คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 466 อดีตของซิว

อ่านนิยายจีนเรื่อง คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด ตอนที่ ตอนที่ 466 อดีตของซิว อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และซิวนั่งอยู่ตรงข้ามกัน เสี่ยวเฮยก็ยกน้ำชามาให้ทั้งสอง และเมื่อทราบว่าผู้เป็นนายและซิวมีเรื่องต้องหารือกัน มันก็ออกไปเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกพร้อมกับอสูรตัวอื่น ๆ

“นายหญิง ข้ารู้ว่าท่านคงจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้ามากมาย ตอนนี้ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งมากมาย ท่านก็คงจะป้องกันตัวเองได้ เพราะฉะนั้นข้าควรต้องบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง”

หลังจากนิ่งไปชั่วคราว ซิวก็กล่าวต่อ “ดินแดนเทพมายาซับซ้อนกว่าที่ท่านคิดไว้มาก นอกเหนือจากขุมกำลังที่เรารู้จักแล้วยังมีบางชนเผ่าที่มีมิติอิสระและแทบจะไม่ออกมา ยกตัวอย่างเช่นชนเผ่ามายา ชนเผ่าอสูรของข้าและชนเผ่าเอลฟ์ที่ลึกลับอย่างยิ่ง”

เมื่อพันปีก่อน ดินแดนเทพมายาอยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองและทรงพลังที่สุดที่เคยเป็นมา ในตอนนั้น ขุมกำลังมากมายก็เข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานและพัฒนาจนทรงพลังอย่างยิ่ง

ในบรรดาขุมกำลังเหล่านั้น พวกอสูร เอลฟ์และผู้ใช้ข่ายอาคมเป็นกลุ่มที่ทรงพลังและลึกลับมากที่สุด

และตรงตามชื่อที่กล่าวไว้ แน่นอนว่าเผ่าอสูรเป็นเผ่าของอสูรมายา ไม่ว่าจะเป็นอสูรมายาตัวใด ๆ ตราบใดที่สามารถผ่านบททดสอบบางอย่างก็จะสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเผ่านี้ได้

เผ่าเอลฟ์เป็นชนเผ่าที่ประกอบด้วยเอลฟ์และลูกครึ่งเอลฟ์ สมาชิกของชนเผ่านี้ต่างก็มีหน้าตาที่สง่างามอย่างยิ่งและเหล่าบุรุษก็รูปงามยิ่งกว่ามนุษย์สตรีทั่วไปเสียอีก ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ธรรมดาเลย

ทว่าสิ่งที่ซิวอยากถ่ายทอดให้ฉินอวี้โม่เข้าใจในวันนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าอสูรโดยตรง

ในอดีต ณ ตอนนั้น ผู้นำของเผ่าอสูรซึ่งเป็นดั่งราชันของเผ่าอสูรก็คือมังกรทองเก้าเล็บ กล่าวกันว่าในช่วงเวลาที่มังกรทองเก้าเล็บแข็งแกร่งที่สุด มันมีพลังที่ทัดเทียมกับราชินีเหมันต์และบรรพชนเทพมายา เพราะเหตุนั้นเผ่าอสูรจึงทรงพลังอย่างยิ่งในตอนต้น

อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฝ่ายมารได้ทำลายพลังอำนาจและความสงบสุขเดิมของเผ่าอสูรไปอย่างสิ้นเชิง

การต่อสู้ที่ทำให้ฟ้าถล่มดินทลายในครานั้นสร้างความตกใจให้กับผู้คนเป็นอย่างยิ่ง ในตอนนั้นความแข็งแกร่งของเผ่าอสูรลดน้อยลงมากและมังกรทองเก้าเล็บซึ่งเป็นผู้นำของเผ่าอสูรก็พ่ายแพ้ให้กับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งของฝ่ายมารและได้เสียชีวิตลง

มังกรทองเก้าเล็บตัวดังกล่าวคือบิดาของซิว ทว่าในช่วงหนึ่งปีก่อนเกิดสงครามกับฝ่ายมาร ซิวก็ยังอยู่ในเผ่าอสูรและยังไม่ได้พบกับเทพมายา อีกทั้งความแข็งแกร่งของมันก็ยังไม่ได้บรรลุถึงระดับสูงสุดด้วยซ้ำ

บิดาของมันซึ่งเป็นมังกรทองเก้าเล็บคือเทพผู้ปกครองเผ่าอสูรในตอนนั้นซึ่งทรงพลังอย่างยิ่งและมีทายาทมากมาย หนึ่งในนั้นคือมังกรทองเก้าเล็บที่มีชื่อว่าเจ๋อหลิวผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีและสนิทสนมกับซิวมาตั้งแต่เยาว์วัย

ซิวเป็นมังกรทองสิบเล็บและเป็นเทพอสูรตัวต่อไปที่ได้รับการยอมรับจากทั้งเผ่าอสูร อีกทั้งมันยังเป็นที่รักและที่โปรดปรานของบิดาอย่างยิ่ง

เดิมทีซิวก็ไม่ได้สนใจในตำแหน่งเทพอสูรมากนัก ทว่ามันก็มิได้ล่วงรู้เลยว่าพี่น้องทั้งหลายของมันมองมันอย่างเป็นปฏิปักษ์และเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก

วันหนึ่ง หนึ่งในพี่น้องของมันส่งคนวิ่งโร่หน้าตั้งเข้ามาแจ้งข่าวว่าเจ๋อหลิวกำลังตกอยู่ในอันตราย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซิวก็ไม่รอช้าและเป็นห่วงพี่ชายอย่างยิ่ง ในตอนนั้นเจ๋อหลิวถือว่าเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดและสนิทสนมที่สุดสำหรับมันในเผ่าอสูร แน่นอนว่ามันย่อมเป็นกังวลอย่างมากจึงไม่คิดแม้แต่น้อยว่านี่อาจจะเป็นกับดักบางอย่าง

ซิวไม่มีความลังเลแม้แต่เสี้ยวเดียวขณะมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ที่ได้รับแจ้งทันทีเพื่อเข้าไปช่วยเจ๋อหลิว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซิวไม่ทราบเลยคือนั่นเป็นแผนการที่เจ๋อหลิววางไว้เพื่อหลอกล่อมันไปติดกับดักแห่งความตาย แท้จริงแล้วเจ๋อหลิวไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยและฉวยโอกาสในขณะที่ซิวกำลังต่อสู้กับยอดฝีมือผู้ลึกลับเพื่อลอบโจมตีมันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

เนื่องจากทราบดีว่าซิวสูญเสียความสามารถในการต่อสู้แล้ว เจ๋อหลิวจึงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเยาะเย้ยและไม่ปิดบังความชิงชังที่ตนเองมีต่อซิวอีกต่อไป

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเจ๋อหลิวเช่นนี้ ซิวก็เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างได้ในทันที

ในตอนนั้นซิวก็ตัดสินใจที่จะระเบิดตัวเอง ต่อให้มันตายไป มันก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ๋อหลิวรอดชีวิตออกไปได้ อย่างไรก็ตาม เจ๋อหลิวเตรียมความพร้อมทุกอย่างมาเป็นการล่วงหน้าแล้ว ภายในเผ่าอสูร ผู้อาวุโสทรงพลังและเป็นที่เคารพหลายชีวิตก็ปรากฏกายที่นั่นเพื่อยับยั้งการระเบิดตัวเองของซิว

ทว่าในขณะที่พวกมันต้องการจะสังหารซิว มันก็ประจวบเหมาะกับช่วงที่บรรพชนเทพมายาเข้ามาที่เผ่าอสูรเพื่อตามหาบางอย่างพอดิบพอดีและได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยตาของตัวเอง

ครานั้น เจ๋อหลิวต้องการสังหารซิวให้สิ้นซาก ทว่าเทพมายาก็เข้ามาช่วยมันไว้ได้ทัน ในตอนนั้นเป็นเพราะซิวบาดเจ็บสาหัส พลังอำนาจของมันจึงลดน้อยลงไปมาก หากยังอยู่ในเผ่าอสูรต่อไป มันจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยได้อีกแล้ว เพราะเหตุนั้นมันจึงได้อ้อนวอนขอให้บรรพชนเทพมายารับมันเป็นอสูรมายาประจำตัวและมุ่งหน้าออกท่องดินแดนไปด้วยกัน

ทั้งเทพมายาคนก่อนและซิวมีพรสวรรค์อันโดดเด่นและเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ด้วยการจับคู่รวมตัวกันของทั้งสอง ความแข็งแกร่งของหนึ่งคนและหนึ่งอสูรจึงได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและมหาศาล

เมื่อความแข็งแกร่งของซิวบรรลุจุดสูงสุดในตอนนั้น มันก็ต้องการกลับไปที่เผ่าอสูรที่จากมาเพื่อให้มังกรใจคดทั้งหลายเหล่านั้นนึกเสียใจและสำนึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เวลานั้นข่าวเรื่องฝ่ายมารก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วดินแดนแล้ว

เมื่อต้องเลือกระหว่างวิกฤตของดินแดนและความบาดหมางส่วนตัว ซิวก็ไม่ลังเลที่จะเลือกปกป้องความปลอดภัยและความมั่นคงของดินแดนก่อน เพราะถึงอย่างไรแล้วหากอาณาเขตของเผ่าอสูรในเป็นดินแดนเทพมายาสูญสลายหายไป จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ไร้ความหมาย

ครานั้น การทำสงครามกับขุมกำลังมารร้ายก็ทำให้ทั่วทั้งดินแดนสะเทือนสะท้าน

นายหญิงคนก่อนของมัน—ฉินเฟยเหยียน ราชินีเหมันต์ เทพอสูรและราชินีเอลฟ์ล้วนได้รับความเสียหายและความสูญเสียครั้งใหญ่

ราชินีเหมันต์และเทพอสูรได้เสียชีวิตลงในขณะที่ราชินีเอลฟ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและได้รับการคุ้มกันกลับไปที่ชนเผ่าเอลฟ์ อย่างไรก็ตาม ฉินเฟยเหยียน—อดีตเทพมายาซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่า ทว่านางก็วางใจจนเกินไปและถูกฉินมู่ยวี่ลูกน้องที่ไว้ใจจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและแทบเอาตัวไม่รอด

สำหรับอสูรมายาประจำตัวนั้น หากฉินเฟยเหยียนเสียชีวิตไป ซิวก็จะสลายหายไปอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม อดีตเทพมายาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ทว่าหวังว่าซิวจะทำภารกิจตามหาเทพมายาคนใหม่ให้สำเร็จและเอาชนะฝ่ายมารได้อย่างสิ้นซากในที่สุด

เพราะเหตุนั้น ทั้งสองจึงรวมพลังกันเป็นครั้งสุดท้ายและส่งซิวมาที่ดินแดนหวนหลิง อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะการล่มสลายของฉินเฟยเหยียน ซิวผู้เป็นอสูรประจำตัวของนางจึงได้รับผลกระทบไปไม่น้อยเลย

ไม่เพียงแต่มันจะไม่สามารถออกจากถ้ำจนกระทั่งพบเทพมายาคนใหม่เท่านั้น ทว่าพลังความแข็งแกร่งของมันเองก็จะค่อย ๆ ลดลงไปตามกาลเวลา และหากไม่พบเทพมายาคนใหม่หลังจากผ่านไปหนึ่งพันปี จิตวิญญาณของซิวก็จะดับสลายและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

โชคดีที่ซิวพบฉินอวี้โม่ก่อน ทุกอย่างจึงดำเนินมาจนถึงตอนนี้

เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากซิว ฉินอวี้โม่ก็เกิดความรู้สึกมากมายขึ้นมา นางเข้าใจดีว่าการถูกหักหลังจากมิตรที่ไว้ใจนั้นเจ็บปวดเพียงใด อีกทั้งยังเข้าใจอีกว่าถึงแม้ภายนอกซิวดูเรียบง่ายและไม่กังวลสิ่งใด ทว่าแท้จริงแล้วในหัวใจของมันก็ปั่นป่วนอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรแล้วนั่นก็มิใช่เป็นเพียงมิตรสหายเท่านั้น หากแต่เป็นพี่ชายที่เคยจริงใจต่อกัน

“ซิว เมื่อใดที่เราทั้งสองแข็งแกร่งมากพอ ข้าจะไปที่เผ่าอสูรกับเจ้า”

ฉินอวี้โม่มองซิวและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เมื่อถึงตอนนั้น นางอาจช่วยอะไรซิวได้ไม่มากนัก ทว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจะฝ่าฟันอุปสรรคไปกับมันและอยู่เคียงข้างมันอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และความเข้าใจที่ปรากฏในแววตา ซิวเพียงพยักหน้าเบา ๆ เท่านั้น มันมั่นใจตั้งแต่ต้นแล้วว่ามันได้เลือกเจ้านายที่ถูกต้องแล้ว เมื่อพันปีก่อน แม้ว่าฉินเฟยเหยียนจะเป็นดั่งเทพจุติลงมา ซิวก็สัมผัสได้ว่าวันหนึ่งฉินอวี้โม่ผู้นี้จะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าฉินเฟยเหยียนเสียอีก

“นายหญิง หากท่านยังไม่ได้บรรลุถึงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุด อย่าประจันหน้ากับบรรดาผู้ที่แข็งแกร่งของดินแดนเทพมายาเด็ดขาด และพยายามอย่าเปิดเผยตัวตนของตนเอง พลังของฉินมู่ยวี่อาจมิใช่ธรรมดาอย่างที่เห็น ตอนนี้พลังของนางน่าจะสูงกว่าขอบเขตพสุธาเซียน เหล่าผู้นำของนิกายหงส์มังกร อารามโชติช่วงและนครหมื่นอสูรก็ล้วนอยู่เหนือกว่าขอบเขตพสุธาเซียนเช่นกัน”

ซิวกล่าววาจาเตือนฉินอวี้โม่อีกครา แม้ว่าฉินอวี้โม่ในตอนนี้มีฝีมือมากแล้วและมีอสูรมายาที่แกร่งกล้าไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตาม ซิวทราบถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาเป็นอย่างดี หากต้องประจันหน้ากับคนเหล่านี้จริงก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหนีเอาตัวรอด

กายเทพมายาเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนอิจฉาริษยา หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป บรรดาจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายจะต้องโจมตีเข้ามาจากทุกทิศทางอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ฉินอวี้โม่มีเก้าชีวิต มันก็คงจะไม่เพียงพอ

ยิ่งไปกว่านั้น พลังในปัจจุบันของฉินอวี้โม่ก็ยังถือว่าอ่อนแอ ทุกสิ่งที่ต้องเผชิญในอนาคตข้างหน้านั้น ทั้งสองมิอาจล่วงรู้ได้ มีเพียงการเก็บตัวสงบเสงี่ยมเท่านั้นที่นางจะค่อย ๆ พัฒนาความแข็งแกร่งให้เพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ได้

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะรับคำ ในอดีตก่อนหน้านี้ นางเคยคิดว่าขอบเขตเซียนขั้นเก้าคือที่สุดของขอบเขตพลังแล้ว บัดนี้นางค่อย ๆ รับรู้มากขึ้นว่าเหนือกว่านั้นยังมีพลังอีกหลายระดับ

ยกตัวอย่างเช่น ขอบเขตที่เหนือกว่าขอบเขตเซียนขั้นเก้าคือขอบเขตพสุธาเซียนซึ่งแบ่งเป็นสี่ขั้นได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูงและขั้นสูงสุด หลังจากบรรลุขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุด ตราบใดที่มีความแข็งแกร่งที่มากพอและโอกาสที่เหมาะสม คนผู้นั้นก็จะเดินหน้าทะลวงพลังต่อไปได้

เหนือกว่านั้นคือขอบเขตนภาเซียน ขอบเขตนี้แบ่งออกเป็นสี่ขั้นเช่นเดียวกันได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูงและขั้นสูงสุด หากสามารถทะลวงพลังไปถึงขอบเขตนภาเซียนขั้นต้นได้ จอมยุทธ์ผู้นั้นจะกลายเป็นตัวตนในระดับผู้นำขุมกำลัง ส่วนพลังขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดนั่นถือเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า สำหรับผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดนั้น นั่นก็จะเป็นขอบเขตใหม่ อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะมีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่บรรลุไปถึงขอบเขตดังกล่าวได้ มันจึงไม่มีข้อมูลระบุเกี่ยวกับมันเท่าไหร่นัก

จากคำบอกเล่าของซิว เมื่อพันปีก่อน ราชินีเหมันต์ เทพอสูรและราชินีเอลฟ์ล้วนมีพลังในขอบเขตนภาเซียนขั้นต้น ส่วนนายหญิงคนก่อนของมัน–เทพมายาก็มีพลังอยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ

ในขณะเดียวกัน ผู้ปกครองของฝ่ายมารก็มีพลังอย่างน้อยอยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูง

การทะลวงพลังในแต่ละครั้งของขอบเขตพสุธาเซียนล้วนยากเย็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่จึงพอจะจินตนาการได้ว่าการทะลวงไปสู่ขอบเขตนภาเซียนนั้นยากเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รอนางอยู่ข้างหน้า ไม่ว่าขอบเขตพลังสูงสุดนั้นจะสูงเพียงใด นางก็จะไม่หยุดแสวงหาและพัฒนาตน นางเชื่อว่าวันหนึ่งนางจะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า เมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนจะได้หวั่นเกรงและไม่กล้าทำร้ายญาติสนิทมิตรสหายของนางอีกต่อไป

เมื่อเห็นถึงความหนักแน่นชัดเจนบนใบหน้าของฉินอวี้โม่ ซิวก็ยิ้มบาง ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด ไม่ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป มันก็จะติดตามไปกับฉินอวี้โม่ผู้นี้ อย่างน้อยที่สุดก่อนที่นางจะแข็งแกร่งมากพอ นางจะไม่ตกอยู่ในอันตรายใด ๆ

หลังจากนั่งอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็ขอตัวกลับออกไปเพื่อดูความคืบหน้าของแผนการต่อไปสำหรับโลกมายา

ภายในจวนเจ้าเมืองแห่งเมืองเพลิงมายา ทุกสิ่งอย่างได้รับการจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ต้องกล่าวเลยว่าฉินเฟิงเป็นคนจริงจังและมีความสามารถอย่างแท้จริง เขามอบหมายหน้าที่ทุกอย่างอย่างชัดเจนเป็นสัดส่วนเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาต้องการทำสิ่งใดและดำเนินการได้อย่างไม่ติดขัด

“อวี้โม่ ข้าจัดการทุกอย่างแล้ว”

เขายิ้มให้กับศิษย์ผู้น้อง

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเราเตรียมตัวเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายากันเถอะ”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าเบา ๆ ด้วยความรู้สึกคาดหวังที่ก่อตัวในหัวใจ ในที่สุดข้าก็จะได้ไปที่ดินแดนเทพมายาสักที อยากรู้นักว่าสหายทั้งหลายจะเป็นอย่างไรกันบ้าง?

Related

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด