คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 248 ข้อมูลของหลัวซิง

อ่านนิยายจีนเรื่อง คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด ตอนที่ 248 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านรู้ข่าวคราวภายในดินแดนแห่งนี้มากน้อยเพียงใดรึ ?”

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบแล้วร้อย ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม หลัวซิงเกิดและโตที่ดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ อีกทั้งยังเป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้าน ฉินอวี้โม่เชื่อว่าเขาต้องรู้เรื่องราวภายในดินแดนนี้ไม่น้อยแน่

หลังจากนี้ นางกำลังจะออกเดินทางพร้อมกับเสี่ยวเหยียน แต่กลับยังไร้จุดหมาย ไม่ทราบว่าจะไปหาบิดา ณ ที่แห่งใด เพราะทั้งนางและเสี่ยวเหยียนต่างก็รู้เรื่องของดินแดนนี้น้อยมาก

ถ้าหากว่าได้ข้อมูลสำคัญจากหลัวซิงก็คงจะช่วยพวกนางได้มาก

“ก็ไม่มาก แต่ไม่ว่าแม่นางอวี้โม่อยากจะทราบเรื่องใด ขอเพียงข้ารู้ ข้าจะบอกโดยไม่ปกปิด”

หลัวซิงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม ตลอดหลายปีมานี้เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างหมู่บ้านแสงจันทร์ทำให้ไม่ค่อยรู้เรื่องภายในดินแดนอ้างว้างมากนัก

อย่างไรก็ตามเขาก็อยากจะช่วยฉินอวี้โม่ ขอเพียงเขารู้ เขาก็ยินดีที่จะช่วยไขความกระจ่างให้กับนาง

“หัวหน้าหลัวซิง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาภายในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้มีขุมกำลังใหม่เกิดขึ้นและมีการขยายอำนาจอย่างผิดปกติบ้างหรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่ไม่อธิบายหรือเผยข้อมูลอะไรออกไป นางเพียงกล่าวถามคำถามนี้

นางจำได้ว่าครั้งหนึ่งหานโม่ฉือเคยบอกว่าฉินเทียน บิดาของนางกำลังขยายอำนาจในดินแดนอ้างว้างอยู่ แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่เคยเห็นบิดาของตัวเอง แต่นางก็มั่นใจว่าเขาจะต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาและคงทำเรื่องเช่นนั้นได้แน่

ดังนั้นแล้ว ขอเพียงพวกนางหาขุมกำลังที่มีการเติบโตขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดในดินแดนแห่งนี้ในรอบสิบปีที่ผ่านมาได้ ก็น่าจะตามหาตัวฉินเทียนพบ

หลังจากที่ได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ หัวหน้าหมู่บ้านก็คิดอยู่ชั่วขณะ ไม่นานก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก

“มีขุมกำลังเช่นนั้นอยู่จริง ๆ…”

หลัวซิงเล่าเรื่องที่เขาได้ยินมาให้ฉินอวี้โม่ฟัง

ดินแดนอ้างว้างเป็นสถานที่ที่โกลาหลวุ่นวาย ขั้วอำนาจและขุมกำลังต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจอยู่ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในดินแดนอ้างว้างจะมีขุมกำลังใหญ่อยู่ทั้งหมดสิบขุมกำลัง ขุมกำลังใหญ่ทั้งสิบนั้นแข็งแกร่งและมั่นคงดั่งขุนเขา

ผู้นำของแต่ละขุมกำลังล้วนเป็นจอมยุทธ์ระดับจ้าวสุริยะทั้งสิ้น และในขุมกำลังทั้งสิบนี้ต่างก็มีจอมยุทธ์ระดับจ้าวพิภพอยู่มากมายนับไม่ถ้วน

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ขั้วอำนาจของขุมกำลังใหญ่ทั้งสิบก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

ขุมกำลัง ‘เมฆาทะยาน’ ที่แต่เดิมเคยเป็นขุมกำลังอันดับหกจู่ ๆ ก็ตกอันดับไป และถูกแทนที่ด้วยขุมกำลังหน้าใหม่ที่มีชื่อว่าขุมกำลัง ‘เสื้อคลุมทมิฬ’

หลังจากข่าวนั้นแพร่ออกมา…

ก็เกิดความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามของทั้งสองขุมกำลัง ทันทีที่ผู้นำของเมฆาทะยานทราบข่าวว่าขุมกำลังของตนเองถูกขุมกำลังหน้าใหม่แซงหน้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟและสั่งการให้บุกโจมตีขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬทันที

ผลลัพธ์คือขุมกำลังเมฆาทะยานได้รับความเสียหายอย่างหนักจนแทบไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้

เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ทำให้ขุมกำลังเมฆาทะยานตกไปจากตำแหน่งขุมกำลังใหญ่ทั้งสิบ

เนื่องจากถูกอีกฝ่ายเล่นงานอย่างหนักหน่วงทำให้ขุมกำลังเมฆาทะยานโกรธแค้นและยากจะยอมรับได้ พวกเขาทำการติดต่อกับขุมกำลังที่เป็นพันธมิตร  ขุมกำลังเหล่านั้นก็รวมไปถึงขุมอันดับที่สี่ ขุมกำลัง ‘พญายม’ ซึ่งเป็นขุมกำลังที่จูฉีสังกัดอยู่ ทั้งหมดร่วมมือกันเพื่อช่วยขุมกำลังเมฆาทะยานชิงอำนาจกลับคืนมา

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมากลับน่าตกใจยิ่งกว่าเดิม

ผู้นำของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬสามารถรับมือกับผู้นำอีกสามขุมกำลังได้ด้วยตัวคนเดียว ตลอดการต่อสู้ไม่มีแม้แต่ชั่วอึดใจเดียวที่เขาตกเป็นรอง

เมื่อเห็นท่าไม่ดี ขุมกำลังพญายมก็เกิดกลัวว่าจะเสียหายหนักจึงทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อฝ่าวงล้อมแล้วถอนทัพกลับทันที

แม้ว่าขุมกำลังเมฆาทะยานจะรู้สึกไม่ยินยอมเพียงใด แต่ก็ทราบดีว่าพวกตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬจึงต้องถอนทัพตามเช่นกัน

พลังอำนาจของเมฆาทะยานตกต่ำลงไปมากหลังจากที่พ่ายแพ้หลายครั้ง ในช่วงนั้นขุมกำลังทั้งหลายที่เคยเป็นศัตรูกับพวกเขาก็หาโอกาสจู่โจมพวกเขาซ้ำเติมเพื่อหวังจะให้สิ้นซากไป

ด้วยพลังอำนาจที่ตกต่ำของเมฆาทะยานไหนเลยจะมีพลังพอจะต้านทานได้ ภายใต้การถูกจู่โจมนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดพวกเขาก็สูญเสียพลังและอำนาจจนสิ้นหวังว่าจะกลับมาเป็นใหญ่ได้อีก

ด้วยบารมีและพลังอันโดดเด่นของผู้นำขุมกำลังทำให้เสื้อคลุมทมิฬสามารถขึ้นมาเป็นขุมกำลังอันดับที่หกได้อย่างมั่นคง ยิ่งกว่านั้น การที่พวกเขาเอาชนะขุมกำลังพญายมได้ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาเทียบชั้นได้กับขุมกำลังที่ติดอยู่ในสามอันดับแรกเลยทีเดียว

“ผู้นำของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬคือยอดฝีมือที่มีชื่ออยู่ในทำเนียบสวรรค์ เขาอยู่ในอันดับที่ห้าของทำเนียบ”

กล่าวจบหลัวซิงก็นำม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ

“นี่คือรายชื่อของผู้ที่ติดอันดับในทำเนียบต่าง ๆ กระดาษแผ่นนี้คือกระดาษมายา ซึ่งรายชื่อในนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามอันดับที่เปลี่ยนแปลงของแต่ละทำเนียบ ตราบใดที่ยังอยู่ในดินแดนนี้ แม่นางก็ควรให้ความสำคัญกับอันดับเหล่านี้ มันจะช่วยแม่นางได้มาก”

หลัวซิงยื่นม้วนกระดาษนั้นให้ฉินอวี้โม่

คุณหนูสี่ตระกูลฉินไม่ปฏิเสธน้ำใจและรับมันไว้

หลังจากได้มาแล้วนางก็คลี่ม้วนกระดาษออกดูทันที รายชื่อของผู้ที่อยู่ในทำเนียบต่าง ๆ ปรากฏแก่สายตาของนาง

รายชื่ออันดับที่ห้าแห่งทำเนียบสวรรค์เป็นของผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ อย่างไรก็ตาม บนรายชื่อกลับไม่ปรากฏนามที่แท้จริงหรือคนผู้นั้น โดยระบุไว้ด้วยชื่อ ‘ทมิฬ’ เท่านั้น

ส่วนในอันดับที่แปดของทำเนียบเป็นชื่อที่ฉินอวี้โม่ได้ยินมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาก็คือผู้นำของขุมกำลังพญายมและเป็นบิดาของจูฉี — จูอวิ๋นชาง

ส่วนในอันดับอื่น ๆ นั้น ทั้งตำแหน่งและนามของแต่ละคนถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน รวมถึงในทำเนียบพิภพและทำเนียบรุ่นเยาว์ก็มีรายชื่อของแต่ละคนรวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ ระบุเอาไว้

ตัวอย่างเช่น อันดับหนึ่งของทำเนียบสวรรค์คือชื่อของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนอ้วงว้าง ผู้นำแห่งขุมกำลัง ‘หนึ่งนภา’ — เฟิงอู๋เฉิน

อันดับที่หนึ่งของทำเนียบรุ่นเยาว์คือ — เฟิงอู๋ชาง ยอดฝีมือพรสวรรค์สูงที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพได้ตั้งแต่ตอนที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ

“หัวหน้าหลัวซิง ทั้ง ๆ ที่ทุกคนที่มีรายชื่ออยู่ในทำเนียบต่างก็มีข้อมูลระบุไว้ชัดเจน แต่เหตุใดผู้นำของเสื้อคลุมทมิฬถึงไม่มีแม้กระทั่งชื่อล่ะ ?”

แม้ว่าจะพอคาดเดาได้ว่าผู้นำของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬก็คือฉินเทียนบิดาของตนเอง ทว่าฉินอวี้โม่ก็ยังอดถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้

“ฮ่า ๆ ๆ นั่นก็เพราะว่าไม่มีผู้ใดทราบนามของผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬและไม่ทราบด้วยว่าเขามีประวัติความเป็นมาอย่างไร เขาเป็นคนที่จะสวมหน้ากากตอนปรากฏตัวเสมอ ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ด้วยเหตุนี้ทำให้แม้ว่าเขาจะมีชื่ออยู่บนทำเนียบแต่ก็ไม่ได้ใส่ชื่อจริงของเขาลงไป”

หลัวซิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม เรื่องนี้เขาเคยได้ยินมาไม่น้อยและตัวเขาเองก็ยังสงสัยในความลึกลับของคนผู้นี้

ไม่เพียงแค่ไม่มีผู้ใดเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาเท่านั้น ทว่าแม้แต่ชื่อก็ยังไม่มีผู้ใดทราบ คนผู้นี้ราวกับว่าปรากฏตัวขึ้นมาจากอากาศ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครได้ยินว่าในดินแดนอ้างว้างจะมีคนเช่นนี้อยู่  ด้วยสงครามเพียงครั้งเดียวกลับทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาได้

ในตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนยำเกรง รวมถึงอยากจะทราบถึงตัวตนของผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬกันทั้งสิ้น

เมื่อได้ยินคำอธิบายของหัวหน้าหมู่บ้าน ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าอย่างนุ่มนวล คำตอบของหลัวซิงสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก

ในตอนนี้นางมั่นใจแทบจะเต็มสิบส่วนแล้วว่าผู้นำของขุมกำลังลึกลับนี้คือฉินเทียน บิดาของนางเอง

“ขอบคุณท่านมาก”

ฉินอวี้โม่โค้งศีรษะเล็กน้อยพร้อมกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ในเมื่อรู้ข่าวนี้ นางก็มีเป้าหมายต่อไปแล้ว ไม่ว่าคนผู้นั้นจะใช่บิดาของนางหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่นางควรทำคือตามหาผู้นำของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ

“ฮ่า ๆ ๆ แม่นางอวี้โม่อย่าได้เกรงใจ เจ้าช่วยชีวิตของพวกเราชาวหมู่บ้านจันทราไว้ เพียงแค่ข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ไม่จำเป็นต้องขอบคุณเลย”

หลัวซิงยกมือขึ้นเพื่อเป็นการบอกว่าไม่จำเป็นต้องขอบคุณเขา ส่วนเรื่องที่ฉินอวี้โม่แสดงความสนใจในตัวผู้นำของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬมากอย่างผิดปกติ เขาเองก็สัมผัสได้แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไร

“หัวหน้าหลัวซิง หากข้าอยากจะตามหากลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ ข้าต้องไปตามหาในที่แห่งใดอย่างนั้นหรือ ?”

นางมีความรู้เกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้น้อยมาก และยิ่งเป็นขุมกำลังที่ลึกลับ นางก็ไม่รู้ว่าควรจะไปหาในที่ใด

“ฐานที่มั่นของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬอยู่ทางตะวันออกของดินแดนอ้างว้าง พวกเขาอยู่ภายในพื้นที่รกร้างที่เรียกว่า ‘ลู่ต้า’ หากว่าเริ่มจากจุดที่เราอยู่กว่าจะไปถึงที่นั่นแม้จะด้วยอสูรมายาที่ฝีเท้าเร็วก็ยังต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งปีครึ่ง”

หลัวซิงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นมากนัก แต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับสถานที่นั้นอยู่บ้าง เขาจึงบอกถึงสถานที่อย่างคร่าว ๆ ให้นางฟัง

เมื่อได้ยินว่าต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีครึ่ง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวสิ่งใดไม่ออก

ดูเหมือนว่าดินแดนแห่งนี้จะใหญ่กว่าที่นางคาดคิดเอาไว้มาก ตั้งแต่เหนือสุดของดินแดนไปยังดินแดนทางตะวันออกต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีครึ่ง นี่หากว่าใช้อสูรมายาที่ช้าหรือค่อย ๆ เดินทางไปก็อาจจะใช้เวลาหลายปี

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ฉินอวี้โม่ก็ยังคงต้องทำตามเป้าหมายที่วางไว้  ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเพียงใดนางก็จะต้องไปให้ถึง การใช้เวลาหนึ่งปีครึ่งในการผจญภัยหาประสบการณ์ในดินแดนนี้อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่นางคิด

ที่สำคัญ นางต้องการจะแจ้งข่าวนี้ให้หานโม่ฉือทราบก่อนจะเดินทางไปที่นั่น

หลังจากสนทนากับหัวหน้าหมู่บ้านต่ออีกสักพัก ฉินอวี้โม่ก็กล่าวอำลา

“ด้วยอสูรมายา รวมถึงความแข็งขันของท่านหัวหน้า การป้องกันหมู่บ้านคงไม่มีปัญหา ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก ไม่อาจจะอยู่นานได้”

เมื่อรู้ว่าฉินอวี้โม่มีงานสำคัญที่ต้องไปทำ หลัวซิงก็ไม่คิดจะรั้งนางไว้

“เรื่องหมู่บ้านขอแม่นางโปรดวางใจ ในเมื่อแม่นางอวี้โม่มีงานสำคัญต้องรีบออกเดินทาง ข้าก็ขอให้แม่นางโชคดี หวังว่าวันหน้าพวกเราจะได้พบกันอีก”

หลัวซิงพยักหน้า ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน

“หมู่บ้านจันทราแห่งนี้นอกจากจะเป็นบ้านของเสี่ยวเหยียนแล้ว ยังถือเป็นบ้านอีกหลังของแม่นางอวี้โม่ ถ้าหากว่าวันใดแม่นางอยากจะกลับมา พวกเรายินดีต้อนรับแม่นางทุกเวลา”

หลัวซิงกล่าวอย่างจริงใจซึ่งก็ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ไม่กล่าวสิ่งใด เพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“นี่คือแผนที่อย่างคร่าว ๆ ของดินแดนอ้างว้าง ถึงจะเก็บมันไว้กับพวกเราต่อไปก็เปล่าประโยชน์ ของสิ่งนี้น่าจะจำเป็นสำหรับแม่นางอวี้โม่มากกว่า แม้ว่ามันอาจจะมีประโยชน์ไม่มากแต่ก็อยากจะขอให้แม่นางช่วยรับเอาไว้”

ผู้อาวุโสหลิวนำแผนที่ออกมาก่อนจะส่งให้ฉินอวี้โม่

แผนที่นี้เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสหลิวบังเอิญได้รับมา แต่ตามปกติแล้วชาวหมู่บ้านจันทราแทบไม่เคยเดินทางออกไปไหนเลย ฉะนั้นในเมื่อฉินอวี้โม่กับเสี่ยวเหยียนกำลังจะออกเดินทาง ผู้อาวุโสหลิวก็เชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์กับนางมากกว่า

“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก”

ฉินอวี้โม่รับยิ้มโดยไม่ปฏิเสธ

ถ้ามีแผนที่ การเดินทางของนางจะสะดวกขึ้นมาก

“เสี่ยวเหยียน ครั้งหนึ่งแม่ของเจ้าเคยบอกกับข้าว่าถ้าเจ้าอยากจะออกตามหาพ่อของเจ้า ให้เจ้าไปที่เมืองเทียนสุ่ย ที่อยู่บริเวณใจกลางของแผ่นดิน หากว่าเจ้าโชคดีก็อาจจะได้เจอพ่อของเจ้าที่นั่น”

ป้าไชที่คอยดูแลเสี่ยวเหยียนเอ่ยถึงสิ่งที่มารดาของเสี่ยวเหยียนเคยบอกเอาไว้ ก่อนจะเข้ามาสวมกอดนางอย่างเอ็นดู

ก่อนที่เสี่ยวเหยียนจะเกิด ป้าไชกับมารดาของเสี่ยวเหยียนสนิทกันมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เสี่ยวเหยียนไม่เคยรู้มาก่อน

เสี่ยวเหยียนอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

แม้ว่านางจะไม่เคยพบบิดา ไม่รู้ว่าบิดาของตัวเองเป็นใคร เป็นคนแบบไหน มีนิสัยอย่างไร และเหตุใดถึงไม่มาอยู่กับนางและมารดา แต่ถ้ามีโอกาสนางก็อยากจะเจอเขาสักครั้ง

“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

ฉินอวี้โม่ที่ได้ยินเรื่องนี้กล่าวออกมาก่อนจะเอามือลูบศีรษะของเสี่ยวเหยียนอย่างเบามือ  นางหวังอยากจะให้เสี่ยวเหยียนได้พบบิดาของตัวเอง ให้ครอบครัวได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาวที่เทิดทูน รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสี่ยวเหยียน นางรู้สึกมีความสุขจริง ๆ

ในตอนนี้นางรู้สึกว่าตัวเองมีญาติที่แสนดีอยู่แล้ว แม้ว่าจะเจอบิดาแต่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะติดตามฉินอวี้โม่ต่อไป ฉินอวี้โม่จะเป็นพี่สาวสุดที่รักของนางตลอดไป

หลังจากกล่าวอำลากันเรียบร้อย หลัวซิงพร้อมด้วยชาวบ้านก็ออกไปส่งฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียนตรงหน้าหมู่บ้าน

ฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียนยิ้มพร้อมโบกมืออำลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะค่อย ๆ เดินจนหายลับไปจากสายตาของทุกคน

.

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด