซูหลี่ นางกลืนน้ำลายลงและเอ่ยถามขึ้น “หลี่ เจ้าทำอาหารเป็นด้วยหรือ? เจ้าทำอะไรน่ะ? ทำไมกลิ่นมันถึงหอมขนาดนี้?”

 

ซูหลี่ยิ้มอ่อนโยนหลังได้ยินดังนั้น “ข้าเป็นแขกในเรือนของพวกเจ้า ก็เลยอยากจะตอบแทนบุญคุณในเรื่องนั้นน่ะ โชคดีที่ข้าทำอาหารเป็น ข้าก็เลยตัดสินใจทำอาหารให้พวกเจ้าด้วยตัวข้าเอง อย่าตำหนิข้าในเรื่องนั้นเลย”

 

“ไม่ ไม่เลยเจ้าค่ะ!” อากั่วตะโกนตัดหน้าเม่ยรั่วหาน “พวกเราดีใจมาก ข้าไม่เคยได้กลิ่นอาหารเช้าที่หอมน่ากินขนาดนี้มาก่อน…มันต้องอร่อยแน่ๆ เจ้าค่ะ! คุณหนูของข้าหลงใหลคลั่งไคล้ในอาหารอร่อยมากนะเจ้าคะ!”

 

“อากั่ว!”

 

เม่ยรั่วหานหน้าขึ้นสีและแสร้งทำเป็นโมโห

 

ซูหลี่หลุดหัวเราะและเอ่ยขึ้น “ในเมื่อพวกเจ้าตื่นกันแล้ว เราก็ควรทานอาหารเช้ากันหลังจากที่พวกเจ้าแต่งตัวแล้วดีกว่า ไม่อย่างนั้นมันจะเย็นชืดเสียรสชาติไป”

 

สาวน้อยทั้งสองรีบพยักหน้าพร้อมกันและวิ่งเข้าไปในห้องของพวกนาง

 

“คุณหนู ช้าก่อน ข้าจะช่วยท่านอาบเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ!”

 

“ไม่เอา ข้าจะอาบเอง!!”

 

ซูหลี่ยืนอยู่ด้านหน้าห้องครัวและรู้สึกพิกลขึ้นมา เพราะนางรู้สึกว่า…เหมือนตนเองกำลังเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสองตัวอยู่อย่างไรอย่างนั้น

 

แต่การปรากฏตัวของสองสาวก็ช่วยบรรเทาความหดหู่ที่ตามหลอกหลอนนางมานานแสนนาน

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เม่ยรั่วหานกับอากั่วก็อาบน้ำเสร็จ ซูหลี่วางอาหารเช้าบนโต๊ะ ส่งขนมเจ้าปิ่งงาให้แต่ละคน อากั่วส่งโจ๊กข้าวโพดให้กับพวกนาง แล้วก็ก้าวถอยพร้อมกับอดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ

 

คนใช้มีกฎของคนใช้อยู่ นางจึงสามารถทานได้หลังจากที่ซูหลี่กับเม่ยรั่วหานทานเสร็จแล้วเท่านั้น

 

เม่ยรั่วหานยิ้มหลังเห็นดังนี้และนางก็ตักโจ๊กข้าวโพดให้อีกชามพลางเอ่ยขึ้น “มานี่สิ เราไม่ได้อยู่ที่บ้านเสียหน่อย ไม่ต้องทำตามกฎมากนักหรอก”

 

อากั่วรู้สึกดีใจหลังได้ยินดังนั้น แต่นางก็ยังไม่กล้านั่งลง

 

กฎก็คือกฎ ซูหลี่เองก็เป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ อากั่วไม่กล้านั่งที่โต๊ะโดยไม่ได้รับอนุญาตหรอก

 

ซูหลี่งุนงงอยู่ครู่หนึ่งและพลันยิ้มออกมาเงียบๆ​ เม่ยรั่วหานมองนางด้วยท่าทีคาดหวัง​ นางจึงคะยั้นคะยออากั่วและเอ่ยเสียงนุ่ม​ “อากั่ว  มานั่งเถอะ​ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นสาวใช้เลยนะ”

 

อากั่วดีใจมากจนเกือบจะหลั่งน้ำตาหลังได้ยินเช่นนั้น​ แม้แต่คุณหนูก็ไม่เคยเอ่ยเช่นนั้นกับนาง​

 

ซูหลี่อมยิ้ม​ นางเคยผ่านสถานการณ์​เช่นเดียวกันนี้มาแล้ว​ แต่สิ่งที่นางเจอไม่เหมือนกับของอากั่ว​ ชาตินี้นางเป็นคุณหนูแห่งตระกูลซู​ แต่กลับไม่ได้ทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากับบิดามารดา​ และไม่มีใครเคยปฏิบัติต่อนางอย่างที่นางปฏิบัติต่ออากั่ว

 

อากั่วนั่งลงและเช็ดมือ​ นางหยิบขนมเจ้าปิ่งงาขึ้นมากัดจนเกิดเสียงกรอบแกรบ​ กลิ่นหอมของเม็ดแป้งหยาบผสมไส้ไข่กุ้งปรุงรสด้วยเกลือชั้นดีมีรสชาติเยี่ยมติดปลายลิ้น​ ช่างอร่อยเหนือความคาดหมาย​นัก

 

“อืมมม…”

 

เม่ยรั่วหานจ้องมองขนมเจ้าปิ่งงาในมือ​ มันมีรูปลักษณ์หน้าตาในแบบเดียวกับที่ขายข้างถนน​ แต่ซูหลี่ทำให้มันอร่อยขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!

 

อากั่วไม่เคยทานอาหารเลิศรสใดๆ​ มาก่อนทำให้นางเกือบต้องกัดลิ้น​ นางไม่เคยแม้กระทั่งทานขนมเจ้าปิ่งงาธรรมดาต่อให้มันมีขายในเมืองที่พักอาศัย​ ทันใดนั้นเองนางก็ได้ทานอาหารแสนอร่อยที่กินใจเสียใจทำให้นางเกือบน้ำตาร่วง​ สวรรค์… ไม่นะ​ คุณหนูซูหลี่ช่างดีกับนางเหลือเกิน

 

ขนมเจ้าปิ่งงาคำหนึ่งและโจ๊กข้าวโพดอุ่นพอดีทานคำหนึ่งได้ปลุกเม่ยรั่วหานจากยามเช้าอันแสนง่วงเหงา ราวกับอาหารเช้าเรียบง่ายเช่นนี้ได้เปิดรูขุมขนทุกทางบนร่างกายแล้วอัดฉีดความมีชีวิตชีวาเข้าไปในตัวนาง

 

“หลี่ อาหารที่เจ้าทำช่างโอชารสเหลือเกิน​ หากภายภาคหน้าเจ้าไม่ได้รับราชการ​ เจ้าก็ต้องโชคดีได้เปิดภัตตาคารเป็นของตัวเองแน่เลย!”

 

ดวงตาของเม่ยรั่วหานเปี่ยมด้วยแววชื่นชม​ “แต่ข้าก็เชื่อนะว่าเจ้าจะได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างสบายหากเข้าสอบคัดเลือกเข้าวังหลวงด้วยพรสวรรค์และความรู้ที่เจ้ามีอยู่!”

 

ซูหลี่ส่ายหน้า​ “มันคงจะไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก​ อย่าเพิ่งพูดถึงมันเลย​ ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว​ เรารีบไปกันเถอะ”

 

เม่ยรั่วหานกรีดร้องเมื่อเห็นว่าจวนจะได้เวลา​ นางกับซูหลี่วิ่งออกจากเรือนโดยให้อากั่วเป็นผู้อยู่ดูแล

 

เม่ยรั่วหานมองซูหลี่เปลี่ยนไปหลังจากที่พวกนางอยู่ร่วมกันมาได้หนึ่งวัน​ นางรู้สึกสบายใจเมื่อใดก็ตามที่มีซูหลี่อยู่ใกล้ๆ​ แม้ว่าความจริงแล้วนางจะแก่กว่าซูหลี่หนึ่งปี​แต่นางก็ดูเหมือนเด็กน้อยเมื่อเทียบกับอีกฝ่าย

 

เม่ยรั่วหานรู้สึกตกใจ​ แม้จะเป็นเรื่องจริงที่มักจะมีใครสักคนที่เปี่ยมพรสวรรค์มากกว่าอยู่เสมอ​ แต่ความเก่งกาจของนางก็ดูด้อยลงเมื่อเทียบกับซูหลี่

 

นางจะต้องขยันมากกว่านี้!

 

ชั้นเรียนคาบแรกในเช้านี้คือวรรณกรรม ซูหลี่ลาเม่ยรั่วหานแล้วมาอยู่ที่หน้าประตูของชั้นเจีย หนิงอวิ๋นจื่อเห็นนางก็คลี่ยิ้มใจดีให้ “เจ้าอยู่นี่เอง เชิญนั่งที่เถอะ”

 

อาการเช่นนี้ของหนิงอวิ๋นจื่อทำให้คนหลายคนมองซูหลี่อย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถามและหักห้ามความคิดของตัวเองไว้ก่อนจะกลับไปทบทวนบทเรียนตามเดิม

 

ซูหลี่นั่งลง หยิบพจนานุกรมแห่งต้าฮั่นออกมาเริ่มอ่านทบทวน

 

หนิงอวิ๋นจื่ออดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อยหลังเห็นดังนั้น

 

สตรีที่สามารถนั่งอยู่ตรงนี้ได้ล้วนมาจากครอบครัวมั่งมีและทรงอิทธิพล พวกนางต่างเป็นสตรีท่าทางสง่างาม เฉลียวฉลาด และกิริยามารยาทดีทั้งสิ้น บางทีในวันหนึ่งพวกนางอาจได้ทำงานรับราชการและนำเกียรติยศมาสู่บรรพชนก็เป็นได้

 

หลังทบทวนบทเรียนในตอนเช้า หนิงอวิ๋นจื่อก็เริ่มทำการสอน เขามีประสบการณ์อย่างมากมายจนถึงตอนนี้ เมื่อเอ่ยถึงประเด็นที่น่าอัศจรรย์เขาก็สามารถเอ่ยคำคมออกมาได้เฉียบคมเสมอ ศิษย์ของเขาต่างให้ความสนใจอย่างยิ่ง แม้แต่ซูหลี่เองก็ได้เรียนรู้ถึงบางสิ่งด้วยเช่นกัน

 

หนิงอวิ๋นจื่อสังเกตซูหลี่ขณะที่นางนั่งฟังการสอนของเขา เขารู้สึกพอใจกับนางมากขึ้นไปอีกหลังจากผ่านไปคาบเรียนหนึ่ง นางประสบความสำเร็จในการเป็นนักปราชญ์ด้วยอายุน้อยเพียงเท่านี้และยังคงขยันเรียนด้วยท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนและฉลาดสุขุม นิสัยของนางดีกว่าคนส่วนใหญ่อยู่มากนัก

 

หนิงอวิ๋นจื่อออกจากห้องเรียนไปหลังสอนวิชาในคาบเเรกจบและไม่พูดกับซูหลี่เพราะจะสร้างความรำคาญให้กับใครบางคน แต่เพื่อนร่วมชั้นบางคนก็รีบถามหาข้อมูลบางอย่างกับซูหลี่หลังจากที่เขาเดินออกไป ซูหลี่จัดการกับสถานการณ์ได้อย่างง่ายดายและจากนั้นก็เดินไปยังชั้นเรียนเพื่อเรียนวิชาที่สอง ปล่อยให้บรรดาคุณหนูทั้งหลายจับกลุ่มกันชื่นชมนางอยู่ลับๆ

 

แม้ซูหลี่จะดูมีอายุราวสิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้น แต่นางก็มีประสบการณ์และทักษะการสื่อสารที่ดีเยี่ยม พวกนางพยายามอย่างยิ่งที่จะหว่านล้อมนาง แต่ก็ไม่ได้รับอะไรที่เป็นประโยชน์กลับไป

 

ซูหลี่เจอชั้นเรียนที่สอนวิชาที่สองจากข้อความบนป้ายประกาศ เมื่อนางเข้ามาก็เห็นโต๊ะเย็บปักถักร้อยนับสิบอยู่ในห้อง

 

วิชาที่สองคือการเย็บปักถักร้อย

 

แม้สตรีบางคนในแคว้นต้าฮั่นจะทำงานรับราชการหรือเป็นเจ้าหน้าที่ทางทหารคอยปกป้องบ้านเมืองอยู่ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่แล้วงานเหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติของผู้ชาย พวกนางแต่งงานกับสามีและแบกรับภาระทั้งรับใช้ดูแลสามีและบุตร จึงต้องเรียนรู้ทักษะการเย็บปักถักร้อย อีกทั้งยังช่วยลดภาระด้านค่าใช้จ่ายของสามีลงด้วยหากพวกนางมีฝีมือด้านงานหัตถกรรม

 

ซูหลี่มองเพื่อนร่วมชั้นและเหลือบเห็นซูจื่อเผยกับเม่ยรั่วหานวูบหนึ่ง พวกนางถูกแยกชั้นเรียนตำราแต่ร่วมชั้นเรียนงานฝีมือ ดังนั้นศิษย์ที่ลงเรียนวิชางานฝีมือจึงยังเป็นกลุ่มคนที่เข้าโรงเรียนมาพร้อมกันอยู่

 

ซูหลี่นั่งลงขณะที่สตรีสูงหุ่นเพรียวระหงก้าวเข้ามา สตรีสูงศักดิ์คนนั้นมีโหนกแก้มสูงและมีริมฝีปากบางราวกับกระดาษสองแผ่น รับกับคิ้วเรียวยาว แม้นางจะประทินโฉมอย่างประณีตแล้วแต่นางก็ยังดูไม่ใช่คนใจดี

 

“ข้าคืออาจารย์ด้านคุณธรรมสตรีและงานฝีมือของพวกเจ้า” เสียงของสตรีผู้นี้แหลมรับกับรูปลักษณ์ร้ายกาจของนาง “พวกเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ฉุยหรือฮูหยินหยางก็ได้ แต่…ข้าชอบให้พวกเจ้าเรียกว่าฮูหยินหยางมากกว่า”

 

สายตาของคุณหนูบางคนที่มาจากเมืองมู่หยางเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังได้ยินดังนั้น ในเมืองมู่หยางมีตระกูลหยางที่เป็นที่รู้จักกันดีเพียงหนึ่งตระกูลเท่านั้น อาจารย์ฉุยผู้นี้ก็คงจะมาจากตระกูลนั้น…เป็นสิ่งเดียวที่น่าภาคภูมิใจโดยแท้

 

แต่นางก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา เป็นการเปิดเผยว่าฮูหยินหยางผู้นี้เป็นคนชอบดูถูกตัวตนและตื้นเขิน สตรีไร้รสนิยมผู้นี้มาเป็นอาจารย์ของพวกนางได้อย่างไร?

 

หญิงสาวหลายคนพลันเกิดข้อสงสัยขึ้นในใจของพวกนาง

 

ฮูหยินหยางไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของพวกนาง นางรู้สึกพึงพอใจมากขึ้นเมื่อเห็นคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยทรงอิทธิพลหลายคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นนางก็เริ่มทำการสอนจนมีเพียงเสียงของนางเท่านั้นที่ดังไปทั่วห้องเรียน

 

หลังจากนั้นเจ็ดหรือเเปดนาที สีหน้าไม่ประทับใจของคุณหนูหลายคนต่างหายไป

 

ความจริงเรื่องที่ฮูหยินหยางสามารถเป็นอาจารย์ในโรงเรียนมู่หยางได้นั้นแสดงให้เห็นว่านางมีความรู้เรื่องงานหัตถกรรมเข้าขั้นน่าเลื่อมใสโดยแท้ งานหัตถกรรมต้าฮั่นแห่งแคว้นต้าฮั่นดูมีชีวิตขึ้นมาทีเดียวเมื่อนางเป็นผู้บรรยายถึงมัน

 

แม้คุณหนูทั้งหลายจะเคยฝึกฝนงานหัตถกรรมต้าฮั่นมาจากที่บ้านแล้ว แต่พวกนางก็ไม่ได้เรียนรู้มันอย่างเป็นระบบ ประวัติความเป็นมาและทักษะของงานหัตถกรรมต้าฮั่นที่ฮูหยินหยางอธิบายเพิ่มเติมจึงเป็นการเติมเต็มความรู้อันน้อยนิดของพวกนาง

 

เวลาครึ่งคาบเรียนผ่านไปหลังการเกริ่นนำโดยสังเขป ฮูหยินหยางหยุดครู่หนึ่งจนศิษย์ทั้งหลายคิดว่านางจะเล่าต่อ แต่แล้วนางก็ถามขึ้นมา

 

“ใครคือซูหลี่? ลุกขึ้น!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด