การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 105

อ่านนิยายจีนเรื่อง การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] ตอนที่ 105 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

LS ตอนที่ ๑๐๕

 

ตอนนี้เวินรั่วหมินได้เดินผ่านป่าดอกท้อผืนใหญ่พร้อมกับไม้เท้าและหยุดอยู่ตรงด้านหน้าเรือนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย

 

“ท่านย่าเวิน ท่านมาที่นี่เพื่อมาคุยกับท่านยายของข้าอีกหรือเจ้าคะ?”

 

สาวน้อยในชุดขาวปักลายเดินออกมาอย่างเร็วรี่เมื่อได้ยินเสียง เมื่อนางเห็นเวินรั่วหมิน ดวงตาบริสุทธิ์พลันฉายแววประหลาดใจ นางวิ่งเหยาะมาหาและช่วยประคองอย่างรู้งาน

 

ดวงตาของเวินรั่วหมินฉายแววรักใคร่ยามมองสาวน้อย และนางก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเบา ๆ “อาหมิน ตอนนี้ท่านยายเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”

 

“ต้องขอบคุณท่านนะเจ้าคะ ท่านยายของข้ามีสุขภาพแข็งแรงดีแต่ก็ร่วงโรยไปตามวัย นางไม่สามารถทำงานปักเย็บได้อีกแล้วเจ้าค่ะ”

 

เวินรั่วหมินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ “ไม่เกี่ยวหรอกว่านางจะปักเย็บได้หรือไม่ นางมีเจ้าเป็นหลานสาวและผู้สืบทอดฝีมือดีก็แล้วกัน”

 

“ท่านย่า ท่านชมข้าเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้ายังห่างไกลจากเรื่องนี้นัก”

 

กงหมินเอ่ย แต่ในดวงตากลับฉายประกายลิงโลด เห็นชัดว่านางกำลังมีความสุขมากกับคำชมของเวินรั่วหมิน

 

“รั่วหมิน เจ้าหาเวลามาที่นี่ได้อย่างไรกันนี่?”

 

เสียงทุ้มของหญิงชราดังมาจากห้องตำรา กงหมินแลบลิ้นอย่างรวดเร็วและประคองเวินรั่วหมินเข้าไปนั่งข้างใน หลังรินชากาหนึ่งให้สตรีชราทั้งสองแล้วนางก็ขอตัวออกไป

 

สตรีชราที่นั่งอยู่ในห้องตำรามีผมหงอกทั่วทั้งศีรษะ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความชรา เห็นชัดว่านางสูงวัยกว่าเวินรั่วหมิน ตอนนี้นางกำลังถือหนังสือยื่นห่างจากดวงตาเพื่อเพ่งหาบางสิ่ง

 

เวินรั่วหมินนั่งลงและมองสตรีชราผู้นี้ นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและเอ่ยด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “กงเซียงจวิน ท่านชรามากแล้ว ไม่รู้จักพักเสียบ้างหรือ?”

 

กงเซียงจวินวางหนังสือลงและเอ่ยงึมงำ “ทีเจ้าครองตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ยังไม่อยากจะเกษียณ เจ้ามีสิทธิ์มาวิจารณ์ข้าหรืออย่างไร? ไม่เอาน่า เจ้าพูดเรื่องนี้ทุกครั้งที่มาที่นี่ ข้าแก่กว่าเจ้าแค่ห้าปีเท่านั้น ข้ารู้จักร่างกายของข้าดี ถ้าเจ้าหาใครสักคนมาแทนที่ข้า ข้าก็จะไม่ยกชั้นเรียนให้หรอก”

 

“ข้ามีตัวเลือกในอุดมคติเช่นนี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”

 

เวินรั่วหมินยิ้มอย่างมีนัยยะแฝงและหยิบงานปักที่ปักไปได้ค่อนอันวางไว้บนโต๊ะ กงเซียงจวินมองเห็นแต่ไกลและมองกลับไปที่หนังสือแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าพูดถึงแม่สาวฉิงรู่อยู่สินะ ทักษะการปักดอกไม้แบบต้าฮั่นของนางนับว่าดี นางจะได้รับการเลื่อนขั้นในหนึ่งหรือสองปีนี้แหละ แต่มันก็ยังเร็วเกินไป เจ้าต้องการทำอะไรกับงานปักของนางงั้นหรือ?”

 

เวินรั่วหมินได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาทันที นางส่ายหน้าและเอ่ยต่อ “งานชิ้นนี้ไม่ใช่ฝีมือการปักของเฟิงฉิงรู่เจ้าค่ะ ลองดูใกล้ๆ สิเจ้าคะ”

 

อะไรนะ?

 

กงเซียงจวินได้ยินแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็หยิบงานปักขึ้นมาลูบเบาๆ  สีหน้าพลันฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย มือทั้งคู่ยังคงสภาพดีและดูอ่อนวัยกว่าอายุของนางนับสิบปี แม้สายตาของนางจะไม่ดีนัก แต่นางก็รับรู้งานปักได้ดีผ่านมือของนาง

 

แต่ในครั้งนี้…นางไม่รู้เลย

 

“แปลก…แปลก…”

 

กงเซียงจวินเอ่ยออกมา จากนั้นนางก็เปิดลิ้นชักทางซ้ายมือและหยิบแว่นคู่หนึ่งออกมา นางวางมันไว้ใกล้ดวงตาและสังเกตงานปักอย่างละเอียด

 

สีหน้าของเวินรั่วหมินแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังเล็กน้อยเช่นกัน นางเพิ่งจะกล่าวมุกออกไปและไม่คิดว่ากงเซียงจวินจะหยิบแว่นออกมาจริง ๆ แว่นสายตานี้ถูกทำขึ้นโดยช่างฝีมือดีที่สุดผู้ที่เจ้าเมืองเหยียนเชิญมา การมีพวกมันอยู่ทำให้กงเซียงจวินยังสามารถทำงานในร้านปักเย็บได้ในอายุที่ปาไปเจ็ดสิบห้าปีแล้ว

 

ต้องกล่าวว่าแว่นคู่นี้คือสมบัติล้ำค่าที่สุดของกงเซียงจวินที่ไม่อาจนำออกมาให้เห็นได้ง่าย ๆ

 

เวลาผ่านไปจนชาเย็นชืด กงหมินเข้ามารินชาอีกครั้ง นางเห็นสตรีชราสองคนจ้องมองงานปักชิ้นเล็ก ๆ ด้วยสายตาว่างเปล่าจนรู้สึกนึกใคร่รู้ขึ้นมา แต่นางก็ไม่ได้รบกวนพวกนาง หลังรินชาเสร็จนางก็ขอตัวออกไปอีกครั้ง

 

เมื่อถ้วยชาถ้วยที่สองเย็นชืด กงเซียงจวินก็เหลือบมองขึ้นในที่สุดพลางเอ่ยเสียงขรึม “ข้าไม่เคยเห็นทักษะการปักดอกไม้ต้าฮั่นแบบนี้มาก่อน ฝีมือขนาดนี้มีสิทธิ์เป็นเจ้าสำนักได้เลย หากนางทำสำเร็จ นางก็จะกลายเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนได้เลย! รั่วหมิน เจ้าไปได้งานปักชิ้นนี้มาจากไหน? เจ้าของงานนี้เป็นคนที่สร้างความสำเร็จให้ข้าได้หรือไม่? นางมีคุณสมบัตินี้จริง ๆ …”

 

เวินรั่วหมินอ้าปากและรู้สึกประหลาดใจอยู่ในใจ เรื่องขำขันกลายเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว นางไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดเช่นไรในตอนนี้

 

“เจ้าไปพบอาจารย์ท่านใดมา? เป็นเมิ่งหลี่ถงจากมณฑลเยว่จื่อหรือ? หรือว่าลู่หยาเซวียนแห่งมณฑลซีฉี? บอกข้ามาแล้วพาข้าไปพบนางซะ!”

 

กงเซียงจวินเห็นว่าเวินรั่วหมินไม่ได้พูดอะไรออกมาจนนางรู้สึกร้อนใจในทันที เวินรั่วหมินได้สติคืนกลับและรีบเอ่ยปลอบนาง “อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่แล้วและไม่หนีไปไหนหรอก ตอนนี้นางอยู่ในสำนักแล้ว และงานปักนี้ก็เพิ่งจะปักขึ้นมา”

 

“ทำไมนางถึงไม่ปักมันจนสำเร็จเล่า?”

 

กงเซียงจวินได้ยินและถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่หลังจากนั้นนางก็ย่นคิ้วและเอ่ยขึ้น “หากมันเป็นงานปักที่ไม่สมบูรณ์ มันก็จะไม่มีจิตวิญญาณ! จากพลังที่นางสาธิตให้เห็นแล้ว นางก็น่าจะรู้นี่”

 

“อืม…มีบางอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้นเจ้าค่ะ”

 

เวินรั่วหมินหยัดกายและอธิบาย อู่ชูฉินเหมือนจะตกอยู่ในปัญหา…หากนางเอ่ยมันออกมา และดูจากนิสัยของกงเซียงจวินแล้ว นางคงจะไล่อู่ชูฉินออกจากสำนักไปในทันที

 

“เกิดอะไรขึ้น?” กงเซียงจวินมีสีหน้าเปลี่ยนไป “มีคนกล้ารังแกยอดฝีมือเช่นนี้ด้วยหรือ?”

 

เวินรั่วหมินรู้สึกเหมือนถูกสับเละจนต้องฝืนยิ้มอย่างจนใจ “โปรดอย่าถามข้าเลย ข้าจะให้นางมาเจอท่านเองเจ้าค่ะ”

 

“มันไม่เหมาะสม!”

 

กงเซียงจวินพลันยืนขึ้นและหยิบไม้เท้าข้างกาย “ต่อให้คน ๆ นั้นจะเยาว์วัยกว่าข้า นางก็สามารถพัฒนาโรงเรียนได้ นั่นหมายความว่าทักษะการปักเย็บของนางถึงระดับเดียวกับข้าแล้ว จะปล่อยให้นางมาหาข้าได้อย่างไร? มันไม่เหมาะสม! ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นเจ้าก็ค่อยไปพบนางพร้อมข้า เจ้ายังไม่ได้บอกเลยนะว่านางเป็นใคร เป็นเมิ่งหลี่ถงหรือหลี่หยาเสวียนใช่หรือไม่?”

 

กงเซียงจวินเอ่ยรัวไฟแลบ เวินรั่วหมินโน้มไปข้างหน้าและรีบปล่อยให้กงเซียงจวินนั่งอย่างรวดเร็ว “พี่สาว โปรดนั่งให้สบายเถิด สาวน้อยคนนี้มีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น อายุของนางไม่ได้ใกล้เคียงกับท่านเลย นางอ่อนวัยกว่าท่านหลายชั่วอายุนะเจ้าคะ!”

 

สิบห้าปี?!

 

กงเซียงจวินอึ้งในทันที หลังจากนั้นครู่ใหญ่นางก็ตบโต๊ะถามขึ้น “เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”

 

หลังจากนั้นราวเค่อหนึ่ง ซูหลี่ก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเรือนอันเรียบง่าย กงหมินดูอยากรู้อยากเห็นแต่ยังคงกิริยานอบน้อม นางพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ท่านย่าของข้าอยากจะพบท่าน เชิญมากับข้าเถิดเจ้าค่ะ”

 

ซูหลี่เดินตามหลังกงหมินและก้าวเท้าเข้ามาในห้อง นางเห็นเวินรั่วหมินและกงเซียงจวินในทันที นางทำความเคารพและเอ่ยทัก “ซูหลี่ขอคารวะอาจารย์ใหญ่เวินและอาจารย์ใหญ่กงเจ้าค่ะ”

 

กงหมินอยากอยู่ต่อแต่ก็เห็นดวงตาของเวินรั่วหมินส่งสัญญาณมา นางจึงทำได้เพียงออกไปและปิดประตูห้อง

 

กงเซียงจวินเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของซูหลี่แล้วนางก็ยังไม่เชื่อสายตา นางหยิบชิ้นผ้าปักขึ้นมาและเอ่ยถาม “เจ้าชื่อซูหลี่งั้นหรือ? นี่ใช่ผ้าที่ปักโดยฝีมือของเจ้าหรือไม่?”

 

ซูหลี่พยักหน้าและอ้ำอึ้งครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ในฐานะผู้น้อยแล้ว ข้ามีเรื่องสงสัยแต่ไม่ทราบว่าจะสามารถถามท่านได้หรือไม่เจ้าค่ะ”

 

เวินรั่วหมินพลันหัวเราะและเอ่ยตอบ “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะถามอะไร อาจารย์ใหญ่กงผู้นี้เจ้าอาจจะยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน นางเกษียณไปนานหลายปีแล้วและยังสอนอยู่ในโรงเรียน ตอนนี้ช่างปักชั้นสูงครึ่งหนึ่งในร้านปักเย็บแห่งมณฑลชิงเหอล้วนเป็นศิษย์ของนาง เฟิงฉิงรู่ก็ถูกนางสอนมาด้วยตัวนางเอง เจ้ารู้จักนางหรือไม่?”

 

ซูหลี่ได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกาย นี่คืออาจารย์ของท่านยายเฟิงฉิงรู่งั้นหรือ?

 

นางเคยได้ยินเรื่องราวของนางมาก่อนในชาติที่แล้วแต่ไม่เคยได้เห็นนาง กงเซียงจวินได้ลาโลกไปก่อนที่นางจะพบกับเฟิงฉิงรู่ เฟิงฉิงรู่มักเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเสมอว่านางไม่ได้ไปพบอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย เป็นเพราะกงเซียงจวินติดโรคร้ายอย่างกะทันหันและด่วนจากไปเสียก่อน ในตอนนั้นเฟิงฉิงรู่ได้อยู่ในสถานที่แห่งอื่นและไม่สามารถกลับมาทัน

 

หลังนึกย้อนกลับไปในความทรงจำแล้ว ซูหลี่ก็มองกงเซียงจวินตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเงียบ ๆ กงเซียงจวินดูหมองคล้ำลงไม่สดใสอย่างที่คิด เพราะนางไม่ได้วินิจฉัยอาการของอีกฝ่าย การตัดสินของนางจึงยังไม่เที่ยงพอ

 

กงเซียงจวินลุกขึ้นยืนในทันทีและเอ่ยขัดคำพูดของเวินรั่วหมิน “ทำไมเจ้าพูดเรื่องนี้กับนางเล่า? น่าอายนัก!”

 

จากนั้นนางก็แตะงานปักในมือพลางถอนหายใจระบายอารมณ์ “ในแม่น้ำฉางเจียงมักมีคลื่นลูกใหญ่กว่าโถมซัดคลื่นลูกก่อนหน้าอยู่ตลอด พื้นฐานทักษะการปักของเจ้าแน่นยิ่งนัก เจ้าอาจจะทำงานหนักมาก จากความเรียบตึงของรอยปักแล้ว ข้าก็รับรู้ได้ว่าฝีเข็มพื้นฐานของเจ้าอยู่ในระดับเดียวกับช่างปักชั้นสูงเช่นกัน ทักษะการปักดอกไม้ต้าฮั่นเป็นวิธีปักที่ยากยิ่งในบรรดางานปักของต้าฮั่น เจ้าสามารถขจัดความแข็งทื่อและทำให้มันมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ ข้าตาสว่างแล้ว การได้เห็นมันในบั้นปลายชีวิต ข้าก็สามารถตายตาหลับได้แล้ว…”

 

“เซียงจวิน…”

 

ได้ยินคำพูดของสหายเก่าแก่อย่างฉับพลันแล้ว เวินรั่วหมินก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา

 

กงเซียงจวินโบกมือและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่รู้สึกตื้นตัน” นางหันกลับไปเอ่ยกับซูหลี่ “ซูหลี่ เจ้าอยากรับตำแหน่งต่อจากข้าเพื่อสอนในชั้นเรียนพิเศษไหม?”

 

ต่อให้ซูหลี่จะสงบนิ่งเพียงใด นางก็อึ้งไปในทันทีที่ได้ยิน

 

ชั้นเรียนพิเศษ?

 

คืออะไรกันนะ?

 

นางอ่านคู่มือมาแล้ว มันไม่ได้มีแค่ชั้นเรียนรุ่นใหญ่กับชั้นเรียนพื้นฐานหรอกหรือ?

 

เวินรั่วหมินเองก็ตกใจเช่นกันและรีบเอ่ยห้ามกงเซียงจวิน “เซียงจวิน มันไม่เหมาะสมหรอก ซูหลี่ยังเด็กเกินไปที่จะชี้นำศิษย์นะ”

 

กงเซียงจวินโบกมือพลางเอ่ย “จะกลัวอะไรเล่า! ข้าไม่เคยผิดสัญญาอยู่แล้ว อีกอย่าง สาว ๆ กลุ่มนั้นล้วนหยิ่งทระนง พวกนางต้องการคนที่จะมาละลายพฤติกรรมของพวกนาง ซูหลี่ เจ้าเต็มใจที่จะทำเช่นนั้นหรือไม่?”

 

เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของกงเซียงจวินแล้ว ซูหลี่ก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นแทนที่จะพยักหน้ารับ “อาจารย์ใหญ่เวิน อาจารย์ใหญ่กงเจ้าคะ ข้าต้องการถามพวกท่านว่า ข้าจะมีเวลาว่างในการอ่านหนังสือมากเพียงใดหากข้ารับสอนชั้นเรียนพิเศษ? ข้าได้ยินมาว่ามีหนังสือและตำราโบราณจำนวนมากในโรงเรียนสตรีชิงเหอน่ะเจ้าค่ะ”

 

จากนั้นสตรีชราทั้งสองก็อึ้งไปในทันที

 

หากเป็นผู้อื่นได้ยินคำพูดของกงเซียงจวิน พวกเขาก็คงจะปิติลิงโลดเสียจนน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจไปแล้ว! ไม่ใช่เรื่องเกินไปเลยหากพวกเขาจะมองกงเซียงจวินในฐานะผู้มีคุณูปการอันใหญ่หลวง แต่ซูหลี่…นางกลับลังเลแม้แต่จะรับตำแหน่งนี้งั้นหรือ?!

 

หลังอึ้งไปครู่ใหญ่ กงเซียงจวินพลันหัวเราะร่า เวินรั่วหมินยิ้มฝืนกลบเกลื่อนเช่นกัน

“ฮ่า ๆ ๆ…ซูหลี่ เจ้าไม่รู้สินะว่าชั้นเรียนพิเศษมันหมายถึงอะไร?”

 

ซูหลี่รู้สึกจนใจและเอ่ยตอบ “ข้าเพิ่งมาถึงมณฑลชิงเหอเมื่อวานนี้เองเจ้าค่ะ”

 

“สาวน้อย อย่ากังวลไปเลย”

 

แม้นางจะถูกซูหลี่ปฏิเสธในทันที กงเซียงจวินกลับมีอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด “ชั้นเรียนพิเศษมีศิษย์เพียงห้าคน สาวน้อยพวกนั้นไม่มีเวลาอยู่ในโรงเรียนมากนักหรอก ปกติแล้วจะมีคาบเรียนเพียงวิชาเดียวในหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นเจ้าจะมีเวลาเหลือเฟือในหอสมุดของโรงเรียนสตรีเชียวล่ะ! นอกจากนี้การปฏิบัติต่ออาจารย์ชั้นเรียนพิเศษนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยม…”

 

ซูหลี่เกือบจะไม่ได้ยินเสียงของกงเซียงจวินหลังจากนั้น ในเจ็ดวันมีแค่วิชาเดียว คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็สามารถใช้เวลาอยู่กับตัวเองและไม่ต้องเลื่อนการฝึกวรยุทธ์และชำระของวิเศษอีก ช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้

 

“อีกอย่างหนึ่ง ค่าแรงของอาจารย์ชั้นเรียนพิเศษ…”

 

กงเซียงจวินยังคงเอ่ยอย่างกระตือรือร้น จนเวินรั่วหมินอดไม่ได้ที่จะพูดขัด “เอาล่ะ พูดอะไรอย่างอื่นบ้างสิ”

 

นางเห็นว่าซูหลี่กำลังสนใจเรื่องอื่นอยู่ นอกจากเวลาแล้ว สาวน้อยผู้นี้ก็ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นเลย

 

กงเซียงจวินหุบปากอย่างเริงร่าและไม่ถือโกรธ ดวงตาของนางเปี่ยมด้วยแววรักใคร่ยามมองซูหลี่ นางรู้สึกประทับใจเหลือเกินที่เจอสาวน้อยผู้มีฝีมือโดดเด่นในบั้นปลายชีวิต

 

เวินรั่วหมินถอนหายใจด้วยแรงอารมณ์เช่นกัน ซูหลี่ทำให้นางนึกถึงคน ๆ หนึ่งที่มาจากครอบครัวยากจนแต่ไม่ชวนตะลึงเท่ากับซูหลี่ แต่นางก็ได้ยินมาว่าสาวน้อยคนนั้นตายตั้งแต่อายุยังน้อยและไม่ได้ฝากผลงานใด ๆ ไว้เลย ช่างน่าเศร้านัก

 

หลังจากนั้นไม่เกินครึ่งชั่วยาม ซูหลี่ก็ออกจากเรือนพร้อมกับตราทองคำในมือทั้งคู่

 

“มีเรือนพักอาศัยใหญ่น้อยจำนวนมากสำหรับอาจารย์ชั้นพิเศษอยู่ในภูเขาที่เจ้าสามารถเลือกอยู่ตรงไหนก็ได้ เรือนอาจารย์รุ่นใหญ่ไม่อาจอยู่ให้เต็มได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรือนชั้นพิเศษเลย นอกจากเราแล้วก็มีคนชราจากสำนักวรยุทธ์มาอาศัยอยู่ เจ้าเองก็เป็นอาจารย์คนหนึ่ง ดังนั้นอย่าได้กลัวพวกเขาไปเลย

 

จำคำพูดของเวินรั่วหมินแล้ว ซูหลี่ก็เดินจากไป มีเพียงหญิงสาวชุดขาวเท่านั้นที่ยืนอยู่ตรงนี้พร้อมกับสายตาแข็งกร้าว

 

นางเพิ่งเห็นอะไรเข้านะ? ตรานั่น…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด