เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 170 เพื่อนธรรมดา ของขวัญธรรมดา

อ่านนิยายจีนเรื่อง เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ ตอนที่ 170 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

อาจารย์เว่ยไม่รู้ว่าเฉินซูหลานเชิญใครมากันแน่ เมื่อได้ยินว่ามีคนยังไม่มาก็ชะงัก “เสี่ยวกู้คือใคร”

 

 

“เพื่อนคนหนึ่งของหรานหร่านน่ะ” เฉินซูหลานหรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปทางประตู พูดเสียงเบาและเชื่องช้า “ไม่รู้ว่าทำไมยังไม่มา หรานหร่าน ลองถามดูหน่อย”

 

 

ฉินหร่านถือตะเกียบไว้ เหลือบมองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง แล้วมองไปทางลู่จ้าวอิ่ง จากนั้นกดเสียงให้เบาลง “คุณยาย เรียกเขามาด้วยเหรอ”

 

 

แน่นอนว่าเขาในที่นี้ก็คือกู้ซีฉือ

 

 

พวกเฉิงเจวี้ยนอยู่ เธอจึงไม่ได้พูดชื่อของเขา

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ เสี่ยวกู้อยู่ในเมืองอวิ๋นเฉิงคนเดียว” เฉินซูหลานยิ้ม ยกมือขึ้นป้องปากแล้วไอเบาๆ แล้วพูดต่อ

 

 

ฉินหร่านยกมือขึ้นลูบคาง

 

 

“ฉันออกไปโทรศัพท์หน่อยนะ” เธอหยิบมือถือขึ้น พูดเสียงเบา

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ขยับ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เอี้ยวตัวมองเธอแวบหนึ่ง “ไปเถอะ”

 

 

เพราะมีโต๊ะสองใบ ในห้องวีไอพีจึงมีคนเดินไปเดินมาอยู่ตลอด

 

 

พอลู่จ้าวอิ่งเห็นฉินหร่านออกไป ก็ยกแก้วเหล้าออกมาจะดื่มให้เฉินซูหลานกับอาจารย์เว่ย

 

 

ดื่มเสร็จแล้วก็ไม่ยอมจากไป

 

 

นั่งลงบนที่นั่งว่างของฉินหร่าน ในมือถือแก้วเหล้า หันไปถามเฉิงเจวี้ยนว่า “ฉินหร่านยังมีเพื่อนคนไหนอีก”

 

 

เพื่อนของเธอเยอะจนรู้สึกแปลกแล้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนยื่นมือมาคีบผัก ตอบเขาอย่างไม่รีบร้อนว่า “ไม่รู้”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่ใส่ใจการตอบลวกๆ ของเขา ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดก็คือลากตัวฉินหร่านมา คุยกับเธอให้รู้เรื่องว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงเล่นไวโอลินเป็น แถมครูยังเป็นอาจารย์เว่ยอีกด้วย!

 

 

“จะว่าไปเพื่อนคนที่ยังไม่มาของเธอ ก็แซ่กู้เหมือนกัน แซ่เดียวกับศัตรูคู่อาฆาตของเจียงตงเย่” ลู่จ้าวอิ่งนั่งไขว่ห้าง โพล่งขึ้นมาดื้อๆ

 

 

แน่นอนว่า เขาเพียงแค่พูดเฉยๆ ก็เท่านั้น ไม่ได้เชื่อมโยงสองคนนี้เข้าด้วยกัน

 

 

ร่องรอยของกู้ซีฉือแปลกพิลึก ฟังจากคำบอกเล่าของเจียงตงเย่ ภูมิหลังลึกลับ สนิทสนมกับพ่อค้าเพชร ตำรวจอาชญากรรมสากลและคนของสลัมเป็นอย่างมาก

 

 

ปกติแล้วมักจะหนีหัวซุกหัวซุนไปในเขตสงครามแต่ละแห่ง ฉะนั้นครั้งก่อนที่เจอกู้ซีฉือในเมืองอวิ๋นเฉิง ลู่จ้าวอิ่งถึงได้รู้สึกว่าเหลือเชื่อ

 

 

เมื่ออาจารย์เว่ยรู้ว่ามีเพื่อนอีกคนของฉินหร่านยังไม่มา จึงเรียกอาไห่มา

 

 

อาไห่แลดูเหม่อลอยเล็กน้อย

 

 

อาจารย์เว่ยยิ้ม จากนั้นยื่นมือออกไปเคาะโต๊ะ “นายไปรอที่หน้าทางเข้าโรงแรม มีเพื่อนอีกคนของหรานหร่านยังไม่มา แซ่กู้”

 

 

“เจ้าเด็กเสี่ยวกู้คนนั้นหน้าตาดี อายุไม่มาก” เฉินซูหลานบรรยายเล็กน้อย

 

 

อาไห่พยักหน้า หันหลังแล้วเดินออกไปข้างนอก

 

 

เมื่อได้ยินว่าเป็นเพื่อนของฉินหร่าน เขาไม่กล้าชักช้า

 

 

เมื่อก่อนเขาคิดว่าเพื่อนของฉินหร่านเป็นแค่นักเรียนทั่วไป

 

 

แต่เฟิงโหลวเฉิงที่มาเยือนทำให้เขาตกใจไม่พอ เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งก็โยนระเบิดลูกใหญ่ใส่เขา

 

 

ตอนที่อาไห่กดลิฟต์ ยังครุ่นคิดอยู่ว่าในเมืองหลวงมีสกุลกู้หรือไม่

 

 

ขณะที่เขากำลังรอลิฟต์ คิดอยู่นานสองนาน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีสกุลใหญ่ที่แซ่กู้ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ผ่อนคลายขึ้นมาก

 

 

 

 

ตรงโถงทางเดินไม่มีใคร

 

 

ฉินหร่านกดวิดีโอคอลหากู้ซีฉือก่อน แต่ติดต่อไม่ได้

 

 

โทรปกติก็โทรหากู้ซีฉือไม่ติด

 

 

เขาปิดช่องทางการสื่อสารทั้งหมด

 

 

ฉินหร่านเก็บมือถือ เธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบตัว เห็นสัญลักษณ์ห้องน้ำตรงสุดทางเดิน จึงสาวเท้าเดินตรงไปทางนั้น

 

 

ขณะที่เดินก็แกะมือถือไปด้วย

 

 

บริเวณนอกห้องน้ำของชั้นบนสุดไม่มีคน

 

 

ตอนที่ถึงห้องน้ำ ฉินหร่านก็แกะมือถือเสร็จพอดี กลายเป็นโน้ตบุ๊กขนาดเล็ก

 

 

มือหนึ่งของเธอถือโน้ตบุ๊ก อีกข้างกดคีย์บอร์ด ยกขาเกี่ยวปิดประตูห้องน้ำ

 

 

ตอนที่เดินไปถึงห้องสุดท้าย ก็มีใบหน้าของกู้ซีฉือปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ

 

 

เขาสวมหมวกแก๊ปใส่ผ้าปิดปาก สวมโค้ตลายตารางขาวดำ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่งาม “ไอ้ระยำคนนั้นเอารูปฉันไปฉายบนจอโปรเจ็กเตอร์ในลานสาธารณะ ให้เงินรางวัลนำจับก้อนใหญ่! ไอ้ระยำคนนั้นมีรูปฉันได้ยังไง!”

 

 

แม้จะเป็นรูปเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็กระทบต่อการเคลื่อนไหวของกู้ซีฉือมากอยู่ดี

 

 

ฉินหร่านไม่เคยสืบเรื่องของเขา และไม่เคยค้นเรื่องของเขาเช่นกัน

 

 

ทั้งสองคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ

 

 

“นายไปทำเรื่องต่ำทรามอะไรไว้กันแน่” ฉินหร่านปิดฝาชักโครกแล้วนั่งลง เลิกคิ้ว “เขาสืบมากี่ปีแล้ว”

 

 

“ฉันทำเรื่องต่ำทรามถมเถไป สมัยที่อยู่ต่างประเทศ เจ้าพวก…” กู้ซีฉือพูดได้ครึ่งหนึ่ง ก็แก้คำพูด “เด็กอย่างเธอยุ่งอะไรเยอะแยะ”

 

 

เขากับฉินหร่านรู้จักกันทางออนไลน์ ฉินหร่านเป็นคนรับออเดอร์ของเขา

 

 

ตอนนั้นให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าฉินหร่านยังไม่บรรลุนิติภาวะ จนกระทั่งไปเมืองหนิงไห่ ถึงได้ยอมเชื่อ

 

 

“ได้ ตามใจนาย” ฉินหร่านยังคงพูดประโยคเดิม

 

 

“ฉันถึงแล้ว เอินอวี้ใช่ไหม” กู้ซีฉือดึงผ้าปิดปาก “คนแก่ที่ยืนอยู่หน้าโรงแรมเป็นคนของพวกเธอหรือเปล่า”

 

 

เขาเดินเข้าไปสองก้าว ยกมือขึ้นทักทายอาไห่

 

 

“คุณกู้ใช่ไหมครับ” อาไห่มองการแต่งตัวที่ดูแย่ของกู้ซีฉือแล้วนิ่งไปเล็กน้อย แต่ยังคงรักษารอยยิ้ม “เชิญตามผมมา”

 

 

กู้ซีฉือยังไม่ทันได้ไป เสียงของฉินหร่านก็แว่วมาจากหูฟังอย่างเชื่องช้าว่า “ฉันว่านายอย่ามาดีกว่า”

 

 

“ทำไมล่ะ” กู้ซีฉือชะงัก

 

 

“ที่นี่คนเยอะ คุณยายแทบจะเชิญทุกคนที่รู้จักในเมืองอวิ๋นเฉิงมาหมดแล้ว รู้จักเฉิงเจวี้ยนไหม ลู่จ้าวอิ่งฟังดูคุ้นหูหรือเปล่า ผู้บัญชาการเฉียนเคยได้ยินไหม เจียงหุยนายน่าจะรู้จักนะ” ฉินหร่านพูดออกมาทีละคำอย่างไม่รีบร้อน

 

 

เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งไม่ต้องพูดถึง เจียงตงเย่ปรากฏตัวก็เพราะลู่จ้าวอิ่งโทรไปหา

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนเป็นผู้บัญชาการหน่วยอาชญากรรม กำลังถูกเจียงตงเย่ก่อกวน

 

 

เจียงหุยเป็นอาของเจียงตงเย่ กองกำลังทุกคนในเมืองอวิ๋นเฉิงของเจียงตงเย่ได้มาเพราะเจียงหุยหยิบยืมให้หลานชายของเขาทั้งนั้น

 

 

หากว่ากู้ซีฉือขึ้นมาจริง ฉินหร่านกลัวว่ากู้ซีฉือจะร้องไห้

 

 

กู้ซีฉือ “…”

 

 

เขากดเสียงต่ำ “เธอรู้จักกับพวกเขาได้ยังไง”

 

 

“ต้องขอโทษด้วย ผมติดธุระด่วน ไม่ขึ้นไปแล้ว” กู้ซีฉือกดตัดสาย ล้วงถุงพลาสติกออกจากกระเป๋าโยนให้อาไห่ “รบกวนคุณช่วยเอานี่ให้เธอที”

 

 

พูดจบ ก็ไม่รอให้อาไห่ตอบ

 

 

เขากดปีกหมวกลง ราวกับมีฝูงสัตว์ป่านับร้อยตัวตามอยู่ข้างหลัง วิ่งหนีไปจากที่นี่

 

 

ไม่มีเวลาให้ตกใจแล้วว่าฉินหร่านไปอยู่กับคนพวกนั้นได้อย่างไร!

 

 

อาไห่มองร่างของกู้ซีฉือด้วยความงุนงง จากนั้นก็ก้มหน้ามองถุงพลาสติกสีขาวในมือราวกับหุ่นยนต์ สับสนมึนงงมากทีเดียว

 

 

 

 

ในห้องน้ำชั้นบนสุด ขาดการเชื่อมต่อกับกู้ซีฉือไปแล้ว

 

 

ฉินหร่านไม่ได้ออกไปทันที แต่กำลังบังคับโน้ตบุ๊กอย่างระมัดระวัง เปลี่ยนไปที่หน้าจอโค้ด

 

 

‘0’ กับ ‘1’ จำนวนมากกำลังเคลื่อนไหว ขนาดของคีย์บอร์ดกระทบต่อความเร็วของฉินหร่าน ทว่าไม่ได้กระทบมากนัก

 

 

ภาพที่เจียงตงเย่ใช้หาได้ง่ายดายยิ่งนัก

 

 

ราวๆ สามนาทีต่อมา ฉินหร่านก็ลบรูปที่ฉายในลานสาธารณะแต่ละแห่งของเมืองอวิ๋นเฉิงทิ้ง ซ้ำยังลบไฟล์ต้นฉบับในมือเจียงตงเย่ทิ้งด้วย

 

 

เธอลบทิ้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็เก็บมือถือ เปิดประตูเดินออกไปข้างนอก

 

 

ในขณะเดียวกัน

 

 

เบื้องหลังสักแห่งในเมืองอวิ๋นเฉิง เจียงตงเย่นั่งอยู่บนโซฟา เท้าวางพาดบนโต๊ะ กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ “ผู้บัญชาการเฉียนไม่อยู่งั้นเหรอ แล้วเขาจะกลับมาตอนไหน”

 

 

ปลายสายตอบมาอีกประโยค เจียงตงเย่ไม่พูดอะไร เขากดตัดสาย “ซวยอะไรขนาดนี้ ออกงานพร้อมกันหมดเลยหรือไง”

 

 

ข้างๆ เป็นเจ้าหน้าที่ไอทีที่เจียงหุยส่งมาให้เขา กำลังนั่งอยู่หน้าคอม

 

 

บนหน้าจอคอมก็คือรูปใบนั้นของเจียงตงเย่ เขากำลังฉายมันออกไปทุกช่องทาง

 

 

ทันใดนั้น…

 

 

หน้าจอคอมกลายเป็นสีฟ้าครู่หนึ่ง ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็กลับมาสว่างเช่นเดิม

 

 

หน้าจอคอมสะอาดสะอ้านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่รูปใบนั้นของกู้ซีฉือหายไปแล้ว

 

 

ขณะเดียวกัน หน้าจอคอมก็ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ ขณะที่เจ้าหน้าที่ไอทีกำลังสงสัยว่าหน้าจอคอมเป็นจอดำไปแล้วหรือไม่ ก็มีตัวอักษรสีขาวหวัดๆ ปรากฏขึ้นใจกลางหน้าจอ…

 

 

‘อวดดี!’

 

 

“เกิดอะไรขึ้น” เจียงตงเย่จ้องอักษรเหล่านั้น ปากคาบบุหรี่ แน่นิ่งไปแล้ว

 

 

สุดท้ายก็บดกราม อวดดีเหลือเกิน

 

 

นอกจากกู้ซีฉือแล้ว สักวันเขาจะจับคนที่อยู่เบื้องหลังกู้ซีฉือให้ได้ด้วยเหมือนกัน!

 

 

เจ้าหน้าที่ไอทีอ้าปากค้าง “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณชายเจียง คุณลองดูหน่อยว่ายังมีรูปของกู้ซีฉืออีกไหม”…

 

 

ตอนที่ฉินหร่านกลับมาที่ห้องวีไอพี อาไห่ก็กลับมาแล้ว

 

 

“คุณกู้คนนั้นติดธุระ เลยกลับไปก่อนแล้ว” เขาพูดกับอาจารย์เว่ยและเฉินซูหลานก่อน

 

 

เฉินซูหลานมองออกไปนอกประตู แลดูเสียดายนิดหน่อย “เด็กคนนี้ รีบมารีบไป วันๆ เอาแต่ไปตรงนั้นทีไปตรงนี้ที…”

 

 

“คุณยาย กินข้าวเถอะ” ฉินหร่านดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง คีบผักใส่ถ้วยของเธอ

 

 

อาไห่หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วยื่นของที่กู้ซีฉือฝากมาให้ฉินหร่าน “คุณหนูฉิน นี่เป็นของขวัญที่คุณกู้ฝากผมก่อนไป ให้ผมเอามาให้คุณ”

 

 

เสียงดังกรอบแกรบ

 

 

เขายื่นถุงพลาสติกในมือให้ฉินหร่าน

 

 

คำว่า ‘ห้างสรรพสินค้าหัวเหม่ย’ บนถุงพลาสติกชัดเจนยิ่งนัก

 

 

เป็นถุงพลาสติกสีขาวที่มีขนาดใหญ่มาก แต่ของอยู่ตรงมุมถุง ขนาดใหญ่เท่าไข่ไก่

 

 

บนโต๊ะล้วนเป็นคนที่หูตากว้างขวาง

 

 

เมื่อเห็นถุงพลาสติกสีขาว ต่างก็โล่งใจ

 

 

ติดดินแบบนี้สิ ค่อยสมกับเป็นเพื่อนของฉินหร่านหน่อย

 

 

หลินซือหรานที่นั่งอยู่อีกทางน้ำตาคลอเบ้า เธออาศัยโอกาสนี้ หยิบขวดที่ใส่หญ้าออกมาจากกระเป๋า

 

 

“หรานหร่าน อันนี้ให้เธอ” ยังคงเป็นขวดแก้วขนาดเท่านิ้วโป้งเหมือนเดิม

 

 

ข้างในเป็นหญ้าเขียวชอุ่ม สิ่งที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้คือ ยอดหญ้ามีสีแดงระเรื่อ

 

 

หลินซือหรานเดินไปข้างฉินหร่าน กระซิบบอกเธอ

 

 

ฉินหร่านรับมาดูแล้วหันหน้าเล็กน้อย “ขอบคุณนะ”

 

 

คนอื่นบนโต๊ะต่างก็เห็นการกระทำของหลินซือหราน แต่ของของพวกเด็กผู้หญิงพวกเขาไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก

 

 

มีแค่เฉินซูหลานที่ยิ้ม จากนั้นชี้ไปที่ขวดแก้ว ชมว่าหญ้าต้นนั้นสวย

 

 

“ทำไมเพื่อนของคุณหนูฉินถึงได้ให้ของปลอมกับเธอในโอกาสแบบนี้กันนะ” เฉิงมู่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง พึมพำกับลู่จ้าวอิ่งเสียงเบา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเห็นพานหมิงเยว่เอาแต่ก้มหน้าอยู่ตลอด ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร

 

 

เขาเอนตัวพิงพนักแล้วยิ้ม พูดอย่างไม่ค่อยยี่หระว่า “ผู้หญิง ก็แบบนี้แหละ”

 

 

มีแค่เฉิงเจวี้ยนที่มือพาดอยู่บนที่วางแขน หรี่ตามองขวดของฉินหร่านแวบหนึ่ง จากนั้นเบนสายตาไปที่หลินซือหรานด้วยสีหน้าไม่บอกอารมณ์

 

 

เคาะโต๊ะทำท่าครุ่นคิด

 

 

…งานไหว้ครูมีขั้นตอนเยอะมาก

 

 

แม้อาจารย์เว่ยตั้งใจจะไปจัดที่เมืองหลวงอีกครั้ง แต่กับงานในเมืองอวิ๋นเฉิงเขาก็ไม่ละเลยแม้แต่นิด ขั้นตอนที่ควรมีก็ไม่ขาดเลยแม้แต่ขั้นตอนเดียว

 

 

อาไห่ปิดประตูห้องวีไอพี

 

 

เพื่อนแซ่กู้คนนั้นของฉินหร่านไม่มา เฉินซูหลานก็ไม่พูดว่ายังมีเพื่อนคนอื่นอีก

 

 

อาไห่นับจำนวนคนคร่าวๆ นอกจากคุณกู้คนนั้น คนอื่นก็มากันครบหมดแล้ว

 

 

เขายืนอยู่ข้างอาจารย์เว่ย คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของโต๊ะทั้งสองตัว สุขุมรอบคอบ ควบคุมไม่ให้สายตาของตัวเองมองสะเปะสะปะ

 

 

มื้ออาหารในห้องวีไอพีเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน บรรยากาศกำลังคึกคักได้ที่

 

 

หลังเสร็จสิ้นทุกขั้นตอน ก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว

 

 

เฉินซูหลานก็แลดูอ่อนเพลียแล้ว เธอไม่อยากทำลายบรรยากาศของคนหนุ่มสาว จึงให้คนขับรถของอาจารย์เว่ยส่งเธอกลับโรงพยาบาลก่อน

 

 

เพราะมีนักเรียนมัธยมปลายปีสามอยู่ด้วย เมื่อถึงสามทุ่ม อาจารย์เว่ยก็เตรียมจะแยกย้ายแล้ว สั่งให้คนขับรถส่งวัยรุ่นกลุ่มนี้กลับโรงเรียนก่อน

 

 

วัยรุ่นอย่างฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนและพวกเฉียวเซิงลงจากตึกก่อน

 

 

อาจารย์เว่ยกับเจียงหุยตามมาทีหลัง

 

 

เมื่อคนกลับไปแล้ว อาจารย์เว่ยถึงได้กลับไปนั่งที่เก้าอี้

 

 

เจียงหุยล้วงบุหรี่ออกมา เขามองเฟิงโหลวเฉิง ทำท่าครุ่นคิดแล้วยิ้ม “ไม่คิดเลยว่า คุณเฟิงกับผู้บัญชาการเฉียนจะสนิทกับคุณหนูฉินขนาดนี้”

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนพูดน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพียงแค่พยักหน้าให้เจียงหุย เย็นชาทีเดียว ไม่พูดอะไร

 

 

เฟิงโหลวเฉิงทักทายเจียงหุยอย่างมีมารยาท “เมื่อก่อนเคยทำคดีที่หนิงไห่”

 

 

“คุณเฟิงจะเลื่อนขั้นแล้วสินะ” เจียงหุยเบนสายตาไปที่เฟิงโหลวเฉิง สายตาดูมีเลศนัย

 

 

คนที่เลื่อนขั้นย้ายไปที่เมืองหลวงใช่ว่าจะไม่มี แต่คนที่เลื่อนขั้นไวและสูงอย่างเฟิงโหลวเฉิงนั้นมีน้อย

 

 

เฟิงโหลวเฉิงมีสี่ตำลึงปาดพันชั่ง “เรื่องของเบื้องบน ผมเองก็ไม่รู้เรื่อง”

 

 

เจียงหุยยิ้ม ไม่พูดอะไร เพียงแค่หันไปหาผู้บัญชาการเฉียน “ผมมีหลานคนหนึ่ง มีเรื่องหนึ่งอยากให้คุณช่วย…”

 

 

 

 

ใต้ตึก มีรถสามคัน

 

 

เฉียวเซิงมีรถจากที่บ้านมารับเขา

 

 

ฉินหร่านกับพวกพานหมิงเยว่รอรถของอาจารย์เว่ยกลับมา เฉิงเจวี้ยนกับพวกลู่จ้าวอิ่งรอเป็นเพื่อน

 

 

ขณะที่รถมาถึงแล้ว ลู่จ้าวอิ่งก็เดินวนรอบฉินหร่าน “ฉินเสี่ยวหร่าน เธอไปรู้จักอาจารย์เว่ยตั้งแต่เมื่อไร แถมเขายังรับเธอเป็นศิษย์ด้วย เธอเล่นไวโอลินได้ดีเหรอ…”

 

 

กระทั่งรถตู้คันหนึ่งมาจอดตรงหน้าพวกเขา

 

 

ชายหนุ่มที่สวมเสื้อกันหนาวสีดำก็ลงมาจากหลังรถ เขาดึงผ้าปิดปากลงแล้วยิ้ม “วันนี้ในทีมมีเทรน แต่ก็มาทันเวลาสุดท้ายพอดี…”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด