การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 106

อ่านนิยายจีนเรื่อง การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] ตอนที่ 106 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

LS ตอนที่ ๑๐๖

 

หลังกลับมาที่เรือนแล้ว ซูหลี่ก็สั่งให้แม่บ้านหลี่เก็บข้าวของทันที

 

แม่บ้านหลี่ได้ยินก็ตกอกตกใจขึ้นมา นางเอ่ยรัวเร็ว “คุณหนู เราจะไปไหนกันเจ้าคะ?”

 

ซูหลี่เห็นสีหน้าของแม่บ้านหลี่แล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มในทันที “รีบเก็บของเร็ว วันนี้เราจะย้ายไปที่เรือนพำนักของอาจารย์แล้ว”

 

คุณหนูสอบผ่าน!

 

แม่บ้านหลี่ยินดีเป็นล้นพ้นอยู่ในใจและรีบตอบรับ นางเข้าไปในห้องและรีบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว

 

เนื่องเพราะพวกนางรู้ว่าห้องนี้เป็นที่พักชั่วคราว แม่บ้านหลี่เลยไม่ได้นำของออกมาทั้งหมด จึงเป็นการงง่ายที่จะจัดเก็บ หลังจากนั้นไม่นาน ชายรับใช้หนุ่มสองคนที่ดูฉลาดเฉลียวจากทางโรงเรียนก็ลากเกวียนเล็กมาหยุดอยู่ด้านนอก

 

“อาจารย์ซูขอรับ ข้าคือเสี่ยวหวู เขาคือต้าเทียน เราทั้งคู่เป็นบริวารรับใช้และมีหน้าที่ทำความสะอาดเรือนของท่าน แม่บ้านมีหน้าที่เพียงดูแลชีวิตประจำวันของท่านเท่านั้นขอรับ”

 

ชายหนุ่มชื่อเสี่ยวหวูมองซูหลี่ที่ดูเหมือนจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เขารู้สึกซับซ้อนขึ้นมาแต่ก็ไม่บังอาจแสดงการกระทำไม่เคารพ มันไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะเข้ามาในโรงเรียนและได้ทำงานในตำแหน่งที่ทุกคนในหมู่บ้านพากันอิจฉา พวกเขาไม่อาจเสียงานนี้ไปได้

 

ซูหลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “แม่บ้านจ๊ะ ท่านเก็บข้าวของเสร็จหรือยัง?”

 

“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ!”

 

แม่บ้านหลี่แบกหามถุงจำนวนมากออกมา เมื่อนางเห็นชายหนุ่มสองคนสวมชุดคลุมที่ยืนอยู่ที่ประตู นางก็อึ้งไปแต่ก็ปรับท่าทีทัน เอ่ยด้วยเสียงอ่อน “ขอบคุณที่ช่วยนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องแบกของพวกนี้ไปกับคุณหนูแล้ว”

 

“ไม่เป็นไรขอรับ”

 

เสี่ยวหวูกับต้าเทียนรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ พวกเขาคว้าถุงพวกนั้นโดยเร็วและวางบนเกวียนอย่างระมัดระวัง พวกเขาเป็นคนรับใช้ฐานะต่ำที่สุดในบรรดาบุคลากรโรงเรียน ไม่มีใครเคยเอ่ยขอบคุณกับพวกเขา

 

แม่บ้านหลี่ไม่รู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็น โรงเรียนสตรีชิงเหอยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน หลายปีก่อนหน้านี้นางก็เคยเป็นสาวใช้ของที่นี่

 

พวกเขาเดินทางไปยังยอดเขาอีกไม่นานนัก ซูหลี่เดินนำหน้า พวกเขาเดินไปตามถนนหินเรียบอันคดเคี้ยว เมื่อเดินเข้าไปลึกขึ้น อากาศก็บริสุทธิ์สดชื่นมากขึ้น บรรดาตึกรามบ้านช่องก็ดูหรูหรามากขึ้น ทำให้แม่บ้านหลี่ถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว อดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อซูหลี่ไว้

 

“คุณหนูเจ้าคะ เราเดินมาผิดทางหรือเปล่า? มีเพียงอาจารย์ชั้นเรียนพิเศษเท่านั้นที่สามารถอยู่ที่นี่ได้นะเจ้าคะ ท่านอย่างมากที่สุดก็เพิ่งได้เป็นอาจารย์ประจำชั้นเรียนสาม แล้วเรือนพำนักก็อยู่ตรงเชิงเขาด้วย…”

 

ซูหลี่ได้ยินแล้วก็มีดวงตาฉายประกายวูบ เสี่ยวหวูกับต้าเทียนต่างตื่นตกใจเช่นกัน พวกเขาไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนจนรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ อาจารย์ที่ดูเยาว์วัยเหลือเกินท่านนี้คงจะหลงทางเป็นแน่

 

ซูหลี่ไม่ตอบคำแม่บ้านหลี่และชี้ไปยังสถานที่ไกลออกไปแล้วเอ่ยตอบ “มากับข้าเถอะ มันอยู่แค่ตรงนั้นเอง”

 

จากนั้นนางก็เดินนำหน้าไป

 

แม่บ้านหลี่รู้สึกกังวลใจและทำได้เพียงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

 

ในที่สุดซูหลี่ก็หยุดอยู่หน้าเรือนขนาดกลางเมื่อประมาณจากพื้นที่ กำแพงทั้งหมดของเรือนล้วนถูกแกะจากหินสีเทาแข็งราวเหล็กกล้าเป็นรูปสัตว์ประหลาดพิลึกกึกกือ

 

ต้นไม้สูงใหญ่ดูเขียวชอุ่มและแผ่กิ่งก้านมหาศาล พวกมันยื่นกิ่งออกมานอกกำแพง จนเกิดเงาแสงตะวันฉายบนกำแพง ทั้งยังมีกลิ่นดอกกุ้ยฮวาปลายฤดูโชยจาง ๆ

 

ซูหลี่มองไปรอบ ๆ แทบจะมองไม่เห็นเรือนหลังอื่นด้วยตาเปล่า มันช่างเงียบสงัดนัก

 

“อยู่นี่เอง!”

 

ซูหลี่เดินตรงไปเปิดประตูไม้หนาหนักแล้วก้าวเข้าไป

 

“คุณหนู เราอยู่ที่นี่ไม่ได้นะเจ้าคะ!” แม่บ้านหลี่ครางและรีบตามนางไปติด ๆ เสี่ยวหวูกับต้าเทียนต่างรู้สึกจนใจและทำได้เพียงตามพวกนางเข้าไป

 

ภายในเรือนยิ่งดูงดงาม ทั้งห้องบนชั้นสองถูกสร้างขึ้นจากไม้จันทน์แดง เครื่องเรือนทำจากไม้การบูรส่งกลิ่นหอมสดชื่น ซูหลี่เดินขึ้นไปยังชั้นสองและเปิดหน้าต่างออก มันเผยให้เห็นสวนหินและแปลงดอกไม้เบื้องล่าง แตกกิ่งก้านสาขาอย่างเป็นระเบียบ

 

บนผิวสระปรากฏใบบัวหลวงเหี่ยวเฉาบางใบ หากเป็นฤดูคิมหันต์แล้ว ดอกบัวคงจะเบ่งบานทั่วทั้งสระ ทั้งบ้านคงจะอวลไปด้วยกลิ่นหอม

 

แน่นอนว่ามันเป็นแค่ภาพที่ซูหลี่เห็น ยิ่งกว่านั้นยังเต็มไปด้วยพลังเวทย์ นางสังเกตไปรอบ ๆ และพบว่าทำเลที่ดีทั้งหลายถูกจับจองไปหมดแล้ว ดังนั้นนางจึงเลือกทำเลที่ดีรองลงมา

 

หากข้าหาหญ้าโบราณที่สุดเจอ ข้าก็จะสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้บ้าง แต่ข้าต้องการของวิเศษจำนวนมากพอต่อการฝึกยุทธ์ สำหรับความได้เปรียบทางชัยภูมิก็ช่างมันเถอะ”

 

ซูหลี่คิดดังนั้นแล้วก็เดินลงไปยังชั้นล่าง

 

ในตอนนี้แม่บ้านหลี่กำลังกระสับกระส่ายอยู่ที่ชั้นล่าง ด้วยกลัวว่าจะมีคนเข้ามาแล้วจับพวกนางลงโทษ เสี่ยวหวูกับต้าเทียนต่างหน้าซีด ขาของทั้งคู่สั่นระริก

 

เห็นภาพนี้แล้วซูหลี่ก็ส่ายหน้า นางไม่เอ่ยถึงเหตุผลตั้งแต่เมื่อก่อนหน้าเพราะไม่อยากให้ข่าวคราวรั่วไหลเร็วเกินไป

 

แม้นางจะรู้ว่าข่าวที่นางได้เป็นอาจารย์ชั้นเรียนพิเศษจะต้องเเพร่สะพัดไปไม่ช้าก็เร็ว แต่ก็ยังคงหวังว่าความสงบในตอนนี้จะคงอยู่ได้สักระยะหนึ่ง

 

แน่นอน ซูหลี่คิดว่าปัญหาเป็นเรื่องสำคัญน้อยกว่าเรื่องเข้าสอนเจ็ดวันเต็มเสียอีก

 

“แม่บ้านจ๊ะ ทำความสะอาดบ้านด้วยจ้ะ”

 

ซูหลี่หยิบป้ายทองวางบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็กล่าวกับเสี่ยวหวูและต้าเทียน “ออกไปทำความสะอาดนอกเรือนให้หน่อยนะจ๊ะ ถึงแม้ว่าเรือนนี้จะได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว แต่ด้านนอกมีวัชพืชขึ้นมากเกินไปแล้ว”

 

เมื่อแม่บ้านหลี่เห็นป้ายทอง นางก็สงสัยเป็นอันดับแรก จากนั้นก็พลันนึกอะไรบางอย่างออก แล้วดวงตาก็ปรากฎแววตกใจหวาดผวาสุดขีด

 

“คุณหนู ท่าน…ท่านไปได้มันมาได้อย่างไรเจ้าคะ? รีบเอาไปคืนนะเจ้าคะ!”

 

แม่บ้านหลี่ชี้ไปที่ป้ายราวกับเห็นวิญญาณ นางรู้จักว่ามันคืออะไร

 

ซูหลี่เห็นปฏิกิริยาของแม่บ้านหลี่แล้วก็มีสายตาล้ำลึกขึ้น นางพลิกด้านหลังแผ่นป้ายและเอ่ยตอบ “ข้าจะขโมยมันมาได้อย่างไรล่ะจ๊ะ? ท่านคิดว่าคุณหนูของท่านโง่พอที่จะพาท่านมาที่นี่โดยไม่ใส่ใจอะไรเลยงั้นหรือ?”

 

เห็นคำว่า ซูหลี่ อยู่บนหลังป้ายแล้ว แม่บ้านหลี่ก็อึ้งงัน ในตอนนั้นเอง คำสองคำก็เหมือนจะแล่นเข้ามาในหัว มันไหลไปทั่วร่างและลอยออกจากส้นเท้า ร่างกายครึ่งหนึ่งของนางชาวาบ

 

เหตุใดคุณหนูถึงกลายเป็นอาจารย์ชั้นเรียนพิเศษได้หลังจากที่ไม่ได้เห็นนางเพียงแค่วันเดียว?

 

ตำแหน่งนั้นคืออาจารย์ชั้นเรียนพิเศษเชียวนะ ทั้งโรงเรียนชิงเหอมีไม่ถึงสิบคนเท่านั้น! มีอาจารย์กี่ท่านในโรงเรียนชิงเหอ? แค่สำนักวรรณกรรมสตรีก็มีศิษย์หญิงอยู่เกือบแปดสิบคนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอีกสี่สำนักที่เหลือเลย

 

นางกำลังฝันอยู่หรือเปล่านี่?

 

แม่บ้านหลี่หยิกแก้มตัวเองอย่างแรงและส่งเสียงร้องดีใจในครู่ต่อมา

 

“โอ๊ยเจ็บ! คุณหนู ข้าจะเก็บของเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ!”

 

หลังรับสารแล้ว แม่บ้านหลี่ก็พลันหน้าแดงก่ำและออกเดินอย่างเร็วรี่ จนเสี่ยวหวูกับต้าเทียนต้องมองตาม

 

“พี่ชาย ท่านเห็นโลกภายนอกมาแล้ว อะไรคือป้ายหรือขอรับ?” ต้าเทียนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

 

เสี่ยวหวูอึกอักในทันที เขาไม่รู้จักมันหมือนกัน แต่เพื่อจะแสดงภูมิความรู้ต่อหน้าน้องชายของเขา เขาก็เอ่ยขึ้นมาทันที “เจ้าโง่! ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย อาจารย์ซูอาศัยอยู่ในสถานที่หรูหราเช่นนี้ นางก็ต้องเป็นอาจารย์ชั้นเอกน่ะสิ!”

 

“ข้ารู้สึกว่านางไม่ได้อยู่ในฐานะนั้นนะขอรับ”

 

ก่อนที่ต้าเทียนจะพูดจบ เขาก็ถูกเสี่ยวหวูเขกศีรษะ พร้อมกับเสียงพี่ชายลอยมา “ไม่เหมือน? ไร้สาระ! เราถามเรื่องนี้ได้ด้วยเรอะ? รีบทำความสะอาดนอกชานกับข้าเร็วเข้า!”

 

อีกสองสามวันต่อมา โรงเรียนสตรีชิงเหอก็ตกอยู่ในความเงียบสงบอย่างยิ่ง

 

ด้วยความสามารถของนาง เม่ยรั่วหานก็ได้กลายเป็นศิษย์ชั้นตรีของโรงเรียนสตรีชิงเหอสำเร็จ ด้วยอายุเท่านี้แล้วนางก็แจ้งเกิดในเมืองมู่หยาง แต่เมื่อนางมาถึงมณฑลชิงเหอ นางก็พบว่านางเป็นเพียงหนึ่งในศิษย์ธรรมดาที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย

 

เป็นครั้งแรกที่นางจมอยู่กับความรู้สึกนี้ เม่ยรั่วหานไม่เพียงรู้สึกเคว้งคว้างแต่ยังบังเกิดความมุมานะในใจมากขึ้น เป็นเรื่องดีแล้วที่จะมีเป้าหมายเช่นนี้ ตอนที่นางอยู่ในเมืองมู่หยาง นางได้สูญเสียทิศทางของตัวเองไป ทำให้การพัฒนาของนางเป็นไปอย่างล่าช้า

 

“ตอนนี้ซูหลี่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ? ข้าไม่ได้ยินข่าวของนางมาหลายวันแล้ว ข้าอยากรับรู้ความเป็นไปของนางบ้างจังเลย”

 

เม่ยรั่วหานถือพจนานุกรมแห่งต้าฮั่นปกสีดำในมือและอดไม่ได้ที่จะกระซิบรำพึง

 

นอกจากเม่ยรั่วหานแล้ว หนิงฉิง เฟิงฉิงรู่ และอู่ชูฉินก็แอบตั้งคำถามถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าพวกเขาจะตั้งคำถามมากเท่าใด ซูหลี่ก็เหมือนจะหายตัวไป ในสำนักไม่ปรากฎตารางการสอนของนางเลย และไม่มีใครรู้ถึงที่พำนักแน่ชัดของนาง

 

“เกิดอะไรขึ้น? ไม่มีใครหานางเจอเลย นางไม่ต้องการจะเข้าสอนงั้นหรือ?”

 

อู่ชูฉินรู้สึกถูกข่ม แต่นางก็ไม่กล้าถามเวินรั่วหมิน จึงได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ

 

“ท่านพ่อ ทำไมท่านไม่ถามล่ะเจ้าคะว่าตอนนี้ซูหลี่อยู่ที่ไหน?”

 

ในเรือนพัก หนิงฉิงอดไม่ได้ที่จะพร่ำบน หลายวันมานี้นางค้นหาทั้งเรือนชั้นตรีและเรือนชั้นโท แต่ก็ไม่พบซูหลี่ ในฐานะอาจารย์ประจำชั้นโท นางจึงไม่สามารถเข้าไปในเรือนชันเอกได้ ช่างเป็นเรื่องยากลำบากโดยแท้

 

หนิงอวิ๋นจื่อหัวเราะและเอ่ยตอบ “เจ้าไม่จำเป็นต้องหานางหรอก ตอนนี้นางสบายดี นางไปที่หอสมุดทุกวัน เจ้าถึงหานางไม่พบอย่างไรล่ะ”

 

“นางเป็นอาจารย์ประสาอะไรกัน? ในสำนักไม่มีชั้นเรียนที่นางต้องสอนหรืออย่างไร?”

 

หนิงฉิงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย เป็นเวลาสามวันแล้ว สามวันที่ไม่ได้เข้าสอน…นางกลายเป็นอาจารย์ประจำชั้นเอกแล้วจริง ๆ หรือ? เพราะอาจารย์ชั้นโทจะต้องเข้าสอนอย่างน้อยสองวิชาภายในสามวัน ซูหลี่ไม่ได้เข้าสอนวิชาไหนเลย ซึ่งนั่นก็พิสูจน์สมมติฐานของนางแล้ว

 

แต่หนิงอวิ๋นจื่อกลับส่ายหน้าและเอ่ยตอบ “เดี๋ยวอีกไม่นานเจ้าก็รู้เองล่ะ ตอนนี้อย่าถามมากเลยจะได้ไม่เป็นการรบกวนซูหลี่”

 

หนิงฉิงขนลุกชันในทันที ความเห็นของบิดานางแสดงให้รู้ว่านางไม่ได้อยู่ชั้นเอง ถ้าอย่างนั้น…?!

 

นางไม่กล้าคิดอะไรลึกซึ้งมากกว่านี้แล้วก็เดินหนีไป หากการคาดเดาของนางถูกต้อง ซูหลี่จะต้องสร้างความปั่นป่วนอย่างใหญ่หลวงให้กับโรงเรียนหลังจากที่ข่าวคราวแพร่สะพัดออกไปแน่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบิดาจึงไม่บอกนางสักคำ

 

อีกด้านหนึ่ง เฟิงฉิงรู่เข้าพบกงเซียงจวินและจากไปด้วยสีหน้าตื่นตกใจแกมปิติยินดี นางไม่คิดเลยว่าทักษะการปักของซูหลี่จะล้ำเลิศยิ่งกว่าที่นางเห็นเสียอีก

 

ในวันที่หก อาจารย์วิชาหัตถกรรมแห่งโรงเรียนสตรีทุกคนต่างเริ่มอยู่ไม่สุข เพราะพวกนางไม่เห็นตัวซูหลี่เลยในหกวันที่ผ่านมา

 

“ซูหลี่…บางทีอาจเป็นเพราะงานปักชิ้นนั้นก็ได้ นางถึงถูกอาจารย์ใหญ่กงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเพราะคิดว่ามันหาราคาไม่ได้จนต้องออกจากโรงเรียนไป ใช่หรือไม่?”

 

“ข้าเองก็ค้นเรือนอาจารย์ประจำชั้นเอกแล้วแต่ก็ไม่พบนางเลย!”

 

“ในสองวันที่ผ่านมาไม่มีชื่อของนางอยู่บนตารางเรียนด้วยซ้ำ อย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วยว่านางมีชื่อเสียงไม่ถึง ฟังดูเสแสร้งไม่ใช่น้อยที่บอกว่าตัวเองเป็นช่างปักฝีมือยอดด้วยอายุเพียงสิบห้าปี!”

 

ประโยคสุดท้ายมาจากปากของอู่ชูฉินอย่างมั่นใจ ในสองสามวันมานี้นางรู้สึกไม่สบายใจนัก ราวกับว่านางกำลังอยู่บนรถไฟเหาะ แต่โชคดีที่นางยังเป็นผู้ชนะ!

 

เมื่อเฟิงฉิงรู่กับหนิงฉิงได้ยินคำพูดของอู่ชูฉิน พวกนางก็ถึงกับยกยิ้มเล็กน้อยและเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับนาง พวกนางรอที่จะเห็นปฏิกิริยาของอู่ชูฉินในวันพรุ่งนี้แทน

 

ในเย็นของวันที่เจ็ด อู่ชูฉินกับเพื่อนร่วมงานมาที่ห้องจัดตารางเรียนเพื่อนั่งคอยหลังเลิกชั้นเรียน

 

ในโรงเรียนสตรีชิงเหอมีการทำงานร่วมกันอย่างแน่นแฟ้น เวลาของอาจารย์ทุกคนไม่ได้ถูกจำกัด ดังนั้นชั้นเรียนในแต่ละวันจึงถูกจัดสรรค์ไว้เป็นการชั่วคราวและปล่อยยาวในตอนเย็น อู่ชูฉินกับคนอื่น ๆ ต่างนั่งรอดูตารางสอนในวันพรุ่งนี้

 

“ชูฉิน ท่านจะได้ผ่านบททดสอบอาจารย์ชั้นโทแล้ว ท่านจะไม่ได้สอนหนักทุกวัน ข้าล่ะอิจฉาท่านจริง ๆ”

 

“ยินดีด้วยนะ ชูฉิน!”

 

ได้ยินคำชมจากอาจารย์รอบด้านแล้ว อู่ชูฉินก็ยิ้มและเอ่ยขอบคุณพวกเขา คุณสมบัติในวัยของนางนับว่าเพียงพอแล้ว มันเป็นรางวัลที่ได้เป็นอาจารย์ประจำชั้นโท ที่ไร้ข้อกังขาใด ๆ คือ นางมีอายุเกือบสี่สิบปีแล้วและไม่อาจทานทนต่อความเหนื่อยล้าจากการเข้าสอนทุกวันได้

 

กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินมาอยู่ตรงหน้าห้องจัดตารางสอน เมื่ออู่ชูฉินปรากฏตัว นางก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนจำนวนมากทันที บวกกับประสบการณ์ในการทดสอบบทเรียน นี่ก็เป็นครั้งที่สองที่นางต้องเผชิญกับภาพแบบนี้อีกครั้ง

 

“ผลการสอบอาจารย์ประจำชั้นโทของข้าออกมาหรือยัง?!”

 

อู่ชูฉินรู้สึกยินดี นางเดินอย่างรวดเร็วและเบียดฝ่าเข้าไปจนถึงด้านหน้าของฝูงชน

 

ความจริงแล้วนางไม่จำเป็นต้องเบียดเข้าไปเลย เมื่อนางเดินเข้าไปดูตารางการสอน ทุกคนต่างหลีกทางให้นางโดยอัตโนมัติ สีหน้าเหล่านั้นเต็มไปด้วยแววพิกลที่ไม่อาจอธิบายได้ แต่โชคร้ายที่อู่ชูฉินยังอยู่ในอาการดีใจเนื้อเต้นจนไม่ได้สังเกตพวกเขา

 

เมื่อนางเบียดฝ่าไปจนถึงแถวด้านหน้า นางก็พลันเห็นชั้นเรียนทั้งหลายที่ถูกกาไว้บนตารางสอนด้วยตัวอักษรสีแดงสด

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด