ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – 141: อย่ารังแกคนหนุ่มสาวที่ยังอ่อนแอ

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything ตอนที่ 141 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

Chapter 141: อย่ารังแกคนหนุ่มสาวที่ยังอ่อนแอ
  ตอนนี้วังหลวงถูกปกคลุมด้วยค่ายกลหนาที่สร้างขึ้นจากพลังปราณ
  เฉินเฉินลอยอยู่เหนือวัง และมองบรรพบุรุษสำนักอู๋ซินที่ดูค่อนข้างเศร้าหมอง
  “เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนทำลายสำนักอู๋ซิน?”
  บรรพบุรุษสำนักอู๋ซินถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบจากในวังโดยไม่มีร่องรอยของความโกรธอยู่เลย
  ถ้าไม่ใช่เพราะกลุ่มยอดฝีมือที่อยู่ข้างหลังนายน้อยสำนักอสูร เขาก็คงจะพุ่งออกไปตบเฉินเฉินให้ตายแล้ว
  เมื่อได้ฟังคำถาม เฉินเฉินก็พูดอย่างใจเย็น “ตาแก่บรรพบุรุษ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ศิษย์สามคนของสาขาขัดเกลาร่างกายแห่งสำนักอสูรได้ตายที่แนวหน้าในสงครามระหว่างสองสำนัก เจ้ามีอะไรเกี่ยวข้องกับมันไหม? เจ้าสำนักบอกว่าถ้ามันเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือสำนักอู๋ซิน เขาก็จะยอมปล่อยเจ้าไปตราบใดที่เจ้ายอมพูดความจริง”
  สีหน้าของบรรพบุรุษสำนักอู๋ซินยังคงเหมือนเดิมในขณะที่เขาส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา
  “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร สงครามระหว่างสองสำนักจะไปเกี่ยวข้องกับสำนักอู๋ซินได้ยังไงกัน!?!”
  เฉินเฉินไม่ได้ประหลาดใจกับคำตอบนี้เลย เขาพูดต่อ “สมาชิกสำนักอสูรรักษาคำพูดอยู่เสมอ บรรพบุรุษ คิดว่าค่ายกลนี้จะอยู่ต่อไปได้อีกนานแค่ไหนกัน? เจ้าอยากให้สำนักอู๋ซินล่มสลายไปพร้อมกับเจ้าจริงๆเหรอ?”
  เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรพบุรุษสำนักอู๋ซินก็เงยหน้ามองและหัวเราะดังลั่นก่อนที่จะตะโกนอย่างเดือดดาล “สำนักอู๋ซินล่มสลายไปตั้งแต่ตอนที่สาขาใหญ่ของสำนักถูกทำลายแล้ว!”
  เฉินเฉินถอนหายใจในขณะที่กู่ฉินเจิ้งซึ่งอยู่ข้างหลังเขากำลังทุบหลังให้เพื่อนวดเขา
  “ตาแก่บรรพบุรุษ เจ้ารู้สาเหตุที่เจ้าทะลวงไปถึงระดับวิญญาณแก่นแท้ไม่ได้ไหม?”
  สีหน้าของบรรพบุรุษสำนักอู๋ซินแข็งทื่อและเขาก็สบถในใจ
  ‘สมองของเจ้าเด็กนี่เพี้ยนไปแล้วรึไง? ข้าเป็นเซียนชั้นสูงที่อยู่จุดสูงสุดของก่อกำเนิดวิญญาณ ข้าจะต้องให้มันมาชี้แนะแนวทางการฝึกตนของข้าไปทำไม? มันมีคนที่หน้าด้านขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย?’
  ก่อนที่เขาจะได้เถียง เฉินเฉินก็พูดขึ้นอีกครั้ง
  “ตาแก่บรรพบุรุษ เจ้าฝึกวิชาเต๋าหวังฉินระดับสุดยอด ซึ่งเน้นไปที่การตัดพันธะและลืมความสัมพันธ์ แต่ว่า ในอดีตนั้น เจ้ามีพันธะทางอารมณ์มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นสำนักอู๋ซินและฉงเย่ ดังนั้นแล้ว เจ้าจะตัดพวกมันทั้งหมดไปได้ยังไงกัน?
  เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ผู้อาวุโสสำนักอู๋ซินก็ขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร
  “บรรพบุรุษ วิธีเดียวที่เจ้าจะก้าวเข้าสู่ระดับวิญญาณแก่นแท้ก็คือการตัดพันธะทิ้งไปให้หมดและขจัดความเครียดทางอารมณ์ที่สะสมอยู่ของเจ้า ซึ่งสำนักอู๋ซินก็คือพันธะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้า”
  “ด้วยการทำลายสำนัก ข้าได้ช่วยเจ้าขจัดความเครียดทางอารมณ์ที่สะสมมา แต่ว่า การกลายเป็นคนที่ไร้หัวใจและโหดเหี้ยมอย่างสมบูรณ์นั้นจะต้องขึ้นอยู่กับเจ้า”
  “ถ้าเจ้าบอกข้าว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะยอมไว้ชีวิตเจ้า เจ้าจะได้หลุดพ้นจากสำนักอู๋ซินอย่างสมบูรณ์และไม่ต้องมีภาระกับมันอีกต่อไป เจ้าอาจจะได้ฝึกวิชาเต๋าหวังฉินระดับสุดยอดและเดินบนเส้นทางแห่งเซียนด้วยจิตใจที่สงบก็ได้”
  “ข้าคิดว่าเจ้าฟังคำแนะนำของข้าจะดีกว่านะ เจ้าจะได้ก้าวเข้าสู่ระดับวิญญาณแก่นแท้อย่างแน่นอน และเมื่อเจ้าประสบความสำเร็จในเส้นทางแห่งเซียน เจ้าก็จะพบว่าสำนักอู๋ซินและรัฐจินนั้นก็เป็นแค่แสงวาบที่ส่องเข้ามาแล้วก็ผ่านไปในหนทางแห่งเซียนเพียงเท่านั้น”
  เมื่อได้ฟังเช่นนี้ บรรพบุรุษสำนักอู๋ซินที่ฝึกวิชาเต๋าหวังฉินระดับสุดยอดก็หน้าแดงขึ้นมา
  “ทำไมกัน?”
  ‘นี่เจ้ายังคิดจะให้ข้าขอบคุณเจ้าหลังจากที่เจ้าทำลายสำนักอู๋ซินเนี่ยนะ? มันมีคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้อยู่ในโลกได้ยังไงกัน!?’
  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดเกี่ยวกับมันดู เขาก็เริ่มเหงื่อไหลอย่างกะทันหัน
  ในตอนนี้ เขาดูจะสะกิดใจกับคำพูดของเฉินเฉินแล้ว เพราะเขาค่อยๆรู้สึกเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
  ตั้งแต่แรกนั้น เขากับโจวเหรินหลงอยู่ที่จุดสูงสุดของก่อกำเนิดวิญญาณ หลังจากนั้น โจวเหรินหลงก็ได้ไปถึงระดับวิญญาณแก่นแท้ และเพื่อประโยชน์ของสำนักอู๋ซิน เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้วิธีการที่ไร้ยางอาย
  ตั้งแต่นั้นมา ระดับการฝึกตนของเขาก็ไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเลย
  ‘หรือว่า…สำนักอู๋ซินจะเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางเส้นทางแห่งการฝึกตนของข้าจริงๆ?’
  ‘เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทางซะหรอก!’
  “ตาแก่บรรพบุรุษ การแก้ไขความบาทหมางระหว่างคู่แข่งนั้นมันเป็นเรื่องยาก ถ้าเจ้าบอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น มันก็จะมีเส้นทางแห่งการฝึกตนที่กว้างใหญ่สำหรับเจ้า”
  “แต่ว่า ถ้าเจ้าไม่ยอมบอกล่ะก็… มันก็หมายความว่าพันธะที่เจ้ามีกับสำนักอู๋ซินมันแข็งแกร่งเกินไปและเจ้าก็ถูกกำหนดไม่ให้ฝึกวิชาเต๋าหวังฉินระดับสุดยอดในขั้นที่สูงขึ้นได้ ข้าไม่ได้พยายามจะสอนเจ้านะแต่ข้าแค่พยายามจะบอกว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือในยุคของตัวเองและข้าก็รู้สึกเสียดายจริงๆที่เจ้าตัดสินใจผิด สำนักอู๋ซินที่เจ้ารักนักรักหนานั้นสามารถช่วยเจ้าได้เท่านี้ล่ะ”
  ในจุดนี้เอง สีหน้าของบรรพบุรุษสำนักอู๋ซินก็ดูน่ากลัวขึ้นมาในขณะที่เขาตะคอก “เจ้าหนู! ไม่ต้องมาสร้างความสับสนให้ข้า!”
  หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เดินกลับเข้าไปในวังโดยไม่มองกลับมา
  …
  ในขณะที่มองแผ่นหลังของเขา เฉินเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
  เห็นได้ชัดว่าบรรพบุรุษสำนักอู๋ซินแค่ลังเลแต่เขาก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรเลย
  มีความเป็นไปได้อยู่แค่สองเหตุผลจากท่าทีของเขา
  เหตุผลแรกก็คือว่าสำนักอู๋ซินไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์ในวันนี้จริงๆ แต่มันมีความเป็นไปได้น้อยมากๆ ไม่อย่างนั้น บรรพบุรุษสำนักอู๋ซินคงจะไม่มีปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้
  ส่วนเหตุผลที่สองก็คือ เขาน่าจะรู้สึกว่าเขายังไม่ถึงทางตัน พูดอีกนัยนึงก็คือ เขายังมีตัวช่วยยามคับขันอยู่
  ในขณะที่คิดเช่นนี้ เงามืดก็ดูเหมือนจะเข้ามาปกคลุมหัวใจของเฉินเฉิน
  ภายในสองประเทศนี้ บรรพบุรุษสำนักอู๋ซินไม่มีอะไรให้พึ่งพาได้อย่างแน่นอน ถ้าเขาจะมีอะไร มันก็น่าจะเป็นราชสำนักของราชวงศ์เซี่ย
  “ไม่ได้แล้ว! ข้าต้องทำลายค่ายกลนี้โดยเร็วที่สุด! จะมามัวชักช้าไม่ได้แล้ว! บรรพบุรุษสำนักอู๋ซินคนนี้กำลังยื้อเวลาอยู่อย่างแน่นอน!”
  สีหน้าของเฉินเฉินเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อพูดถึงเรื่องทำลายค่ายกลแล้ว แน่นอนว่าเขานึกถึงเจ้าถั่วเขียว
  อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ เจ้าถั่วเขียวซึ่งอยู่ในถุงหนังสัตว์วิญญาณกำลังหลับอยู่ หัวกับแขนขาของมันซ่อนอยู่ในกระดองในขณะที่ร่างกายของมันนั้นถูกปกคลุมด้วยพลังปราณ
  ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่กล้าใช้เจ้าถั่วเขียวโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วนจริงๆ ไม่อย่างนั้น ถ้าเขาทำร้ายเจ้าถั่วเขียวและทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่สามารถแก้ไขได้ล่ะก็ เขาคงจะร้องไห้ไม่ออกต่อให้เขาอยากทำก็ตาม
  “ผู้อาวุโส ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะทำลายค่ายกลของวังได้?” เฉินเฉินถาม ในขณะที่มองยอดฝีมือก่อกำเนิดวิญญาณทั้งหลาย
  “ถ้าไม่หลับไม่นอนเลย ก็น่าจะใช้เวลาประมาณห้าวัน” โจวเฟิงตอบ
  “สามารถจัดการให้เสร็จในสามวันได้ไหม?”
  “มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราใช้สมบัติทำลายค่ายกลชั้นยอด แต่ว่า สำนักอสูรไม่มีสาขาที่เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลอย่างแท้จริง…” โจวเฟิงพูดในขณะที่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา
  ในตอนนี้เอง หัวหน้าสาขาหุ่นเชิดที่อยู่ใกล้ๆก็พูดขึ้น “มันไม่มีสาขาไหนในสำนักอสูรแต่ว่ามีอยู่ใน 36 สำนักของรัฐจิน มันคือสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์ที่มักจะต่อกรกับสาขาหุ่นเชิดอยู่บ่อยๆ พวกเขามีสมบัติทำลายค่ายกลที่สุดยอดมากๆอยู่ชิ้นหนึ่ง กรวยแหวกสายลม!”
  สายตาของเฉินเฉินเป็นประกายขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้
  สำนักดาบศักดิ์สิทธิ์ได้รับการสนับสนุนจากสำนักอู๋ซินและพวกเขาก็มาแทนที่สำนักดาบยักษ์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 36 สำนัก พวกเขาทรงพลังมากๆ
  เจ้าสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นคนที่โหดเหี้ยมและเจ้าเล่ห์ ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่ปล่อยข่าวว่าอาจารย์ของเขาประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดวิญญาณ ซึ่งส่งผลให้อาจารย์ของเขาถูกสำนักอู๋ซินฆ่า
  การช่วงชิงของจากคนแบบนั้นไม่ใช่งานที่ง่ายอย่างแน่นอน
  “ถ้าใช้กรวยแหวกสายลม จะใช้เวลากี่วันถึงจะทำลายค่ายกลได้?”
  เฉินเฉินถามอย่างเย็นชา
  “ของสิ่งนั้นเป็นสมบัติทำลายค่ายกลที่มีชื่อเสียงซึ่งเคยทำลายค่ายกลของสำนักอสูรมามากมายแล้ว ในความคิดของข้า มันน่าจะช่วยลดระยะเวลาในการทำลายค่ายกลให้เสร็จสิ้นภายในสามวันได้!” หัวหน้าสาขาหุ่นเชิดพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
  เนื่องจากความจริงที่ว่าค่ายกลนั้นมีความเกี่ยวข้องกับหุ่นเชิด เขาจึงเป็นคนที่รู้เรื่องค่ายกลมากที่สุดใน 36 สาขา
  อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่นั้นเขาจะยุ่งเกี่ยวกับค่ายกลเล็กๆและไม่มีอะไรที่เขาทำได้เลยกับค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้
  เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็พยักหน้าก่อนที่จะสูดหายใจเข้าไปเต็มปอดและมองดูเหล่ายอดฝีมือของสำนักอสูร
  ยอดฝีมือก่อกำเนิดวิญญาณคือกำลังสำคัญและไม่มีพวกเขาคนไหนอยากออกจากบริเวณวังเพราะพวกเขาต้องอยู่ที่นี่เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักอู๋ซินฝ่าวงล้อมออกมา
  มียอดฝีมือแก่นทองคำหนึ่งร้อยคน ซึ่งเก้าสิบหกคนได้รวบตัวกันเป็นแนวรบที่ปกคลุมท้องฟ้าเหนือวังหลวง
  พูดอีกนัยนึงก็คือ กลุ่มคนที่ว่างจริงๆนั้นเหลือแค่เซียนแก่นทองคำสี่คนและพวกนายน้อยสาขา
  เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉินเฉินก็พูดขึ้นมาในทันที “ผู้อาวุโสทุกคนคอยอยู่คุ้มกันที่นี่ ข้าจะพาเซียนแก่นทองคำสี่คนกับกลุ่มนายน้อยสาขามุ่งหน้าไปยังสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอยืมกรวยแหวกสายลมนั่น”
  หลังจากที่พูด เซียนแก่นทองคำที่ว่างอยู่สี่คนก็รีบเข้ามาอยู่ข้างหลังเฉินเฉินอย่างรวดเร็ว
  “ยืมเหรอครับ? ถ้าเกิดพวกเขาไม่ยอม…ส่งมันให้พวกเราล่ะ?” โจวเฟิงตกตะลึงมากๆ
  “พวกเราก็จะฆ่าทิ้งซะ!”
  เฉินเฉินสะบัดมือในขณะที่เขาเริ่มมุ่งหน้าไปทางสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์ และในที่สุดก็ยอมปล่อยกู่ฉินเจิ้งก่อนที่เขาจะจากไป
  เนื่องจากบรรพบุรุษสำนักอู๋ซินกำลังยื้อเวลาอยู่ เขาจึงไม่สามารถชักช้าได้เลย
  “นายน้อยสำนัก! เจ้าสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์นั่นเป็นยอดฝีมือที่เกือบจะเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดวิญญาณแล้วนะครับ!”
  ในขณะที่มองเฉินเฉินที่กำลังบินออกไปไกล โจวเฟิงก็เหงื่อไหลออกมาด้วยความกังวล
  เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง เฉินเฉินก็มองกลุ่มคนที่ติดตามเขา แล้วเขาก็ตะโกนออกมาด้วยความรู้สึกค่อนข้างภูมิใจ “เกือบเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดวิญญาณแล้วยังไงล่ะ? อย่าดูถูกพลังของคนหนุ่มสาวที่ยังอ่อนแอสิ!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด