God of illusions – ตอนที่ 42 สมดุลหรือเซียน?
God of illusions ตอนที่ 42 สมดุลหรือเซียน?
“ยุคสมัยที่สามคือยุคแห่งความสมดุล!” เล่ยซานเอ่ยเสียงทุ่มลึกต่อปายเสี่ยวเฟยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งหวังป่ายเสียวเฟยประหลาดใจเล็กน้อย
“สมดุล?”
“ใช่ โดยที่หุ่นเชิดตัวแรกจะต้องถูกปรับปรุงให้มีความสามารถดีที่สุด หุ่นเชิดที่เหลือล้วนเป็นหุ่นเชิดต่างๆ นานาเพื่อไว้รับมือกับสถานการณ์ในหลายรูปแบบ คือการเพิ่มโอกาสเอาตัวรอดในการต่อสู้นั่นเอง”
“ยุคสมัยสมดุลแตกต่างจากยุคสมัยแรกเริ่มที่ผสมปนเปมั่วไปหมด ในขณะเดียวกันก็ดึงเอาจุดเด่นของยุคสมัยจี้เซียนไว้ด้วยนี่เป็นวิธีเลือกใช้หุ่นเชิดของคนส่วนใหญ่”
“อีกอย่างมันไม่ใช่ปัญหาที่นักเชิดหุ่นคนใดคนหนึ่งจะเติบโตถึงระดับปรมาจารย์ และหุ่นเชิดที่ปรมาจารย์คนหนึ่งจะมีได้มากสุดคือห้าตัว เพียงห้าตัวก็พอให้ชดเชยข้อบกพร่องของพวกมันและทําให้เจ้ากลายเป็นนักเชิดหุ่นที่เก่งกาจได้”
ความตั้งใจของเล่ยซานไม่ยากที่จะคาดเดาเขาต้องการให้ปายเสี่ยวเฟยเลือกเส้นทางนี้แทนเส้นทางจี้เซียน
ป่ายเสี่ยวเฟยครุ่นคิดอยู่นานเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ความแน่วแน่ของเขาเกี่ยวกับการเลือกหุ่นเชิดถูกสั่นคลอน
“ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดทุกคนจึงมองสายมายาในแง่ไม่ดีนัก”ป้ายเสียวเฟยเค้นออกมาคําถามหนึ่งหลังจากนิ่งเงียบไปนานเป็นคําถามที่ไม่ว่าเขาจะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกเสียที
ในอีกด้าน หลังจากปายเสี่ยวเฟยถามออกมาทุกคนในห้องยกเว้นหลินหลีเผยสีหน้าราวกับกําลังจะบอกว่า“เจ้าเด็กเกินไป” ขนาดสือเฉินเองก็เป็นเช่นนี้
“ข้าคิดว่าสหายเจ้าช่วยตอบได้” เลยซายหันไปมองสือเฉินพลางกล่าว สือเฉินตื่นตกใจเล็กน้อย ร่องรอยความตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าองอาจของนาง
“พะ…เพราะว่า” สือเฉินไม่อาจทําใจให้เย็นลงได้จนกระทั่งมือของเสวี่ยิ่งแตะสัมผัสไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา
“สงบใจไว้ อย่าเร่งรีบ” เสี่ยยิ่งแย้มยิ้มอบอุ่นสือเฉินสงบใจลงได้ในที่สุด
“เพราะความสามารถของสายมายาจะถดถอยลงในระดับหลังๆ ภาพลวงตาปกติทั่วไปมีผลแค่เพียงจิตใจของนักเชิดหุ่นแต่การฝึกปรือวิญญาณเป็นสิ่งที่นักเชิดหุ่นทุกคนต้องเรียนรู้เมื่อนักเชิดหุ่นเก่งกาจขึ้นสภาพจิตใจของพวกเขาย่อมแข็งแกร่งดุจเหล็ก จึงเป็นเรื่องยากอย่างมากที่สายมายาจะจัดการกับนักเชิดหุ่นระดับเดียวกัน”
ผู้ใหญ่ทั้งสามในห้องพยักหน้าเห็นด้วยกับคําตอบของสือเฉินถึงแม้จะเป็นห้องเรียนคนเถื่อน ศิษย์นักเรียนในห้องก็ยังมีความรู้พื้นฐานติดตัว
แน่นอนว่าไม่นับปายเสี่ยวเฟย
“ข้าควรยอมแพ้เพียงเพราะมันอาจจะอ่อนแอในภายภาคหน้า?” ป่ายเสี่ยวเฟยมีสีหน้าประหลาด เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นเหตุผลธรรมดาเช่นนี้
“แค่นี้ไม่พอหรือ? เจ้าคงไม่ได้อยากตายใช่หรือไม่?” เฟยกวงสืออดถามออกมาไม่ได้ สุ่มเสียงโอ้อวดเกินจริงเจือปนการตักเตือน
“หากแค่เพราะเหตุผลนี้ ข้าจะไม่ยอมแพ้ในสายมายาจากคําพูดของพวกท่าน มีเพียงคนน้อยนิดเท่านั้นที่ยังเป็นนักเชิดหุ่นสายมายา ใช่หรือไม่? หากปณิธานของข้าผู้ที่นชอบสายมายาตั้งแต่เยาว์วัยสั่นคลอน เช่นนั้นคงไม่มีนักเชิดหุ่นสายมายาหลงเหลือในอนาคตอีกแล้ว”
เล่ยซานมีสีหน้าตกตะลึง
เขาเคยได้ยินคําพูดนี้มาก่อน แถมเจ้าของคําพูดยังเป็นคนใกล้ตัวของเขา แต่จุดจบของคนผู้นั้นไม่สวยเท่าไรนัก..
“การมีอุดมการณ์เป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าหนูน้อย เจ้าไม่อาจปล่อยให้จุดแข็งของเจ้าสูญเปล่าไปได้! หุ่นเชิดลอกเลียนแบบหายากกระทั่งหนึ่งร้อยปีจะเจอสักตัว เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนมากมายเพียงใดจะต่อสู้แย่งชิงตัวเจ้าหลังจากเจ้าออกจากสถาบันชิงหลัว?” เล่ยซานเอ่ยอย่างกระตือรือร้น อาจเป็นเพราะปายเสี่ยวเฟยช่างคล้ายคลึงกับคนที่เขารู้จักเหลือเกินและเขาไม่อยากให้ป่ายเสี่ยวเฟยเดินเส้นทางเดียวกับนาง หรือเขาจะหมายความอย่างที่เขาพูดและไม่อยากให้เมล็ดพันธุ์ที่อาจจะกลายเป็นตํานานเดินในหนทางที่ผิด…
“ปูเล่ย ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ข้าป่ายเสียวเฟยไม่เคยมีความคิดที่จะพึ่งพาหรือกลายเป็นมีดของผู้อื่น ข้าต้องการเพียงอิสรภาพและข้าจะไม่ทําสิ่งใดที่ขัดต่อความเชื่อนี้”คําพูดของป่ายเสี่ยวเฟยหนักแน่นเป็นอย่างมากเขาเผยให้เห็นความดื้อดึงมากกว่าสิบปีออกมา
แต่สําหรับชายชราเล่ยซานแล้ว ความดื้อรั้นนี้เป็นผลพวงจากความเยาว์วัยไม่ประสีประสาโลก
“ไอ้หนู เจ้า” เฟยกวงสือชี้นิ้วใส่หน้าปายเสี่ยวเฟยแต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยบันดาลโทสะ เลยซานห้ามปรามเขาด้วยหนึ่งสายตา
“เด็กหนุ่ม เจ้าอย่าใช้อารมณ์” ครั้นเล่ยซานสังเกตว่าวิธีทั่วไปไม่อาจโน้มน้าวป่ายเสี่ยวเฟยได้ สุ่มเสียงของเขาแปรเปลี่ยนราวกับจะใช้แผนใหม่
“อย่างไรเสียเจ้าก็เพิ่งมีเพียงหุ่นเชิดตัวเดียว ยังมีเวลาอีกนานให้เจ้าตัดสินใจ เจ้าอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ใครจะรู้ หากมีสิ่งใดที่เจ้าไม่เข้าใจหรือมีความคิดใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ
ศึกครานี้จบลงด้วยหนึ่งประโยค ทั้งเฟยกวงสือและเสวี่ยิ่งเข้าใจเป็นอย่างดีถึงน้ําหนักของคําพูดพวกนั้น เฟยกวงสือที่อยากจะสั่งสอนปายเสี่ยวเฟยสักคราเป็นอันต้องสลดลงเล็กน้อย
“ขอบใจปู อืมม เรียกปูฟังดูดีกว่าเยอะ ปูเล่ยเรียกแล้วเหมือนผู้หญิงยังไงไม่รู้” ปายเสี่ยวเฟยหัวเราะชอบใจ เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
“ฮ่าฮ่า! เรียกข้าตามที่เจ้าอยาก ข้าเบื่อหน่ายเหลือเกินกับวิธีมากมายที่ผู้คนใช้เรียกข้า ถูกเรียกว่าปูสบายใจกว่าเยอะ”
เป็นเรื่องยากในการหาใครสักคนที่มีรสนิยมเน่าเฟะเหมือนกันในชีวิต ยิ่งกับคนใหญ่คนโตด้วยแล้ว
“ปู พวกเราถือได้ว่าเป็นสหายหรือไม่?” ปายเสี่ยวเฟยเลิกคิ้วพลางพูดประโยคที่ทุกคนแทบจะสําลักน้ําลาย กระทั่งเสวี่ยยิ่งยังอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างเท่าไข่ห่านจ้องปายเสี่ยวเฟย สีหน้านางราวกับอยากบีบคอเขาให้ถึงแก่ความตาย
ตัวเล่ยซานเองยังชะงักนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวร่อเสียงดังพลางตอบกลับ ป่ายเสี่ยวเฟยถกแขนเสื้อขึ้นแสดงทีท่า “วีรบุรุษ” ของเขาโดยมีเล่ยชานนั่งอยู่บนเก้าอี้หัวเราะบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ปรบมือชอบอกชอบใจในตัวปายเสี่ยวเฟย
“ข้าช่วยเหลือเจ้าได้แต่ข้าไม่มีอิทธิพลเหนืออันดับค่าหัวที่เจ้าพูดถึง สิ่งที่ข้าทําได้คือเปลี่ยนวิธีการของเจ้า เจ้าคิดอย่างไร?” เล่ยซานเผยรอยยิ้มที่มิอาจคาดเดาหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่ วครู่เขามอบทั้งความหวังและความไม่แน่นอนให้ป่ายเสียวเฟยในเวลาเดียวกัน
“เอาสิ อย่างไรก็ยังดีกว่าถูกอัดจนเละ”
ป่ายเสี่ยวเฟยตอบรับสีหน้าผ่อนคลาย คงเป็นเพราะความเชื่อมั่นในตัวเองของเขาและนิสัยมองโลกในแง่ดี
“เจ้าจะไม่ถามหรือว่าเป็นวิธีแบบไหน?” เลยซานกะไว้ว่าจะทําเป็นเงียบขรึมตัวให้ป่ายเสียวเฟยกังขา แต่ท้ายสุดแล้วกลับเป็นเขาที่เป็นฝ่ายสงสัยแทน
“มีอะไรให้ถาม? ข้าเชื่อว่าวิธีของปูเหมาะสมที่สุด เพราะท่านก็อายุปูนนี้แล้ว หากไม่สามารถคิดวิธีที่ดีได้ ท่านคงไม่เหมาะจะเป็นเจ้าของผมหงอกท่วมหัวนั่น” คําพูดของปายเสี่ยวเฟยน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก เขาราวกับไม่รู้ จักคําว่าเกรงกลัว
“ฮ่าฮ่า! ข้าจะรอชม อย่าให้ข้าผิดหวังเสียล่ะ!”
“เจ้าเด็กเหลือขอเรียกแบบนี้ถนัดปากข้ากว่า เจ้าไม่ต้องพูดกํากวมกับข้าอีกเพราะข้าอยู่ถึงอายุปูนนี้ได้เห็นเล่ห์กลมาแล้วเยอะแยะมากมาย” เลยซานเอ่ยคําคล้ายกับที่ปายเสียวเฟยได้พูดกับเขา อากัปกิริยาของเล่ยชานบ่งบอกทุกสิ่ง
“ตามที่ท่านต้องการปู”
คอมเม้นต์