คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 285 ปรมาจารย์ช่างหลอม

อ่านนิยายจีนเรื่อง คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด ตอนที่ ตอนที่ 285 ปรมาจารย์ช่างหลอม อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ผู้คนมากมายรวมตัวกันอย่างแน่นขนัดที่บริเวณประตูทางเข้าของสมาคมช่างหลอม

หลายคนกำลังเตรียมความพร้อมเข้าไปในสมาคมเพื่อประเมินระดับความสามารถ ในขณะที่บางคนสนอกสนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉินอวี้โม่และคนอื่นๆตรงประตูทางเข้าจนปลีกตัวมาชมเรื่องสนุกสนานเพื่อหาความบันเทิง

เมื่อได้ยินชื่อของหวังซั่ว บางคนก็อดกระซิบกระซาบเสียงเบาไม่ได้

“หวังซั่ว…นั่นใช่ชื่อของปรมาจารย์ช่างหลอมที่ถือครองเพลิงศักดิ์สิทธิ์รึไม่?”

ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆขณะมองหวังซั่วด้วยแววตาตกใจเล็กน้อย

“มันคงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นแน่”

บางคนในบริเวณนั้นก็ได้ยินชื่อนี้เช่นกันและพวกเขาก็มองไปที่หวังซั่วด้วยความประหลาดใจจนไม่อยากเชื่อ

“ดูเหมือนว่าปรมาจารย์ช่างหลอมหวังซั่วจะไม่ใช่สมาชิกของสมาคมช่างหลอม ทว่าเป็นช่างหลอมมากฝีมือของตระกูลเฟิง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขามาที่เมืองไป๋อวี้ก็เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมเช่นกัน?”

ใครบางคนเอ่ยด้วยความฉงนสงสัยเล็กน้อยและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

อันที่จริงแล้วชื่อของ ‘หวังซั่ว’ ไม่ได้เลื่องลือโด่งดังมากนัก อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของช่างหลอมและสำหรับประชากรเมืองไป๋อวี้ เขาเป็นคนที่น่าทึ่งอย่างมาก

แน่นอนว่าช่างหลอมระดับสูงย่อมเป็นที่เคารพเทิดทูนและได้รับความชื่นชมจากช่างหลอมส่วนใหญ่และหวังซั่วผู้นี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมืออันดับสูงสุดในหมู่ช่างหลอม

เขาไม่ใช่เป็นเพียงปรมาจารย์ช่างหลอมเท่านั้น ทว่ายังเป็นถึงยอดฝีมือผู้ครอบครองเพลิงศักดิ์สิทธิ์

แม้แต่ในสมาคมช่างหลอมเอง เกรงว่านอกเหนือจากหัวหน้าสมาคมแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นที่มีทักษะการหลอมในระดับเดียวกับหวังซั่ว

เพราะเหตุนี้ หวังซั่วจึงถือเป็นยอดฝีมือทรงพลังคนสำคัญในหัวใจของช่างหลอมหลายๆคน

ฉินอวี้โม่ไม่เคยทราบเรื่องนี้และแม้แต่ฉีอวิ๋นเหล่ย เหวินซื่อชู่และคนอื่นๆก็ไม่ทราบเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หลังได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนรอบตัว คณะจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ก็ได้รับข้อมูลมาเล็กน้อย

ทว่าต่อให้บุรุษวัยกลางคนตรงหน้าคือหวังซั่ว ปรมาจารย์ช่างหลอมแห่งตระกูลเฟิงจริง ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ไม่ได้หวาดหวั่น

ฉินอวี้โม่ ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆมีความขัดแย้งกับเฟิงอู๋และไม่ลงรอยกับตระกูลเฟิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้บุรุษตรงหน้าเป็นยอดฝีมือผู้เลื่องชื่อจากตระกูลเฟิง พวกนางก็ไม่มีทางไว้หน้าอย่างแน่นอน

“พวกเจ้ามีความรู้กว้างไกลทีเดียว ท่านหวังซั่วเป็นหนึ่งในยอดฝีมือด้านการหลอมที่มีเพียงไม่กี่คนในดินแดนนี้และยังถือครองเพลิงศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย หากไม่ใช่เพราะมีบางสิ่งบางอย่างในงานชุมนุมช่างหลอมที่ท่านผู้อาวุโสของพวกเราสนใจ เขาไม่มีทางยอมเสียเวลามาเข้าร่วมงานชุมนุมเล็กๆนี้เด็ดขาด”

เมื่อบุรุษคนหนึ่งได้ยินความเห็นจากผู้คนโดยรอบ สีหน้าของเขาก็ฉายแววความย่ามใจทันที

เขาชำเลืองมองไปที่ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆด้วยแววตาของผู้ชนะ จากนั้นก็หันกลับมามองคนรอบตัวอีกครั้งและเอ่ยถึงสถานะของหวังซั่วด้วยท่าทีโอหัง

เมื่อเห็นอากัปกิริยาของผู้พูดและได้ฟังวาจาหยิ่งยโสไม่รื่นหูของเขา ผู้ที่เพิ่งได้ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของหวังซั่วต่างก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ

“หึ อะไรกัน? เขาเป็นถึงปรมาจารย์ช่างหลอมและก็ยังเป็นคนที่หยิ่งยโสยิ่งนัก ถ้าหากว่าภาคภูมิใจในฝีมือของตนเองจนดูแคลนงานชุมนุมช่างหลอมถึงเพียงนี้ล่ะก็ เหตุใดจึงไม่อยู่ที่บ้านเมืองของตนเองไปเล่า จะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ทำไมรึ?”

ใครบางคนอดเอ่ยวาจาเสียดสีออกมาไม่ได้

ในฐานะช่างหลอม จริงอยู่ที่พวกเขาเคารพยำเกรงผู้เก่งกล้าสามารถ

เพียงแต่หากว่าผู้แข็งแกร่งคนดังกล่าวมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและไม่ควรค่าแก่ความเคารพ พวกเขาก็จะไม่เคารพคนผู้นั้นไม่ว่าจะมีฝีมือมากเพียงใดก็ตาม

หัวหน้าสมาคมของสมาคมช่างหลอมเป็นที่รักของทุกคนโดยไม่ใช่เพียงเพราะเขามีทักษะการหลอมที่เก่งกาจมากเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นลักษณะนิสัยของเขา ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความสุภาพอ่อนโยน ทุกอย่างล้วนน่าชื่นชมและเทิดทูน

“นั่นน่ะสิ ท่านไม่ใช่เป็นเพียงปรมาจารย์ช่างหลอม ทว่าท่านยังถือว่าตนเองเป็นดั่งองค์พระพุทธรูปที่อยู่สูงกว่าผู้อื่น ในเมื่อท่านดูแคลนชุมนุมช่างหลอมของเราถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมาที่นี่เพื่อทำให้ตนเองหงุดหงิดใจด้วยเล่า? อีกอย่าง ท่านปรมาจารย์หวังซั่วก็เป็นช่างหลอมที่น่าทึ่งและเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเฟิง ถ้าหากท่านต้องการสิ่งใดจริงๆ ท่านก็คงจะหามาได้อย่างง่ายดาย จำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมงานชุมนุมนี้ด้วยหรือ?”

บุรุษอีกคนกล่าวแสดงความเห็นด้วยและมองผู้อาวุโสหวังซั่วด้วยแววตาท่าทางรังเกียจเต็มประดา

ด้วยทัศนคติที่ยโสโอหัง ปรมาจารย์ช่างหลอมที่ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างที่สุดเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะได้รับความเคารพไปจากพวกเขา

คนอื่นๆก็เอ่ยเสียงเบาเช่นกัน

แม้ว่าความเห็นเหล่านั้นเป็นเพียงเสียงกระซิบกระซาบกันเองในหมู่ผู้คน มันก็ยังกระทบไปถึงหูของหวังซั่วและสีหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้

ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผู้เป็นถึงปรมาจารย์ช่างหลอม บรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ต่างก็สาแก่ใจอย่างมาก

หวังซั่วไม่คาดคิดว่าคนเหล่านี้จะไม่ไว้หน้าตนเองเลย พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่เคารพสถานะปรมาจารย์ช่างหลอมของเขาเท่านั้น ทว่าเป็นเพราะลูกน้องของเขาและทัศนคติที่ส่งผลให้เขาถูกหยามเกียรติเช่นนี้

ในฐานะปรมาจารย์ช่างหลอมผู้เกรียงไกร การไม่ได้รับการต้อนรับและถูกรังเกียจจากผู้คนมากมายเพียงนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์เลย

“หุบปากซะ! เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถส่งคนไปขับไล่พวกเจ้าออกจากเมืองไป๋อวี้ได้!”

บุรุษหยิ่งทะนงถัดจากหวังซั่วมีใบหน้าที่แดงก่ำและกวาดสายตามองผู้คนอย่างเกรี้ยวโกรธ

เดิมทีเขาคิดว่าสถานะของหวังซั่วจะเพียงพอให้เขาเยื้องย่างในดินแดนนี้ได้อย่างอิสระ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันก็เป็นจริงมาเสมอ

ไม่คาดคิดเลยว่าในเมืองไป๋อวี้แห่งนี้ สถานะเดียวกันนั้นจะไม่มีผลใดๆกับเมืองนี้ ในทางกลับกัน มันยิ่งกระตุ้นความรังเกียจเดียดฉันท์ของทุกคนที่มีต่อหวังซั่ว คนเหล่านี้ไม่สนใจสถานะตัวตนและยังหยามเกียรติยอดฝีมือตระกูลเฟิงอย่างไม่เกรงกลัว

ผู้คนในเมืองไป๋อวี้แตกต่างจากโลกภายนอกอย่างแท้จริง โดยเฉพาะความคิดความอ่านของพวกเขาก็แตกต่างไปจากคนอื่นๆ

“พรืดดดดด~ ตลกชะมัด ฮ่าๆๆ”

ฉีอวิ๋นเหล่ยกลั้นหัวเราะไม่ไหวอีกต่อไปก่อนกล่าว “หลายคนที่อยู่ที่นี่เป็นประชากรในเมืองไป๋อวี้แห่งนี้ การที่เจ้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอม อย่างมากก็เป็นได้เพียงแขกของเมืองเท่านั้น ทว่าการที่ผู้เป็นแขกคิดจะขับไล่เจ้าบ้านออกไปนั้น ตั้งแต่เกิดมาข้าก็เพิ่งเคยได้ยินวันนี้ ฮ่าๆๆ”

เมื่อกล่าวจบ เขามองไปที่หวังซั่วและคนอื่นๆที่หน้าตาเหยเกก่อนกล่าวต่อ “เมื่อได้พบท่านหัวหน้าสมาคมและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ข้าจะถ่ายทอดวาจาของเจ้าให้พวกเขาเอง ข้าอยากรู้นักว่าหากขาดช่างหลอมคนหนึ่งไป งานชุมนุมช่างหลอมจะดำเนินต่อไปได้รึไม่?”

เมื่อได้ยินวาจาของฉีอวิ๋นเหล่ย สีหน้าของหวังซั่วและคนอื่นๆก็บิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม บุรุษหนุ่มตรงหน้าพูดจาแทงใจและไม่ไว้หน้าพวกเขาแม้แต่น้อย

และคนอื่นๆรอบตัวที่ไม่พอใจทัศนคติของหวังซั่วเมื่อครู่ต่างก็มองหวังซั่วและลูกน้องด้วยสายตาดูแคลนและถากถางอย่างชัดเจน

“หุบปากซะ!”

หวังซั่วอดกลั้นโทสะไม่ไหวอีกต่อไปขณะจ้องมองฉีอวิ๋นเหล่ย ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆด้วยแววตาเกรี้ยวโกรธดุดัน

“เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน เจ้าพวกเด็กเมื่อวานซืน เหตุใดพวกเจ้าถึงจู่โจมและพังเสลี่ยงของข้า?”

หวังซั่วชำเลืองมองฉินอวี้โม่และคณะพร้อมกล่าวอย่างมั่นใจ

แม้ว่าคนอื่นๆจะมองไม่เห็น เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ใครคนหนึ่งในกลุ่มของฉินอวี้โม่คือตัวการที่โจมตีและทำลายเสลี่ยงของเขาจนเขาตกเสลี่ยงอย่างแรง

“ฮ่าๆๆ ท่านหวังซั่วพูดเป็นเรื่องตลกไปได้ ท่านเป็นถึงปรมาจารย์ช่างหลอม แล้วเสลี่ยงที่ทำจากคณะเดินทางของผู้เกรียงไกรอย่างท่านจะพังง่ายๆได้อย่างไร ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มน้อยๆและกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าช่วงนี้ปรมาจารย์หวังซั่วคงจะใจกว้างเกินไปก็เลยทำให้เสลี่ยงพังเช่นนี้”

เมื่อได้วาจาของบุรุษหนุ่มลึกลับ ทุกคนก็แน่นิ่งไปทันทีและไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่าเหตุใดเสลี่ยงของหวังซั่วจะต้องพังลงถ้าหากว่าเขาใจกว้างเกินไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากใคร่ครวญเล็กน้อย พวกเขาก็อดหัวเราะไม่ได้

ด้วยหัวใจที่กว้างขึ้น มันก็เป็นการเหน็บแนมว่าเขาอ้วนขึ้น เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่ยังคงล้อเลียนถากถางหวังซั่ว!

อย่างไรก็ตาม ทุกคนเข้าใจสิ่งที่ฉินอวี้โม่และคณะทำเมื่อครู่แล้วและผู้คนโดยรอบทั้งหมดต่างก็พึงพอใจในการกระทำของพวกเขา

ถึงอย่างไรแล้วทัศนคติของฝ่ายหวังซั่วก็ทำให้พวกเขาหงุดหงิดอย่างมาก ทว่าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยและกล้าหยามเกียรติปรมาจารย์ช่างหลอมและขุมกำลังที่สนับสนุนเขาอย่างไม่แยแส

ความอาจหาญขวัญกล้านี้เอาชนะใจทุกคนได้อย่างไร้ข้อกังขา

และสีหน้าของหวังซั่วบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม

ในทางหนึ่ง พวกเขากล่าวว่าพลังของพวกเขาไม่เพียงพอที่จะทำลายเสลี่ยงได้ ในอีกทางหนึ่งก็ล้อเลียนว่าเขาน้ำหนักมากเกินไปจนทำให้เสลี่ยงพังไม่เป็นท่า คนรุ่นเยาว์เหล่านี้มีไหวพริบที่ล้ำเลิศยิ่งนัก!

“เหอะ ดี ดีมาก พวกเจ้าเด็กเฉลียวฉลาด!”

หวังซั่วชำเลืองมองฉินอวี้โม่และกล่าวอย่างเย็นชา ทว่ากลิ่นอายความอาฆาตมาดร้ายแผ่มาจากร่างของเขาอย่างไม่ปกปิด

ต่อให้เป็นผู้นำตระกูลเฟิงก็ยังไว้หน้าเขา บรรดาจอมยุทธ์ทรงพลังในดินแดนที่รู้สถานะของเขาต่างก็เป็นมิตรที่ดีต่อเขาเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เพียงไม่กี่คนตรงหน้าจะกล้าหยามเกียรติเขาต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้

แม้ว่าเป็นลูกน้องของเขาเองที่เบียดเสียดแทรกพวกเขาและยังมีทัศนคติท่าทางที่ไม่ดีนัก ทว่าหวังซั่วก็ไม่คิดว่าลูกน้องของตนเองทำอะไรผิดไป ถึงอย่างไรแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำสำหรับเขาและไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลย

ต่อให้ลูกน้องของเขาไม่ได้เบียดแทรกคนเหล่านั้น ด้วยตัวตนและสถานะของเขา ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ควรจะหลีกทางออกไป

“ท่านปรมาจารย์หวังซั่ว เหตุใดจะต้องมาเสียอารมณ์กับพวกคนด้อยค่าน่ารังเกียจพวกนี้ด้วยเล่า อีกอย่างคนพวกนี้ก็เคยกล่าวอย่างชัดเจนแล้วว่าต่อให้เป็นผู้นำตระกูลเฟิงพวกเขาก็ไม่สนใจ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคน จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็ก้าวออกมาจากฝูงชนและเดินตรงไปหาหวังซั่วอย่างวางท่า

เมื่อเห็นคนเหล่านี้ คุณหนูสี่ตระกูลฉินและคณะก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ขณะที่ความรังเกียจเกาะกุมในหัวใจ

คนกลุ่มนี้มองฉินอวี้โม่และคนอื่นๆด้วยสายตายั่วยุและเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ท่านปรมาจารย์หวังซั่ว ข้าคือไห่ป้าหวัง ส่วนนี่คือสหายอู๋ ไม่ทราบว่าท่านเคยได้เห็นเราทั้งสองหรือไม่?”

คนเหล่านี้คือไห่ป้าหวังและลูกน้องที่สู้รบตบมือกับคณะฉินอวี้โม่ในป่าเมฆาลัยก่อนหน้านี้ หลังจากที่หลบหนีไป พวกเขาก็ได้เดินทางมาที่เมืองไป๋อวี้แห่งนี้ ไม่คิดเลยว่าในตอนที่มาถึง  บรรยากาศจะครึกครื้นและมีชีวิตชีวาถึงเพียงนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินว่าหวังซั่วเป็นใครรวมถึงได้เห็นเหตุการณ์บาดหมางระหว่างหวังซั่วและฉินอวี้โม่ ไห่ป้าหวังซึ่งเคียดแค้นคณะฉินอวี้โม่อยู่แล้วเป็นทุนเดิมก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะแสดงตัวเพื่อเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน

หวังซั่วนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกลุ่มผู้มาใหม่ อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกได้ว่าไห่ป้าหวังและกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ชื่นชอบคณะฉินอวี้โม่ คนเหล่านี้อยู่ฝ่ายเดียวกันกับเขาและแสดงอากัปกิริยาเคารพนอบน้อมต่อเขา เขาจึงคลายกังวลไปได้มาก

แต่อย่างไรเสีย เมื่อได้ยินชื่อ ‘ไห่ป้าหวัง’ เขาก็ส่ายศีรษะเบาๆและกล่าว “ขอโทษด้วย ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเจ้ามาก่อน”

เมื่อได้ยินวาจาของหวังซั่ว ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ถึงกับอดหัวเราะไม่ไหว

“ฮ่าๆๆ  ไห่ป้าหวัง ความรู้สึกของการถูกตบใบหน้าฉาดใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซูเสี่ยวจวิ้นอดกล่าวเยาะเย้ยอีกฝ่ายไม่ได้ ขณะมองไห่ป้าหวังตรงหน้าอย่างรังเกียจเป็นที่สุด

ในขณะเดียวกันนั้นสีหน้าของไห่ป้าหวังก็บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย

เขาอดสบถก่นด่าในใจไม่ได้ เหตุใดบุรุษอาวุโสตรงหน้าจึงฉีกหน้าเขาเช่นนี้ ไม่รู้จักกิริยามารยาทที่ดีเลยรึ?

อย่างไรก็ตาม มุมปากของเขายกเป็นรอยยิ้มมีเลศนัย

ถึงอย่างไรแล้วบัดนี้พวกเขาก็ถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว และหากพวกเขาผูกไมตรีกับผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงได้ มันก็จะส่งผลดีอย่างมากสำหรับพวกเขา

.

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด