War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3398

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ ตอนที่ 3398 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 3,398 : ให้โอกาสเจ้า
  นิกายวิถีอีกา เป็นนิกายระดับ 6 สถานที่ตั้งถิ่นฐานของพวกมันอยู่ในเขตเทือกเขาอันแห้งแล้ง มองจากบนฟ้าแล้วช่างแลดูรกร้างว่างเปล่ายิ่ง
  สถานที่แห่งนี้หากมองผ่านๆแล้วเป็นดั่งสถานที่ๆกระทั่งวิหกยังไม่อยากแวะเวียนมาขับถ่าย อย่างไรก็ตามเมื่อลงมาถึงแนวเทือกเขาด้านล่าง จะเห็นโพรงถ้ำบนผนังผาสูงแห่งหนึ่ง
  และเมื่อเดินผ่านโพรงถ้ำดังกล่าวไป ก็จะเห็นพื้นที่หุบเขาอันกว้างใหญ่ที่มีค่ายกลปกคลุมให้ไม่อาจมองเห็นจากทางอากาศ มีอาคารปลูกสร้างมากมายเรียงตัว ทั้งเต็มไปด้วยความเขีวขจีเปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวา
  นี่ก็คือถิ่นที่อยู่ของนิกายวิถีอีกา
  “อาวุโส 9 ?”
  เมื่อกลุ่มนิกายวิถีอีกาที่ควบคุมตัวลี่หลัวกลับมาถึง ก็พอดีมีกลุ่มนิกายฉวินซิ่วที่ถูกพวกนิกายวิถีอีกาจับตัวกลับมาเช่นกัน
  และกลุ่มดังกล่าวก็มีศิษย์สตรีของนิกายฉวินซิ่วนับโหล ผู้นำกลุ่มของนิกายอวิ๋นซิ่วที่ถูกควบคุมตัวเป็นสตรีหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง ทว่าตอนนี้เส้นผมของนางกระเซอะกระเซิงอยู่บ้าง
  “อาวุโส 7?!”
  เมื่อเห็นสตรีสะสวยดังกล่าว ลี่หลัวได้แต่เม้มปาก ในใจรู้สึกขมขื่นนัก ด้วยไม่คิดว่าพอถูกจับมาถึงนิกายวิถีอีกา จะได้พบเจอคนอื่นๆที่ถูกพวกมันจับมาแบบนี้
  ดูเหมือนแม้คนของนิกายฉวินซิ่วจะแยกย้ายกันหลบหนี แต่สุดท้ายก็ถูกพวกมันจับตัวกลับมาไม่น้อย
  “ท่านประมุขฆ่าตัวตายแล้ว…”
  หญิงงามเอ่ยกับลี่หลัวด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน “อาวุโส 9…ท่านว่านิกายฉวินซิ่วของพวกเราไปทำเวรทำกรรมอันใดไว้? หากวันนี้ไม่ใช่เพราะข้าเป็นห่วงศิษย์น้อยทั้ง 2 ข้าคงตายตามประมุขไปแล้ว!”
  กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของสตรีสะสวยก็ดูเหมือนจะอัดแน่นไปด้วยความแค้นและความเกลียดชังฝังลึกต่อนิกายวิถีอีกา
  “ฮ่าๆๆๆ…อาวุโส 3 ท่านเก็บเกี่ยวของดีมานี่!”
  ชายชราที่เป็นคนควบคุมตัวกลุ่มผู้อาวุโส 7 ของนิกายฉวินซิ่ว พอเห็นว่าฟางจี้ อาวุโส 3 แห่งนิกายวิถีอีกาสามารถจับลี่หลัวและคนอื่นๆกลับมาได้ ก็กล่าวทักเคล้าเสียงหัวเราะทันที
  “นี่สมควรเป็นลี่หลัว อาวุโส 9 แห่งนิกายฉวินซิ่วที่ท่านประมุขหมายตากระมัง?”
  ชายชราย่ำเท้าลัดเวหามาหยุดลงเบื้องหน้าลี่หลัว ก่อนจะมองขึ้นๆลงๆ “ช่างงดงามทั้งมีรูปร่างดีจริงๆ…อย่างไรก็ตามได้ยินประมุขว่าไว้ ว่าแม่นางผู้นี้มีพรสวรรค์สูงล้ำอย่างยิ่ง”
  “พอข้าคิดว่า หลังท่านประมุขยืมท้องนางคลอดบุตรมากพรสวรรค์ได้สัก 2-3 คน วันหน้านิกายอมตะวิถีอีกาของพวกเราไม่พ้นต้องกลายเป็นนิกายระดับ 5 หรือแม้นิกายระดับ 4 ได้แน่ ข้าก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่งแล้ว!”
  ชายชรามองลี้หลัวด้วยสายตาลึกล้ำ แววตาฉายชัดถึงคววามปรารถนาอันแรงกล้า
  “อาวุโส 5 คนที่ท่านจับมาได้ก็ไม่เลวเลย”
  ฟางจี้คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวกับชายชราหลังชมดูศิษย์นิกายฉวินซิ่วที่อีกฝ่ายจับมาทั่วๆ
  สีหน้าลี่หลัวมืดลงทันที
  นางตระหนักได้แล้วว่าความคิดก่อนหน้าของนางไร้เดียงสามาก
  นางหลงคิดไปว่าประมุขนิกายวิถีอีกาต้องตาพึงใจนางเพียงเพราะรูปร่างหน้าตา แต่ไม่คิดเลยว่าทีอีกฝ่ายอยากได้ตัวนางจะไม่เกี่ยวกับรูปโฉมแม้แต่น้อย
  อีกฝ่ายต้องการตัวนางเพราะพรสวรรค์!
  ตัวนางนั้นไม่มีวันโดนอีกฝ่ายใช้งานได้แน่
  กลับกันหากอีกฝ่ายให้นางคลอดบุตรออกมาจริงๆ ถึงภายหลังฆ่านางทิ้งไปก็ยังสามารถใช้งานบุตรนางได้!
  และเมื่อเด็กน้อยไม่รู้ประสา ไม่ทราบว่าใครเป็นคนฆ่ามารดา ย่อมไม่มีวันเกลียดชังเคียดแค้นประมุขนิกายวิถีอีกาแน่นอน
  และหากเด็กสืบทอดพรสวรรค์ของนางไป ขอแค่มีครึ่งเดียว ก็จะสร้างคุณประโยชน์อันมหาศาลให้นิกายวิถีอีกา
  จังหวะนี้ลี่หลัวรู้สึกหวาดกลัวจนเหงื่อตก
  ‘โชคดี โชคดีนัก! ที่พี่เฟิงมาถึงแล้ว…’
  พอนึกถึงข้อความที่ได้รับมาก่อนหน้า ลี่หลัวก็อดระบายลมหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้ ขณะเดียวกันในใจก็เริ่มเต้นระรัวขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย ‘แถมพี่เฟิงยังบอกว่าเดินทางมาพร้อมกับเทียนเอ๋อ’
  ‘ทั้งคู่ได้พบกันแล้ว’
  ‘ที่สำคัญยังพบเจอ ซือหลิง เทียนหวู่ และพี่ใหญ่เฟิ่งแล้วอีกด้วย’
  ‘น่าตีก็แต่เทียนเอ๋อเจ้าเด็กหัวเหม็น กลับทำร้ายสะใภ้คนอื่นๆของข้าแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเป็นลูกสาวบ้านใดกันแน่ เทียนเอ๋อถึงได้ไปล่อลวงนางมาทั้งๆที่ยังไม่ได้ไปช่วยเค่อเอ๋อแบบนี้…’
  ตอนนี้ลี่หลัวไม่หลงเหลือความหวาดกลัวนิกายวิถีอีกาแม้แต่นิดเดียว เพราะนางถามมาแล้วว่าสามีของนางสามารถช่วยนางให้รอดพ้นจากมือนิกายวิถีอีกาได้หรือไม่
  สามีบอกนางด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ว่าบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะแล้ว
  นอกจากนั้นสามีนางยังบอกอีกว่า
  ลูกชายของนาง ถึงกับเป็นจักรพรรดิอมตะผู้แข็งแกร่ง!
  ‘ไม่ทันไรเทียนเอ๋อก็กลายเป็นจักรพรรดิอมตะได้…หลายปีที่ผ่านมา เทียนเอ๋อคงทุกข์ทรมานทั้งลำบากไม่น้อย’
  คิดถึงจุดนี้ ลีหลัวก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา
  ในฐานะที่เป็นมารดาของต้วนหลิงเทียน พอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ความคิดแรกขอนางไม่ใช่ยินดีกับความสำเร็จของต้วนหลิงเทียน แต่รู้สึกเศร้าและเป็นห่วงต้วนหลิงเทียน
  หลังจากนั้นไม่นาน ฟางจี้ อาวุโส 3 ของนิกายวิถีอีกา ก็ได้กล่าวว่าจะมอบศิษย์นิกายฉวินซิ่วนอกจากลี่หลัวให้ชายชราผู้เป็นอาวุโส 5 นิกายวิถีอีกา ส่วนมันจะพาลี่หลัวไปมอบให้ประมุขเอง
  “อาวุโส 9”
  พอเหล่าศิษย์ที่ถูกจับมาพร้อมกับลี่หลัว เห็นว่ากำลังจะถูกจับแยกกับลี่หลัวแล้ว สีหน้าท่าทีของพวกนางก็เปลี่ยนไปไม่น้อย
  ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกนางคุ้นเคยกับมีลี่หลัวเป็นที่พึ่งทางใจ การถูกจับมายังสถานที่ๆไม่ต่างอะไรกับถ้ำเสือแบบนี้ หากต้องมาถูกจับแยกกับลี่หลัวอีก พวกนางก็แตกตื่นเสียขวัญกันใหญ่
  พวกนางต้องการที่พึ่งทางใจ!
  “อาจารย์อา…”
  สีหน้าของเด็กหญิงเปลี่ยนไป มองจ้องลี่หลัวอย่างอาลัย นางอยากอยู่ข้างๆลี่หลัวแต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกจับแยกจากลี่หลัวทันทีที่มาถึง
  อาศัยพวกนางที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อย ย่อมไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาในสายตาคนนิกายวิถีอีกา
  หลังชายชราอันเป็นอาวุโส 5 ของนิกายวิถีอีกาพยักหน้าให้ฟางจี้ มันก็หันไปมองกล่าวกับลี่หลัวด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายก่อนใดอื่น “อาวุโสลี่หลัว ท่านไปพบท่านประมุขกับฟางจี้แต่โดยดีเถอะ ส่วนนังหนูพวกนี้ข้าจักรับไปดูแลเอง”
  “ฟางจี้”
  หลังชายชราพาตัวเหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วจากไปแล้ว พอฟางจี้ก็กำลังจะพานางไปอีกทาง ลี่หลัวก็เลือกจะลอยร่างแน่นิ่ง เพียงมองไปที่ฟางจี้พร้อมเอ่ยออกเสียงขรึมว่า “หากเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะมอบโอกาสครั้งใหญ่ให้เจ้า”
  “ปล่อยเจ้ารึ? ฝันไปเถอะ!”
  ฟางจี้อึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ส่ายหัวไปมาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงใกล้ขาดความอดทนเต็มที “อาวุโสลี่หลัว หากเจ้าไม่ยอมไปดีๆ ก็อย่าได้โทษข้าที่ลงมือ”
  “เจ้ารู้หรือไม่ว่าไฉนพรสวรรค์ของข้าถึงได้เหนือล้ำกว่าผู้ใด”
  ลี่หลัวมองลึกไปยังฟางจี้พลางถาม
  “หืม?”
  ฟางจี้ตะลึง จากนั้นก็มองถามลี่หลัวออกไปโดยไม่รู้ตัว “มิใช่มีมาแต่เกิดรึไร?”
  “มีมาแต่เกิด?”
  ลี่หลัวหัวเราะ “นี่เจ้าไม่ได้ไปสืบเรื่องข้ามาเลยหรอ? ทุกคนรู้กันดีว่าตัวข้าขึ้นมาจากระนาบโลกียะ…เจ้าบอกว่าข้าเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ระดับนี้ เจ้าล้อข้าเล่นรึเปล่า?”
  “ว่าอะไร!?”
  วาจาดังกล่าวของลี่หลัว ทำให้สีหน้าท่าทีฟางจี้เปลี่ยนไปใหญ่หลวง “เจ้า…เจ้าก็เป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มา!?”
  เหตุผลที่ฟางจี้ออกอาการตกใจยกใหญ่ เพราะตัวมันเองก็เป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาเช่นกัน และตัวมันก็ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะในระนาบโลกียะที่มันจากมาแล้ว
  อย่างไรก็ตาม อัจฉริยะในระนาบโลกียะเช่นมัน พอขึ้นสวรรค์มาก็ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้ จะรากวิญญาณก็ดี ศักยภาพร่างหรือชีพจรสวรรค์ก็ดี ล้วนด้อยกว่าผู้คนที่เกิดในระนาบเทวโลกมาก
  ในฐานะที่ตัวมันก็คือผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาเช่นกัน จึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับเหล่าผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาเหมือนกันสูงกว่าชาวสวรรค์พื้นเมืองมาก
  “อาวุโสฟางจี้ไม่เชื่อข้ารึ?”
  ลี่หลัวส่ายหัวไปมา “ในเมื่ออาวุโสฟางจี้ไม่เชื่อข้าก็แล้วไปเถอะ…เดิมทีข้าคิดจะแลกโอกาสหลบหนีโดยแบ่งปันโอกาสในการกำเนิดใหม่เสียหน่อย”
  “แต่ในเมื่ออาวุโสฟางจี้ไม่อยากรู้ เช่นนั้นก็ลืมมันไปเสีย”
  “เช่นนั้นตอนนี้อาวุโสฟางจี้ก็พาข้าไปหาประมุขนิกายวิถีอีกาเถอะ…พอข้าพบเจอประมุขนิกายวิถีอีกา ข้าจักลองเสี่ยงเอ่ยถึงเรื่องนี้กับมันสักครา”
  “แต่เป็นธรรมดาว่าหากข้าเลือกได้ก็มิอยากทำการค้ากับมัน เพราะอย่างไรคนอย่างมันพอได้ประโยชน์แล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะปล่อยข้าไป”
  “เช่นนั้นหากเลือกได้ ข้าก็อยากเลือกทำการค้ากับอาวุโสฟางจี้มากกว่า”
  กล่าวถึงท้ายประโยคลี่หลัวก็มองลึกไปยังฟางจี้
  ขณะฟังคำพูดของลี่หลัว ฟางจี้ก็เงียบไม่พูดจา เพียงจับจ้องมองสีหน้าแววตาทั้งท่าทางของลี่หลัวเขม็ง ราวกับจะหาพิรุธใดๆจากลี่หลัว “อาวุโสลี่หลัวเจ้าสมควรรู้ดี…ว่าหากไม่มีหลักฐาน ข้าก็ไม่มีทางเชื่อเจ้าหรอก”
  แม้จะเผชิญกับคำถามสืบสวนดังกล่าวของฟางจี สีหน้าลี่หลัวก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เพียงเอ่ยออกเสียงเรียบว่า “ข้าเคยพลัดหลงเข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง…ไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่นั่นช่างแตกต่างจากไอพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทวโลกมากมายนัก”
  “และใกล้ๆกับช่องทางเข้าออกสถานที่แห่งนั้น ข้าพบโครงกระดูกหนึ่ง…ในแหวนพื้นที่ของมันก็มียันต์อมตะเก็บความทรงจำเหลือทิ้งไว้ ข้าจึงได้ทราบว่าที่แท้สถานที่แห่งนั้นเรียกว่า ซากปรักหักพังของระนาบเทพ”
  “ตอนแรกข้าก็ไม่รู้หรอกว่าซากปรักหักพังระนาบเทพคืออันใด…จนเมื่อไม่นานมานี้ ตอนข้าไปทำธุระในเมืองข้าบังเอิญได้ยินยอดฝีมือคุยกันเรื่องซากปรักหักพังระนาบเทพ ทำให้ข้ารู้ว่ามันคือดินแดนที่อยู่เหนือระนาบเทวโลกของพวกเราไปอีกที และเป็นระนาบอิสระที่ถูกเปิดขึ้นโดยตัวตนที่เรียกว่า ผู้แข็งแกร่งที่สุด”
  “ระนาบเทพที่ว่า เป็นสถานที่เต็มไปด้วยตัวตนอันมีขอบเขตพลังเหนือล้ำกว่าจักรพรรดิอมตะ…ข้าได้ยินว่าที่นั่น มีตัวตนขอบเขตเทพเกลื่อนกลาด”
  “ไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่เหล่าทวยเทพใช้บ่มเพาะฝึกปรือก็แตกต่างจากไอพลังวิญญาณฟ้าดินของพวกเรามาก…ตอนข้าพลัดหลงไปที่นั่น ข้าไม่อาจดูดซับอะไรได้เลย จากนั้นข้าก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปอยู่ในครรภ์ของมารดา สุดท้ายก็เริ่มถูกไอพลังวิญญาณฟ้าดินนั่นขัดเกลาชำระ เสมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง…เรื่องนี้เป็นอะไรที่ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย”
  ลี่หลัวกล่าว
  “เนื่องจากเจ้าพบเจอสถานที่เช่นนี้…ไฉนเจ้าถึงไม่แบ่งปันกับผู้อื่นแต่แรก ไม่ใช่ว่าเจ้ากตัญญูต่ออาจารย์ในนิกายฉวินซิ่วดั่งมารดาหรือไร?”
  ฟางจี้มองจ้องตาลี่หลัวเขม็ง กล่าวถามเสียงเข้ม
  ทว่าในขณะเดียวกัน สองตามันก็ฉายแสงจ้าขึ้นมา เพราะคำพูดของลี่หลัวนั้น มันเชื่อไปหลายส่วนแล้ว
  เรื่องบางเรื่องกระทั่งนิกายวิถีอีกายังไม่รู้ ตัวประมุขเองก็ไม่น่าจะรู้ด้วยซ้ำ
  เพียงแค่ตัวมันฟางจี้ เคยได้ล่วงรู้เรื่องพวกนี้มาบังเอิญ
  และถ้าสถานที่ๆลี่หลัวกล่าวถึงเป็นซากปรักหักพังของระนาบเทพจริง ไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่นั่นก็อาจเปลี่ยนแปลงพรสวรรค์ของผู้คนได้จริงๆ
  เพราะไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่มีคุณภาพสูงขึ้น ยามเมื่อเข้าสู่ร่างกายผู้คนแล้ว ก็ย่อมปรับเปลี่ยนร่างกายผู้คนเพื่อให้เหมาะสมกับมัน เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย
  อย่างไรก็ตามฟางจี้ไม่รู้เลย
  ถึงแม้ไอพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพจะสามารถเปลี่ยนแปลงพรสวรรค์ของผู้คนได้ แต่ก็สามารถเปลี่ยนได้แต่พรสวรรค์ของทารกในครรภ์เท่านั้น
  สิ่งที่เรียกว่าทารกในครรภ์ของระนาบเทวโลกก็ตามตัว หรือก็คือผู้ที่ยังไม่ได้กลายเป็นเซียนอมตะ
  เซียนอมตะนั้นได้พัฒนาการไปแล้ว ไม่ใช่ทารกในครรภ์อะไรอีก ถึงแม้จะเข้าไปยังซากปรักหักพังของระนาบเทพ ก็ทำได้แค่ใช้พลังวิญญาณฟ้าดินในนั้นเพื่อบ่มเพาะฝึกปรือ เป็นไปไม่ได้ที่จะปรับเปลี่ยนพรสวรรค์หรือศักยภาพร่างอะไรได้อีก
  “ข้าเคยบอกกล่าวต่อท่านอาจารย์แล้ว แต่ท่านอาจารย์บอกข้าว่าท่านมีเวลาเหลือไม่มากนัก…ขณะเดียวกันก็กำชับข้าเอาไว้ ว่าอย่าได้บอกใครเด็ดขาด เพราะเรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก หากมีผู้ใดล่วงรู้ล้วนต้องฆ่าข้าเพื่อปิดปากแน่นอน จักได้ผูกขาดผลประโยชน์เลิศล้ำเพียงลำพัง รักษาความลับของซากปรักหักพังของระนาบเทพไว้กับตัว”
  พอลี่หลัวกล่าวถึงจุดนี้ นางก็มองฟางจี้ด้วยสายตาระแวดระวัง “อาวุโสฟางจี้ หากท่านคิดไปสถานที่แห่งนั้นจริงๆ ท่านต้องรับปากข้าก่อน 3 เรื่อง…หาไม่แล้ว ข้าไม่มีทางพาท่านไปที่นั่นแน่นอน”
  “ข้าไม่ต้องการตกตายอย่างโง่งมหลังพาท่านไปถึงที่นั่นแล้ว สุดท้ายก็ไม่มีใครบอกได้ว่าหากท่านล่วงรู้เรื่องนี้แล้วใช่จะไว้ชีวิตข้า ไม่ฆ่าข้าปิดปากเพื่อเก็บความลับไว้คนเดียวหรือไม่”
  สิ่งที่ลี่หลัวเอ่ยขึ้นมา ก็พอดีตรงกับสิ่งที่ฟางจี้กำลังคิดอยู่เลย…
  “เฮอะ เจ้าเห็นข้าฟางจี้เป็นคนเช่นไรกัน?”
  ฟางจี้เอ่ยออกเสียงเบา “เอาละไหนอาวุโสลี่หลัวท่านว่ามา…เรื่องที่คิดจะให้ข้ารับปาก 3 เรื่องคืออันใด?”
  “ข้ายังไม่ทันได้คิด หากเจ้าคิดจะไปที่นั่นจริงๆ เช่นนั้นระหว่างเดินทางไปข้าจะค่อยๆคิด และนึกออกเมื่อไหร่ข้าจะบอกเจ้า”
  ลี่หลัวกล่าว
  “ย่อมได้”
  แม้ปากจะกล่าวไปแบบนั้น แต่ในใจฟางจี้ตัดสินใจไปแล้ว ว่าไม่ว่าเรื่องใดที่ลี่หลัวพูด…มันจะรับปากอย่างขอไปที! รอให้พบสถานที่เข้าออกซากระนาบปรักหักพังของระนาบเทพเมื่อไหร่ มันจะฆ่าลี่หลัวเพื่อปิดปากทันที!!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด