ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD – บทที่ 62 จีเฉิงเสวี่ยบอกลา
นายท่าน: ปู้ฟาง
เพศ: ชาย
อายุ: 20 ปี
ระดับพลังปราณเที่ยงแท้: ระดับสาม (ท่านสามารถรวมพลังปราณเที่ยงแท้ไว้ภายนอกร่างได้แล้ว ในฐานะพ่อครัวเทพในโลกแห่งจินตนาการ ท่านจะต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการประกอบอาหาร ตั้งใจฝึกฝนเข้าละ พ่อหนุ่ม)
พรสวรรค์การทำอาหาร: ยังไม่เปิดใช้งาน
ทักษะ: ทักษะการใช้มีดฝนดาวตกระดับหนึ่ง (52/100)
อุปกรณ์: ชิ้นส่วนของชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ (3/4)
คะแนนรวมการเป็นพ่อครัวเทพ: พ่อครัวฝึกหัด (ในที่สุดท่านก็สามารถใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำอาหารได้ จงฝึกทักษะการใช้มีดต่อไป แล้วเส้นทางการเป็นพ่อครัวเทพจะเปิดออกให้ท่านก้าวเดินสักวันหนึ่ง ตั้งใจฝึกฝนเข้าละ พ่อหนุ่ม)
ผลประกอบการสะสมตอนนี้อยู่ที่สองพันแปดร้อยแปดสิบผลึก สัดส่วนการแปลงผลึกเป็นพลังปราณเที่ยงแท้: 720/1000
ระดับของระบบ: สามดาว (สัดส่วนการแปลงหน่วยอยู่ที่ร้อยละยี่สิบห้า ลูกค้าสามารถนำวัตถุดิบที่ต่ำกว่าระดับสี่มาเองได้)
ปู้ฟางงัวเงียลุกออกจากเตียงในเช้าวันต่อมา พลางดูหน้าต่างระบบไปด้วยขณะล้างหน้าล้างตา
หลังจากที่เห็นสัดส่วนการแปลงผลึกเป็นพลังปราณ เขาก็รู้แล้วว่าตนเองกำลังจะบรรลุขั้นปราณอีกครั้งเร็วๆ นี้ ตอนนี้เขามีปราณอยู่ที่ระดับสามขั้นคลั่งยุทธการ หากเขาสะสมพลังได้ครบพันผลึก ก็จะได้พลังปราณระดับสี่ขั้นจิตยุทธการมาครอบครอง จากนั้นความสามารถในการควบคุมพลังปราณเที่ยงแท้ของเขาก็จะเยี่ยมยอดขึ้นอีก
“ไอ้ชุดอุปกรณ์นี่มันคืออะไรกันนะ… ข้าละสงสัยเสียจริง แต่ตอนนี้ก็เก็บได้สามในสี่แล้ว พอบรรลุปราณอีกขั้น ข้าคงได้อุปกรณ์ครบชุดแล้วละมั้ง” ปู้ฟางพึมพำขณะเดินลงมายังชั้นล่าง
เขาเดินเข้าครัวไปเพื่อเริ่มฝึกหั่นหัวไชเท้าประจำวัน
พอฝึกเสร็จ ปู้ฟางก็เดินไปที่ทางเข้าร้านแล้วนำไม้กระดานปิดประตูออก อากาศภายนอกเย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม ลมหนาวที่เข้ามาปะทะใบหน้าทำให้รู้สึกเสียวสันหลังเล็กน้อย
ปู้ฟางหันไปมองเจ้าดำที่ยังคงนอนหลับอยู่ จากนั้นก็เดินกลับเข้าครัวไปฝึกทำอาหารต่อ ไม่นานนักกลิ่นหอมฟุ้งของซี่โครงเปรี้ยวหวานก็โชยออกมา
“ได้เวลาอาหารแล้ว เจ้าดำ” ปู้ฟางวางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานลงตรงหน้าเจ้าดำ เจ้าสุนัขกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
เจ้าอ้วนจินและสหายมาแต่เช้าเหมือนเดิมแล้วจากไปหลังกินอาหารเช้าเสร็จ การมากินข้าวที่ร้านของปู้ฟางกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว แม้อาหารของชายหนุ่มจะราคาแสนแพง แต่เจ้าอ้วนจินเป็นถึงเศรษฐีใหม่… แน่นอนว่าเขามีเงินจ่าย
เซียวเยวี่ยไม่ได้กลับมาอีกหลังจากที่ถูกซัดปลิวออกจากร้านด้วยการจามของเจ้าดำ ราวกับว่าชายหนุ่มได้อันตรธานหายไปจากนครหลวงเรียบร้อยแล้ว ทว่าปู้ฟางก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย อย่างมากก็แค่รู้สึกเสียดายลูกค้าเท่านั้น
ลมที่หนาวจนสันหลังแข็งของฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยในตรอก จีเฉิงเสวี่ยในชุดขาวค่อยๆ มุ่งหน้ามาที่ร้าน ผิวขาวใบหน้าอ่อนโยน รวมถึงดวงตาหรี่เล็กทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“เถ้าแก่ปู้ อรุณสวัสดิ์” จีเฉิงเสวี่ยทักทายปู้ฟางอย่างอ่อนโยน ส่วนอีกฝ่ายก็พยักหน้าอย่างเฉยเมยเพื่อตอบรับว่าได้ยินแล้ว
“ท่านพี่องค์ชาย เหตุใดวันนี้จึงมาเช้าจังเจ้าคะ” โอวหยางเสี่ยวอี้ถามจีเฉิงเสวี่ยผู้สูงศักดิ์ที่เพิ่งเดินเข้าร้านมานั่งด้วยสีหน้างุนงง
จีเฉิงเสวี่ยลูบศีรษะเสี่ยวอี้แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ข้ามากินอาหารของเถ้าแก่ปู้อย่างไรเล่า”
“วันนี้จะกินอะไร” ปู้ฟางถาม
“ข้าขออย่างละจานก็แล้วกัน หลังจากนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กินอาหารฝีมือเถ้าแก่ปู้อีกหรือไม่” จีเฉิงเสวี่ยพูดพร้อมถอนหายใจ
“หืม เกิดอะไรขึ้นกัน” ปู้ฟางถามอย่างงุนงง โอวหยางเสี่ยวอี้เองก็มองจีเฉิงเสวี่ยด้วยความสงสัยเช่นกัน
จีเฉิงเสวี่ยหลุบตาลงต่ำเล็กน้อยพร้อมเอื้อนเอ่ย “ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องในครอบครัวน่ะ ข้าต้องออกจากนครหลวงพรุ่งนี้แล้ว ส่วนจะได้กลับมาเมื่อใดนั้น ตัวข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว ขอเวลาสักครู่” ปู้ฟางพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์แล้วเดินกลับเข้าครัวไป เขากลับมาพร้อมสุราหัวใจหยกเยือกแข็งหนึ่งเหยือก จากนั้นก็โยนเหยือกนั้นไปให้จีเฉิงเสวี่ย
องค์ชายสามสะดุ้งแต่ก็รับเหยือกไว้ได้ เขายิ้มอ่อนโยนแล้วเปิดผ้าคลุมเหยือก รินสุราลงจอก
ปู้ฟางเองก็รินให้ตนเองจอกหนึ่งเช่นกัน ทั้งสองยกจอกขึ้นชนกันดังกริ๊ก “ข้าขออวยพรให้เจ้าเดินทางปลอดภัย”
“ฮ่าๆๆ ขอบคุณ วันนี้เลี้ยงข้าหน่อยไหมเล่า หรือว่าจะลดราคาให้แทนก็ได้” จีเฉิงเสวี่ยดื่มสุราหมดจอกในอึกเดียวแล้วเริ่มหัวเราะคิกคัก
ปู้ฟางมองหน้าองค์ชายสามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่”
จากนั้นเขาก็เดินเข้าครัวไปแล้วเริ่มทำอาหารรายการอื่น
เสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกลจากทางเข้าตรอก จากนั้นร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้น
“องค์ชายนี่ช่างรอบคอบนัก ท่านมาแต่เช้าเลยนะวันนี้” เซียวเหมิงโค้งคำนับจีเฉิงเสวี่ยเล็กน้อยด้วยสีหน้าเรียบเฉย เบื้องหลังเขามีเซียวเสี่ยวหลงและเซียวเยียนอวี่ยืนอยู่
สีหน้าของเซียวเยียนอวี่ดีขึ้นมากแล้ว ดูเหมือนว่าน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงจะได้ผล
“แม่ทัพเซียว ข้าทำให้ตนเองดูโง่เง่าอีกแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะจากนครหลวงไป จึงมากินอาหารของเถ้าแก่ปู้เป็นครั้งสุดท้ายก่อน จะได้ไม่คิดถึงอาหารฝีมือเถ้าแก่ปู้ระหว่างทำภารกิจ” จีเฉิงเสวี่ยหัวเราะขณะรินสุราลงจอกตัวเอง แล้วรินให้เซียวเหมิงด้วย
แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงเงียบไปสักพัก จากนั้นก็ถอนหายใจและรับจอกมาจากจีเฉิงเสวี่ย
ทั้งสองนั่งลงแล้วเริ่มดื่มด้วยกัน
โอวหยางเสี่ยวอี้บอกปู้ฟางว่าตระกูลเซียวสั่งอาหารรายการใดบ้าง และชายหนุ่มก็พยักหน้ารับรู้
อาหารหอมหวนจานแล้วจานเล่าถูกเซียวอี้ลำเลียงออกมาจากห้องครัว นำมาวางไว้บนโต๊ะ ทั้งหมดนี้จีเฉิงเสวี่ยเป็นคนสั่ง เขาดูมีความสุขกับการดื่มและกินอาหารรสเลิศ
“แม่ทัพเซียว พี่หญิงข้าเป็นอย่างไรบ้างหรือช่วงนี้” จีเฉิงเสวี่ยจิบสุราแล้วเอ่ยขึ้นมาขณะมองเซียวเหมิงด้วยสายตาอ่านยาก
เซียวเหมิงมุ่นคิวเล็กน้อยจากนั้นก็กระดกสุราหมดจอก เขาหายใจออกเบาๆ พลางพูดด้วยสีหน้าหดหู่ “นางยังคงไม่รู้สึกตัวเช่นเดิม หมอหลวงเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด นี่ก็ผ่านมาสามปีแล้ว แต่ข้ายังไม่รู้เลยว่ารู่เอ๋อร์จะตื่นขึ้นมาเมื่อใด”
“พี่หญิงข้าเป็นคนอ่อนโยนจิตใจดี สวรรค์ต้องช่วยนางอย่างแน่นอน ข้ามั่นใจว่านางจะลืมตาตื่นขึ้นมาในวันหนึ่ง” จีเฉิงเสวี่ยปลอบใจแม่ทัพ
จีรู่เอ๋อร์ภรรยาของเซียวเหมิงและมารดาของเซียวเยวี่ยเป็นพี่สาวของจีเฉิงเสวี่ย เมื่อสามปีก่อน เซียวเยวี่ยใช้เลือดจากหัวใจของมารดาตนเป็นเครื่องบูชา เพื่อให้ได้สารัตถะเที่ยงแท้แห่งวิถีกระบี่มาครอบครอง ทำให้จีรู่เอ๋อร์ตกอยู่ในสภาวะหลับไหลไม่มีวันตื่น สามปีผ่านไปก็ยังไม่มีทีท่าว่านางจะลืมตาอีกครั้ง
ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้ เซียวเหมิงแทบพลิกแผ่นดินหาผู้มีความสามารถพิเศษและแพทย์มากความสามารถมากมายในจักรวรรดิวายุแผ่ว เพื่อเชิญตัวมารักษาจีรู่เอ๋อร์ให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล
ด้วยเหตุนี้ผมของเขาจึงกลายเป็นสีขาวจากความกังวลและความเครียด สำหรับผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้เลย
“อันที่จริงข้าก็ไม่กล้าจะหวังแล้วละ แม้รู่เอ๋อร์จะไม่ตื่น แต่แค่นางยังมีลมหายใจข้าก็พอใจแล้ว วันนี้ข้ามาถามเถ้าแก่ปู้ว่าพอจะมีทางปลุกให้รู่เอ๋อร์ตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่ พอเห็นฟางเส้นสุดท้ายข้าก็อยากจะคว้าเอาไว้น่ะ” เซียวเหมิงบอกจีเฉิงเสวี่ยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเป้าหมายการมาเยือนร้านของเขาในวันนี้
จีเฉิงเสวี่ยพยักหน้าเห็นด้วย หากอาหารโอสถทิพย์ของปู้ฟางสามารถทำให้เซียวเยียนอวี่ฟื้นจากการสูญเสียพลังชีวิตขั้นรุนแรงจนเกือบถึงแก่ความตายได้ ก็มีโอกาสที่ชายหนุ่มจะปลุกพี่หญิงของเขาให้ตื่นได้เช่นกัน
ตัวเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะมีความหวัง
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเพียงดื่มสุรากันต่อไปเท่านั้น ระหว่างนั้นเซียวเหมิงก็แนะนำจีเฉิงเสวี่ยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่ต้องระวังไว้ตอนไปปฏิบัติภารกิจ
แม้จีเฉิงเสวี่ยจะเป็นองค์ชาย แต่ก็เป็นเพียงองค์ชายสาม มารดาของเขาเป็นสนมด้อยยศถาบรรดาศักดิ์ ตัวเขาเองจึงเทียบไม่ได้กับองค์ชายรัชทายาทจีเฉิงอันและอวี่อ๋องจีเฉิงอวี่ อีกทั้งจักรพรรดิยังไม่มองเขาเป็นคนโปรดด้วย หากเซียวเหมิงไม่ได้เป็นพี่เขยของเขาแล้วละก็ ป่านนี้องค์ชายสามอาจถูกองค์ชายรัชทายาทไม่ก็อวี่อ๋องลบออกจากสาแหรกตระกูลไปแล้วก็เป็นได้
นี่คือความจริงเบื้องหลังประโยคที่ว่า “เชื้อพระวงศ์ไม่มีวงศาคณาญาติ”
“ท่านต้องรักษาตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยระหว่างปฏิบัติภารกิจ จำเอาไว้แม้ฝ่าบาทจะไม่โปรดท่าน แต่ท่านก็ยังเป็นองค์ชาย” เซียวเหมิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
จีเฉิงเสวี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนกระดกสุราหมดจอก
ทั้งสองพูดคุยพลางดื่มสุรากันต่อไป ทันใดนั้นเสียงไอก็ดังมาจากด้านนอกร้าน ร่างของชายชราเยื้องย่างเข้ามาอย่างช้าๆ
ดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยและเซียวเหมิงหันไปมองผู้ที่เพิ่งมาถึงตามสัญชาตญาณ แล้วทั้งสองก็ต้องตัวแข็งทื่อ สายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อในภาพที่เห็น
…………………………………….
คอมเม้นต์