ยอดวิถีแห่งปีศาจ – ตอนที่ 66 ความประหลาดลี้ลับ (2)
พวกหลี่ซุ่นซีถูกพลพรรควาฬแดงล้อมเอาไว้หลายชั้น โดนปลดอาวุธในมือชั่วคราว
โดยเฉพาะหลี่ซุ่นซี ก่อนหน้านี้ตอนเห็นเด็กสาวคนนั้นถูกลู่เซิ่งฟันขาดเป็นสองท่อน เขาโมโหโกรธแค้น คับข้องไม่เข้าใจ เพียงรู้สึกว่าลู่เซิ่งโหดเหี้ยมเกินไป แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ไม่ละเว้น
แต่ไม่รอให้เขาถามออกไป ก็พรึงเพริดเพราะการเปลี่ยนแปลงติดๆ กันในภายหลัง
ใบหน้าอันน่ากลัวของเด็กสาวที่ละลายในกองเพลิงทำให้เขาตัวสั่นเทา ความคับแค้นเต็มอกเมื่อก่อนหน้าปลาสนาการไปสิ้น ที่มาแทนที่เป็นความหวาดกลัว
จนถึงตอนนี้เมื่อถูกพลพรรคจับไว้ จึงค่อยเข้าใจความรัดกุมในแผนการของลู่เซิ่ง
คนผู้นี้ถึงกับคิดเผาหมู่บ้านตระกูลซ่งทิ้งตั้งแต่แรก! ไม่เห็นพลพรรครอบๆ ตัว เตรียมเกาทัณฑ์กับน้ำมันไว้แต่แรกหรือ
เขาคิดออกว่า ต้วนเหมิ่งอันกับนิ่งซานก็คิดถึงข้อนี้เช่นกัน คนทั้งสามจิตใจเย็นเยียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนเข้าหมู่บ้าน ลู่เซิ่งไม่มีทางคาดออกว่าจะมีคนอื่นเข้าไปหรือไม่ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังออกคำสั่งเผาบ้าน เห็นได้ถึงความเด็ดขาดอำมหิตของจิตใจ ไม่เหมือนคนธรรมดา
หลี่ซุ่นซีหวาดกลัว มองดูหมู่บ้านที่ลุกไหม้อย่างเหม่อลอย
เปรี้ยง!
สายฟ้าสายหนึ่งแลบผ่าน ฝนตกปรอยๆ ลงมา
เพลิงยังคงลุกไหม้อย่างรุนแรง แต่พอถูกฝนตกลงมากระทบใส่ ก็พลันอ่อนลงเล็กน้อย
“ถอย!” ลู่เซิ่งบังคับม้าหมุนตัว ขับขี่มันมุ่งไปยังทางหมู่บ้านหมืองแร่
พลพรรคพากันติดตาม ไม่มองหมู่บ้านตระกูลซ่งที่ลุกไหม้อยู่ด้านหลังอีก
กลับมาถึงหมู่บ้านแร่เหล็ก ฝนยิ่งมายิ่งตกหนัก ทุกคนจัดระเบียบห้องพัก ลู่เซิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้า ปรับลมหายใจรับประทานผงยารักษาอาการบาดเจ็บหลายชนิด รอจนฟ้าสาง ก็พาพลพรรควาฬแดงกลับไปหมู่บ้านตระกูลซ่ง
หลังจากฟ้าสว่าง ฝนก็หยุดลงเช่นกัน
พอทุกคนกลับถึงหน้าหมู่บ้านตระกูลซ่ง ยังพอเห็นเห็นหมู่บ้านที่ดำเกรียมพังถล่มลง หลงเหลืออยู่ ประตูถูกเผาจนดำ แขวนอยู่บนประตูครึ่งหนึ่ง ด้านในยังมีควันขาวลอยอยู่ตลอด คล้ายกับมีไฟจากสักแห่งที่ยังไม่ดับ
กำแพงสูงรอบๆ หมู่บ้านยังคงอยู่ เพียงแต่บนพื้นหินเต็มไปด้วยรอยดำจากการลุกไหม้
พลพรรคมากกว่าร้อยคนแยกย้ายกันล้อมหมู่บ้านตระกูลเซิ่งไว้ หยุดห่างจากหมู่บ้านยี่สิบกว่าหมี่
ลู่เซิ่งถือดาบนำหน้าเดินเข้าหาประตูใหญ่ หลังจากปรับลมหายใจมากกว่าค่อนคืน อาการบาดเจ็บของเขาก็ดีขึ้นมาก ตอนนี้พักผ่อนเพียงพอ คึกคักฮึกเหิม เป็นโอกาสดีที่จะขยับมือ
หลี่ซุ่นซีก็ปลุกปลอบตัวเอง ติดตามมาดูสถานการณ์ ตอนนี้เดินอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง
“พี่ลู่ หลังจากไฟเผา ในหมู่บ้านสมควรไม่เหลืออะไรแล้ว เด็กหญิงคนนั้นถ้าข้าเดาไม่ผิด สมควรเป็นศพโลหิต” เขากล่าวเสียงทุ้ม
“ศพโลหิตหรือ” ลู่เซิ่งได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก
เขาถีบประตูหมู่บ้านดังโครม สาวเท้าเดินเข้าไป
“ศพโลหิตเป็นผีที่กำเนิดขึ้นหลังเลือดพยาบาทผนึกตัว ไม่ใช่เปลี่ยนจากคนเป็น หากเป็นผีที่เกิดขึ้นเอง” หลี่ซุ่นซีกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อคืน ข้าคุยกับบัณฑิตที่หนีออกมาได้ผู้นั้นทั้งคืน ข้าเคยเรียนการอ่านริมฝีปากส่วนหนึ่ง กลับสนทนาไร้อุปสรรค”
“อ้อ” ลู่เซิ่งหันมามองเขาแวบหนึ่ง กลับคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมากความสามารถ
ในลานหลักของหมู่บ้านตอนนี้ดำเกรียม บนกำแพงและห้องหับทั้งหมดถูกเผาจนร้อนเหลือประมาณ มีแค่ควันลอยไปมา แยกแยะไม่ออกว่าเป็นไอร้อนหรือควันที่ระเหยเพราะฝน
ยามเดินบนเส้นทางเหมือนเหยียบอยู่บนเตาอุ่นๆ
หลี่ซุ่นซีกล่าวต่อ “คนข้างนอกเล่าว่า ซ่งอวิ๋นจวนนั่นเป็นน้องเล็กคนที่ห้าของหมู่บ้านแห่งนี้ และเป็นน้องสาวของซ่งอวิ๋นเฉิงบัณฑิตผู้นั้น
“แต่ข้าได้ทราบหลังจากถามไถ่ซ่งอวิ๋นเฉิงว่า เขาไม่มีน้องห้าอันใด ในบ้านเขามีแค่เขากับน้องรอง พี่น้องสามคนที่เหลือไม่ทราบโผล่มาจากไหน! ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ เขาถึงกับอยู่กับพวกมันหลายปีถึงค่อยค้นพบความจริง!”
ลู่เซิ่งรู้สึกเย็นเยียบ หยุดฝีเท้าลง
“หมายความว่าอะไร หรือว่านอกจากซ่งอวิ๋นจวนแล้ว ในหมู่บ้านยังมีตัวประหลาดอีกสองตัว!”
“ไม่ทราบ แต่หลังจากบัณฑิตผู้นั้นพบความจริงอันน่ากลัวนี้ ก็ถูกซ่งอวิ๋นจวนหรือตัวประหลาดนั่นตัดลิ้น เลี้ยงไว้ในบ้าน สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งคือ บัณฑิตคนนั้นบอกว่า ปกติซ่งอวิ๋นจวนไปโรงเรียน กลับบ้าน ทานอาหารนอนหลับไม่ต่างจากคนปกติ แต่พอนอนหลับ จะลุกขึ้นจากเตียง เปลี่ยนเป็นมารคลั่งที่น่ากลัวไล่สังหารคน เขาคิดจะฉวยโอกาสตอนที่ซ่งอวิ๋นจวนตื่นอยู่ฆ่านางหลายครั้ง แต่ว่าไม่กล้า”
หลี่ซุ่นซีขมวดคิ้วว่า “เขายังพูดว่า คล้ายกับซ่งอวิ๋นจวนปกติจะพูดอยู่คนเดียว ไม่ทราบว่าสนทนาอยู่กับใคร”
“หรือไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเขาลุ่มหลงในวิชาเซียนการกลั่นโอสถ” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม
“ไม่ทราบ ข้าถามเขาเรื่องนี้เหมือนกัน เขาเล่าว่ามีอยู่วันหนึ่งเขาไปเจอโอสถที่ดำเหมือนหยกเม็ดหนึ่งในรังนกกลางป่า นำกลับมาดูที่บ้านไม่ใช่โอสถที่คนอื่นกลั่น กลับคิดไม่ถึงว่าโอสถนั่นหายไปอย่างลี้ลับ ภายหลังในบ้านก็เริ่มปรากฏความผิดปกติ” หลี่ซุ่นซีตอบอย่างจริงจัง
แกรบ
อยู่ๆ ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า คล้ายเหยียบโดนอะไร
เขาก้มลงมอง ถึงกับเป็นเส้นผมสตรีที่ดำสนิทเหมือนหมึก
ลู่เซิ่งใช้ปลายดาบเขี่ยเส้นผมสีดำขึ้นมาพิจารณา
ทันใดนั้นสีหน้าเขาพลันเปลี่ยนแปลง
“หนี!”
เขาดึงคอเสื้อด้านหลังของหลี่ซุ่นซี หมุนตัวพุ่งไปยังประตูใหญ่ กระโจนออกไปเหมือนลูกศรแหลมคม
ทั้งสองคนเพิ่งกระโดดออกจากประตูใหญ่ ก็ได้ยินเสียงเปรี้ยงทึมทึบอยู่ด้านหลัง
เมื่อหันไปมอง ประตูใหญ่ดำเกรียมของหมู่บ้านที่ก่อนหน้านี้ถูกเผาจนไม่เหลือเค้าคู่นั้น ถึงกับปิดสนิทลง เหมือนกับมีคนปิดประตูใหญ่จากด้านใน
ลู่เซิ่งอาศัยความเฉื่อยหลังจากพุ่งออกมาสิบกว่าหมี่ค่อยๆ หยุดลง มือหนึ่งคว้าหลี่ซุ่นซีที่ทุลักทุเลอยู่บ้าง หันไปมองหมู่บ้าน สีหน้าเคร่งขรึม
“สถานที่นี้อันตรายยิ่ง!”
“ข้าเข้าใจแล้ว… นี่คือความประหลาดลี้ลับ ต้องใช่แน่! อาจารย์ข้าเคยพูดถึง มีแต่ความประหลาดลี้ลับจึงเป็นเช่นนี้! ศพโลหิตที่แม้แต่ไฟก็เผาไม่ได้…” หลี่ซุ่นซีสีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ใบหน้าหวาดผวา
“ความประหลาดลี้ลับอันใด!” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม
หลี่ซุ่นซีกลืนน้ำลาย จ้องประตูหมู่บ้านตระกูลซ่งที่ปิดสนิทเขม็ง
“พวกเราไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากล่าว!” หน้าเขาเริ่มเขียวบ้างแล้ว
ลู่เซิ่งเพ่งมองหมู่บ้านตระกูลซ่งที่ตอนนี้มืดครึ้มเงียบสงัด ทรุดโทรมและอันตรายกว่าก่อนหน้า
“ไปเถอะ ถอยก่อน” เขามองเส้นผมดำของสตรีปอยหนึ่งที่ติดอยู่บนปลายดาบ แม้แต่ไฟก็ยังเผามันไม่ได้
…
สำนักสาขาพรรควาฬแดง
ในป่าไผ่เล็กๆ แห่งหนึ่งนอกเมืองเลียบคีรี หอไม้ไผ่แห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่เงียบๆ ใบไผ่สีเขียวมรกตห้อมล้อมหอไผ่ ส่งเสียงซ่าๆ เบาๆ ตามสายลมตลอดเวลา
ในห้องสงบใจห้องหนึ่งบนชั้นสอง ภายใต้การอารักขาของพลพรรคหลายคน ลู่เซิ่งกับหลี่ซุ่นซีนั่งตรงข้ามกัน บนโต๊ะไผ่ตรงกลางจัดวางสุราและอาหาร
หลี่ซุ่นซีเงยหน้ากวาดตามองรอบๆ สิ่งที่เห็นทั้งหมดเขียวขจี ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งมีสมาธิ
“พี่ลู่พิถีพิถันนัก”
“พี่หลี่ชาติกำเนิดไม่สามัญ ที่เล็กๆ แบบนี้ไม่นับเป็นอะไร” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ “พูดถึงหัวข้อก่อนหน้าต่อเถอะ ความประหลาดลี้ลับที่ว่านั้นคืออะไร พี่หลีได้โปรดชี้แนะ” เขาไม่มีความรู้สึกแย่ต่อหลี่ซุ่นซี เพียงรู้สึกว่าเขาเป็นคนดีเกินไปเท่านั้น คนผู้นี้รักความยุติธรรมอย่างแรงกล้า ทั้งยังขาดประสบการณ์ ถูกเรื่องราวก่อนหน้านี้หลอกลวงได้โดยง่าย อย่างอื่นกลับใช้ได้
หลี่ซุ่นซีได้ยินคำนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนแปลง
“ความประหลาดลี้ลับ…”
เขาประคองจอกสุราขึ้น กรอกน้ำสุราสีเขียวเข้าปากอึกหนึ่ง
“หากบอกว่าภูตผีเป็นตัวตนที่เกิดเพราะการเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นความประหลาดลี้ลับก็เป็นวัตถุสภาพพิเศษที่ทำลายทิ้งไม่ได้”
“วัตถุสภาพพิเศษหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง “ท่านหมายถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่นรุ้งกินน้ำ แผ่นดินไหวหรือ”
“ไม่… ไม่ใช่แค่นั้น ข้าเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า ความพิเศษที่สุดของความประหลาดลี้ลับทั้งมวลก็คือมันจะดำรงอยู่ตลอดกาล เหมือนกับหมู่บ้านตระกูลซ่งนั่น ข้ากล้ายืนยันได้ว่าถ้าหากพวกเราเข้าไปอีกครั้ง ก็จะเจอเด็กสาวซ่งอวิ๋นจวนนั่นอีกหน ยังเจอภูตผีวิญญาณศพเมื่อก่อนหน้า” หลี่ซุ่นซีกล่าวเสียงทุ้ม
“พี่หลี่เหตุใดจึงรู้จักสิ่งเหล่านี้” ลู่เซิ่งเงียบงันเล็กน้อยแล้วถาม
หลี่ซุ่นซีเงียบลง
สักพักหนึ่ง เขาก็รินสุราให้ตัวเอง เงยหน้าขึ้นดื่ม
“อาจารย์ของข้า เสียชีวิตในความประหลาดลี้ลับครั้งหนึ่ง”
ลู่เซิ่งนิ่งอึ้ง ไม่พูดอะไรอีก คิดไม่ถึงว่าหลี่ซุ่นซีจะเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ล้ำลึกยิ่ง
หลี่ซุ่นซียิ้ม ใบหน้าบิดเบี้ยวอยู่บ้าง
“ข้าออกหาประสบการณ์ก็เพื่อยกระดับตัวเองขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแก้แค้นให้กับอาจารย์ของข้าในไม่ช้าก็เร็ว!”
“พี่หลี่ท่านมีชาติกำเนิดไม่น่าต่ำต้อยกระมัง แม้แต่ท่านตอนนี้ก็ไม่มีวิธีหรือ” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
หลี่ซุ่นซีได้ยินก็งงงัน จากนั้นจึงยิ้มฝาดเฝื่อน
“ที่บ้านข้าไม่ต่ำต้อยจริงๆ แต่ความประหลาดลี้ลับเหมือนตระกูลขุนนาง ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาเช่นพวกเราจะต้านทานได้”
“ท่านก็รู้จักตระกูลขุนนางหรือ” ลู่เซิ่งตาเป็นประกายเล็กน้อย
“ข้ารู้จัก หากเป็นขุนนางถึงระดับหนึ่งก็จะทราบ” หลี่ซุ่นซีเอ่ยเรียบๆ “ตระกูลหวงที่เป็นตระกูลเบื้องหลังฝ่าบาทในปัจจุบัน เป็นผู้ควบคุมใต้หล้า เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นตัวแทนหนึ่งของตระกูลขุนนาง”
เป็นอย่างที่คิดไว้
ลู่เซิ่งหนักใจ เหมือนกับการคาดเดาของเขาจริงๆ ตระกูลจักรพรรดิต้าซ่งในปัจจุบันเป็นสมาชิกของตระกูลขุนนาง
“เอาละ ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว ยังไกลตัวพวกเราเกินไป คนของตระกูลขุนนางสูงส่ง ลี้ลับน่าอัศจรรย์ ไม่ใช่โลกเดียวกับที่พวกเราอาศัย” หลี่ซุ่นซีเอ่ยเสียงเฝื่อน
“อย่างนั้นสถานที่อื่นก็น่าจะเจอความประหลาดลี้ลับนี้เช่นกัน พวกเขาจัดการอย่างไร” ลู่เซิ่งถาม
“จัดให้เป็นพื้นที่หวงห้าม ทุกคนต้องอ้อมผ่าน” หลี่ซุ่นซีตอบ
“จัดให้เป็นพื้นที่หวงห้าม” ลู่เซิ่งหมดคำพูด นี่ไม่เท่ากับไร้หนทางหรอกหรือ
“ใช่แล้ว ความประหลาดลี้ลับมีอาณาเขต ขอแค่ไม่บุ่มบ่ามเข้าไปก็พอ” หลี่ซุ่นซีพยักหน้า “แต่จะว่าไป ข้ากลับค่อนข้างสนใจว่า พี่ลู่ทำร้ายวิญญาณศพได้อย่างไร”
“นี่หรือว่าจะยากยิ่ง” ลู่เซิ่งงุนงง
“หาได้ยาก หาได้ยากมาก” หลี่ซุ่นซีใช้สายตาแปลกพิกลมองลู่เซิ่ง “แม้มีวิชากำลังภายในธาตุหยางไม่น้อย เมื่อฝึกถึงระดับสูงต่างทำร้ายภูตผีได้ แต่นั่นเป็นภูตผีระดับต่ำ หนำซ้ำทุบตีสักหลายสิบครั้งแล้วค่อยกำจัดภูตผีตัวหนึ่งได้ก็ไม่เลวแล้ว
“ในหมู่ภูตผี วิญญาณศพนับว่าเป็นสิ่งที่ตึงมือเช่นกัน ถึงกับถูกพี่ลู่ใช้สองฝ่ามือกระแทกไปหลายสิบกระบวนท่า จนละลายกลายเป็นน้ำดำ ผู้แซ่หลี่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก”
ลู่เซิ่งฉงนเล็กน้อย
“อาจเป็นเพราะวิชาที่ข้าฝึกเป็นธาตุหยางที่แกร่งที่สุด”
“ขอถามพี่ลู่ วิชากำลังภายในที่ท่านฝึกมีชื่ออะไร” หลี่ซุ่นซีถามด้วยความอยากรู้
………………………………………….
คอมเม้นต์