คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 607 สวีไหลแห่งพิภพเหนือสวรรค์

อ่านนิยายจีนเรื่อง คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด ตอนที่ ตอนที่ 607 สวีไหลแห่งพิภพเหนือสวรรค์ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ณ ชั้นแรกของหอคอยต้องห้ามตระกูลหาน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกำลังยืนเผชิญหน้ากับบุรุษชุดขาวรูปงาม เขามองตรงมาที่หานโม่ฉือด้วยแววตาฉงนสงสัยอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคนตรงหน้าจึงยังวางท่าเฉยเมยอยู่ได้ทั้งที่ทราบสิ่งที่ตนทำลงไปเมื่อหลายสิบปีก่อน

“โอ้ เรื่องบางเรื่องก็มิอาจแก้ไขได้ด้วยความโกรธแค้น อย่างไรก็ตาม ในเมื่อท่านเป็นคนกล่าววาจาเช่นนั้นในอดีต ข้าจะหาทางเอาคืนไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง ต่อให้ท่านเป็นคนของพิภพเหนือสวรรค์…ข้าก็ไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย”

หานโม่ฉือยกยิ้มมุมปากอย่างไม่แยแสและกล่าวต่อ “วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อพบท่านพ่อและท่านแม่ มิใช่สะสางความแค้นกับท่าน หลังจากวันนี้ ข้าจะตามหาท่านอีกคราเพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต”

หลังจากได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด ในตอนแรกหานโม่ฉือก็ทั้งโกรธแค้นและฉุนเฉียว อย่างไรก็ตาม หลังจากพิจารณาทุกอย่างที่ผ่านมา โทสะที่คุกรุ่นในใจกลับจางหายลงไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้สึกโชคดีไม่น้อยทีเดียว หากมิใช่เพราะการกระทำของบุรุษผู้นี้ในอดีต บางทีเขาก็อาจไม่ได้พบกับฉินอวี้โม่และไม่ได้ครองรักด้วยกันอย่างเช่นทุกวันนี้

แม้ว่าทั้งบิดาและมารดาของตนต้องเผชิญกับความทุกข์ทนมากมายเนื่องจากเรื่องนี้ ทว่าเป็นเพราะการได้พบกับฉินอวี้โม่ โทสะในใจเขากลับกลายเป็นความเฉยเมย เมื่อได้เผชิญหน้ากับตัวการ เขาจึงมิได้รู้สึกเกลียดชังอย่างลึกซึ้งนัก

บุรุษผู้พิทักษ์หอคอยต้องห้ามถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาไม่อาจเข้าใจความคิดของหานโม่ฉือได้เลย พิภพเหนือสวรรค์มีสมาชิกไม่มากนักและคนเหล่านั้นก็ล้วนไม่เคยมีส่วนร่วมหรือยุ่งเกี่ยวในเรื่องของดินแดนเทพมายา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจความรู้สึกและอารมณ์ที่ซับซ้อนของมนุษย์เท่าใดนัก ในครานั้น เมื่อเขามาที่จวนตระกูลหาน เขาก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น ทว่าเขากลับตัดสินโชคชะตาชีวิตของหานโม่ฉืออย่างโหดร้าย

เขาคิดว่าหานโม่ฉือผู้นี้น่าจะโกรธแค้นเขาอย่างที่สุด ไม่คิดเลยว่าบุรุษตรงหน้ากลับเฉยเมยและนิ่งเฉยได้เช่นนี้

ตอนนี้ฉินอวี้โม่เองก็กำลังสังเกตท่าทีของบุรุษจากพิภพเหนือสวรรค์เช่นกันและขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเชื่อมาเสมอว่าตัวตนที่แท้จริงของทุกคนสามารถสัมผัสหรือรับรู้ได้จากพฤติกรรมของคนผู้นั้น

อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถมองบุรุษผู้นี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขามีกลิ่นอายความลึกลับที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ ซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้มากยิ่งขึ้นทว่าไม่ต้องการเข้าใกล้มันมากเกินไปเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น แววตาลึกล้ำเกินหยั่งถึงของบุรุษผู้นี้ แม้จะทำให้รู้สึกถึงความประหลาดน่าหวาดหวั่นทว่าเขากลับดูไม่เหมือนกับคนชั่วร้าย อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมันก็ทำให้ฉินอวี้โม่สับสนอีกครา หากมิใช่คนจิตใจชั่วช้า เหตุใดเขาจึงทำนายในสิ่งที่ชี้ชะตาอันเลวร้ายให้กับหานโม่ฉือเช่นนั้น ?

“เจ้าคือผู้สืบทอดกายเทพมายานามว่าฉินอวี้โม่ใช่รึไม่ ?”

ราวกับสัมผัสถึงแววตาของฉินอวี้โม่ บุรุษชุดขาวหันมองมาที่นางและกล่าวขึ้นเบา ๆ

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าท่านจอมยุทธ์จะทราบเรื่องในดินแดนเทพมายามากถึงเพียงนี้”

ฉินอวี้โม่กล่าวพลางหัวเราะเบา ๆ ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดนางจึงไม่รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์คนผู้นี้มากนัก

“ถือว่าเป็นสตรีที่ไม่เลวทีเดียว”

เขามองฉินอวี้โม่อย่างพินิจพิจารณา แววตาที่เขาใช้มองนางมิใช่เรียบเฉยเย็นชาทว่าเป็นแววตาที่บ่งบอกถึงการยอมรับอย่างชัดเจน

“หานโม่ฉือผู้นี้เป็นตัวกาลกิณีที่จะนำพาหายนะมาสู่ทุกชีวิต ทุกคนรอบตัวเขาจะต้องได้รับผลกระทบที่เลวร้าย สิ่งนี้ถูกโชคชะตากำหนดไว้แล้ว การที่เขาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังคือบทลงเอยที่ดีที่สุด…”

จู่ ๆ บุรุษจากพิภพเหนือสวรรค์ก็กล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างยิ่ง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็แสยะยิ้มเหน็บแนม

“โอ้ โชคชะตางั้นรึ ? ข้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก ต่อให้เขาเป็นตัวกาลกิณีดังที่กล่าวจริง ข้าก็ยินดีที่จะอยู่เคียงข้างเขาและไม่มีวันจากไปไหน ข้าเชื่อว่าพ่อแม่ของเขาก็คิดแบบเดียวกับข้า ต่อให้ต้องเผชิญกับหายนะใด ๆ พวกเราก็ยินดีที่จะฝ่าฟันไปกับเขา”

หากสมาชิกของพิภพเหนือสวรรค์สามารถรับรู้และพยากรณ์ความลับทุกอย่างในดินแดนได้จริง นางเองก็เป็นจิตวิญญาณจากโลกอีกใบหนึ่ง เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถมองทะลุความลับนี้ ? ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อจิตวิญญาณของนางสามารถเดินทางข้ามโลกมาได้เช่นนี้ มันก็ถือว่าเป็นการก้าวผ่านขีดจำกัดของโชคชะตามาแล้ว ต่อให้บุรุษข้างกายจะถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวกาลกิณี นางก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินวาจามั่นใจของนาง บุรุษชุดขาวก็แสดงสีหน้าประหลาดใจขณะมองฉินอวี้โม่โดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก ทัศนคติความคิดของสตรีผู้นี้ทำให้เขาไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาตอบโต้ได้เลย

“หากไม่มีอะไรแล้ว เราขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อน หลังจากได้พบกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว เราจะกลับมาคุยกับท่านอีกครา”

หานโม่ฉือกล่าวทิ้งท้ายก่อนจับมือฉินอวี้โม่และเดินตรงขึ้นบันไดไปสู่ชั้นบนสุดของหอคอยต้องห้ามทันที

บุรุษชุดขาวไม่ขัดขวางคนทั้งสองแต่อย่างใด ทว่าเมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกำลังจะลับหายไปตามทาง เขาก็เอ่ยขึ้นตามหลัง “ข้าชื่อสวีไหล”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ได้ตอบกลับขณะค่อย ๆ หายไปจากทัศนวิสัยของสวีไหลอย่างช้า ๆ

บนบันไดทอดยาวไปสู่ชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของหอคอยต้องห้าม หานโม่ฉือจับมือบางของฉินอวี้โม่ไว้เงียบ ๆ และไม่อาจทราบได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด

วาจาของบุรุษชุดขาวเมื่อครู่อาจไม่ส่งผลใดต่อฉินอวี้โม่ ทว่าสำหรับหานโม่ฉือนั้นความปั่นป่วนได้ถาโถมเข้ามาในใจของเขาอย่างเงียบ ๆ หากเขาเป็นตัวกาลกิณีที่จะนำพาเคราะห์ร้ายมาสู่คนใกล้ตัวจริง…เขาก็ควรอยู่ให้ห่างจากสตรีผู้นี้เพื่อมิให้เกิดอันตรายใดกับตัวนางมิใช่หรือ ?

“อย่าคิดถึงมันเลย บุรุษผู้นั้นก็แค่กล่าววาจาเหลวไหล อย่าเก็บมาคิดให้มากเลย อีกอย่าง…ต่อให้เจ้าจะเป็นตัวกาลกิณีอย่างที่เขากล่าวจริง แล้วมันอย่างไรเล่า ? เจ้าก็ทราบดีว่าข้ามาอยู่ที่โลกใบนี้ได้อย่างไร การที่ข้าเคยผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมา ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นอีก ข้าก็ไม่กลัวเลยสักนิด”

ฉินอวี้โม่บีบมือหานโม่ฉือเบา ๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในหัวใจของเขา

“โม่เอ๋อร์ หากข้านำพาเคราะห์ร้ายมาสู่ทุกคนรอบตัวจริง ๆ การที่ข้าเข้ามาพบท่านพ่อท่านแม่ในครานี้จะเป็นเรื่องที่ดีรึ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของคนรัก หานโม่ฉือก็เขย่ามือบางของนางเบา ๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ต้องการปล่อยมือจากฉินอวี้โม่ ต่อให้ต้องเผชิญกับเรื่องที่ไม่คาดคิด เขาก็จะยืนขวางอยู่ข้างหน้าฉินอวี้โม่เพื่อปกป้องนางจากเรื่องร้ายทั้งหมดอย่างแน่นอน

“เจ้าทึ่มเอ๋ย หากลูกคนใดคนหนึ่งของเราถูกตราหน้าว่าเป็นตัวกาลกิณี เจ้าจะทำอย่างไร ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างจนปัญญา วาจาของสวีไหลเมื่อครู่ทำให้บุรุษข้างกายนางเป็นกังวลใจจนเกิดความคิดอื่นเช่นนี้

“ไม่ว่าใครก็ตามที่ริอาจกล่าวหาว่าลูกของเราเป็นตัวกาลกิณี ข้าจะไปหาคนผู้นั้นและสั่งสอนบทเรียนให้กับเขาอย่างสาสมโดยทำให้เขารู้ซึ้งถึงความสิ้นหวังที่แท้จริง !”

หานโม่ฉือกล่าวด้วยวาจาหนักแน่น สำหรับบุตรทั้งสองของเขาและฉินอวี้โม่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์กล่าววาจาว่าร้ายได้

“ถูกต้อง การที่เจ้าถูกตราหน้าว่าเป็นตัวกาลกิณีของวงศ์ตระกูล พ่อแม่ของเจ้าก็คงจะคิดในแบบเดียวกัน การที่หานชางทำตัวน่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องพ่อแม่ของเจ้าและไม่อยากให้เราเข้าไปในหอคอยต้องห้าม มันจะต้องมีแผนการสมคบคิดบางอย่างเป็นแน่ เพราะฉะนั้น เราต้องไปหาท่านพ่อท่านแม่และช่วยพาพวกท่านออกไปจากที่นี่ก่อน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเตือนสติหานโม่ฉือ นางรู้สึกได้ว่าหานชางมีแผนการร้ายบางอย่างซ่อนไว้ทว่ายังไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันคือสิ่งใด มีเพียงการได้พบหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วเท่านั้นที่นางจะได้สืบว่าหานชางผู้นั้นกำลังคิดจะทำอะไร

คำพูดของฉินอวี้โม่ทำให้หานโม่ฉือตระหนักได้ทันที

ไม่ว่าวาจาของบุรุษจากพิภพเหนือสวรรค์เมื่อครู่จะเป็นจริงหรือไม่ ต่อให้ตัวเขาเป็นตัวกาลกิณีที่จะนำพาเคราะห์ร้ายมาสู่ทุกคน ทว่าบิดามารดาของเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ในตัวเขา ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยนำพาเรื่องร้ายใดมาสู่คนรอบตัว คนจากพิภพเหนือสวรรค์เหล่านั้นเพียงกล่าวอ้างว่าตนเองเป็นผู้พยากรณ์ที่สูงส่ง ทว่าในความจริงพวกเขาก็แค่มีพลังอำนาจที่มากกว่าคนอื่น ๆ ในดินแดนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ขอบคุณมาก คุณภรรยา”

หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่ด้วยความรักเต็มเปี่ยมพร้อมกล่าวออกไป โชคดีเหลือเกินที่มีฉินอวี้โม่ผู้นี้อยู่เคียงข้างกาย มิฉะนั้นชีวิตของเขาคงไม่มีความสุขเช่นทุกวันนี้

“ตาทึ่มเอ๊ย~”

มุมปากของฉินอวี้โม่ยกยิ้มเล็กน้อยขณะสบตาบุรุษข้างกายด้วยแววตาอ่อนโยนอบอุ่น

“เจ้าคิดว่าหานชางจะปล่อยให้เราขึ้นมาบนหอคอยง่าย ๆ เช่นนี้เลยรึ ?”

ฉินอวี้โม่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเมื่อนึกถึงผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบัน

“ต่อให้ไม่ยอม เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ข้ารู้สึกได้ว่าสวีไหลผู้นั้นไม่ธรรมดาเลย ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขายอมปล่อยให้เราขึ้นมา เขาก็น่าจะเป็นคนรักษาคำพูดมากทีเดียว ต่อให้หานชางกังวลว่าเราอาจค้นพบแผนการร้ายของเขา เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด”

หานโม่ฉือยิ้มเย็นขณะกล่าวอย่างไม่เคียดแค้นสวีไหลเท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกได้ว่าบุรุษจากพิภพเหนือสวรรค์ผู้นั้นน่าจะมิใช่บุคคลที่เลวร้ายนัก

สิ่งที่หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่คาดเดาไว้ก็มิได้ผิดเลย เวลานี้ ณ ชั้นที่หนึ่งของหอคอยต้องห้าม หานชางเดินนำกลุ่มคนเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

หลังจากข่ายอาคมสลายหายไปและเหล่าผู้อาวุโสกลับสู่สภาพปกติ เขาก็เดินตรงเข้ามาพร้อมกลุ่มผู้ติดตามและสัมผัสได้ว่าหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่น่าจะไปถึงชั้นที่เจ็ดของหอคอยแล้ว

“ท่านจอมยุทธ์สวีไหล เหตุใดท่านจึงปล่อยให้สองคนนั้นขึ้นไปได้ ?”

หานชางมองตรงไปที่สวีไหลด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว เดิมทีเขาคิดว่าการที่มีสวีไหลคุ้มกันอยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ พวกเขาก็ไม่มีทางเล็ดลอดผ่านไปได้

“เหอะ นี่เป็นการตัดสินใจของข้า ข้าไม่จำเป็นต้องรายงานผู้นำตระกูลหานเกี่ยวกับการตัดสินใจทุกอย่างของข้า !”

สวีไหลกล่าวอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงของเขาในตอนนี้ดูห่างเหินและเย็นชา เขามิใช่คนช่างพูดและมีลักษณะนิสัยที่คาดเดาได้ยาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเพียงอยู่ที่ชั้นแรกของหอคอยต้องห้ามด้วยความเต็มใจเท่านั้นและไม่เคยให้คำมั่นสัญญาใดต่อหานชาง

ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจปล่อยให้ใครขึ้นไปข้างบนหอคอย แน่นอนว่าหานชางไม่สามารถควบคุมได้

น้ำเสียงของสวีไหลทำให้ผู้นำตระกูลหานขุ่นเคืองใจยิ่งนัก ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสวีไหลผู้ลึกลับและทรงพลัง เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมปล่อยไปตามน้ำ

หลังจากสูดหายใจเข้าลึก ๆ และปรับสีหน้าอารมณ์ของตน หางชางก็ต้องการไล่ตามทั้งสองไป เขาไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงแผนการที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้เพราะการแทรกแซงของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่

ต้องกล่าวเลยว่าหากแผนการของพวกเขาสำเร็จผล ทุกอย่างจะอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาจะไม่ต้องหวาดหวั่นต่อหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วอีกต่อไป และสองสามีภรรยาอาจกลายเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของพวกเขาก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนหานชางและคณะจะเดินก้าวไปได้หลายก้าว ร่างของสวีไหลก็ปรากฏขึ้นมาขวางทางเดินของพวกเขาไว้

“ตอนนี้มีคนขึ้นไปบนหอคอยมากพอแล้ว หากพวกท่านอยากจะขึ้นไปก็ต้องรอให้คนเหล่านั้นลงมาเสียก่อน”

น้ำเสียงเรียบเฉยของสวีไหลแสดงจุดประสงค์อย่างชัดเจน แรงกดดันจากร่างของเขาค่อย ๆ แผ่ออกไปส่งผลให้หานชางและคนอื่น ๆ มีใบหน้าที่ถอดสีทันที

“ท่านจอมยุทธ์สวีไหล หอคอยต้องห้ามแห่งนี้เป็นของตระกูลหาน ในฐานะผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบัน หากข้าอยากจะขึ้นไปบนนั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบหรือขออนุญาตจากผู้ใด”

หานชางพยายามควบคุมอารมณ์ที่แทบระเบิดเต็มทีพร้อมกล่าวอย่างเยือกเย็นและกำหมัดแน่น หากมิใช่เพราะพลังที่แกร่งกล้าของสวีไหล เขาไม่มีทางเสียเวลากล่าววาจาสุภาพเช่นนี้อย่างแน่นอน

“โอ้ จริงอยู่ที่ว่าท่านไม่จำเป็นต้องขออนุญาตข้า เพียงแต่วันนี้ข้าไม่อยากให้ท่านขึ้นไปก็เท่านั้น หากท่านอยากจะขึ้นไปจริงๆ…ก็ข้ามศพข้าไปให้ได้เสียก่อน”

สวีไหลยิ้มมุมปากและกล่าวด้วยน้ำเสียงฟังดูน่าเกรงขามจนหานชางและคนอื่น ๆ แทบกระอักโลหิตออกมา

“เหอะ !”

หานชางและทุกคนได้เพียงแค่นเสียงในลำคอและไม่กล้าวู่วามทำสิ่งใด พวกเขาทั้งหมดเพียงรวมกลุ่มอยู่ที่ชั้นล่างสุดของหอคอยต้องห้ามอย่างเงียบ ๆ เพื่อรอฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกลับลงมา

.

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด