ยอดวิถีแห่งปีศาจ – ตอนที่ 71 ท้ารบ (1)
‘นี่เป็น…ปราณเข็มทิ่มแทงไม่ใช่หรือ’
ลู่เซิ่งเดินมาถึงข้างต้นไม้ต้นหนึ่ง ยื่นมือออกไปลูบลำต้น ผิวเปลือกไม้พลันปรากฏร่องรอยเหมือนกับรูเข็มเล็กๆ จำนวนมาก
‘วิชาหยินหยางกระเรียนหยกถึงกับกลายเป็นพลังปราณเข็มทิ่มแทงหรือ?!’ เขาตกใจอยู่บ้าง
ตั้งแต่วิชาเดินลมปราณใช้กำลังภายในลมปราณที่กำลังโคจรอยู่ด้านในอย่างเดียว เหมือนที่เขาเคยนึกไว้แต่แรก นี่ผ่านไปแค่ไม่เท่าไร ก็กลายเป็นกำลังภายในเหมือนในนวนิยายกำลังภายในซึ่งส่งผลโดยตรงต่อวัตถุภายนอก
‘ไม่ถูกสิ เรามีผลแบบนี้ ไม่ได้แสดงว่าคนอื่นๆ จะทำอย่างนี้ได้ ความสามารถที่เราใช้นี้ คนอื่นๆ ไม่มีพลังยุทธ์หลายสิบปีไม่อาจบรรลุถึง สมควรเป็นปราณภายในที่ยิ่งใหญ่เกินไป ทำให้การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติ ค่อยปรากฏผลพิเศษเช่นนี้’ ลู่เซิ่งเข้าใจอย่างรวดเร็ว
เขาชักมือกลับมาแบดู ฝ่ามือไม่มีสภาพผิดปกติใดๆ แตกต่างจากความแดงราวกับเลือดของวิชาโลหิตพิฆาต การเก็บงำของวิชาหยินหยางกระเรียนหยกดีกว่าเดิมเล็กน้อย
‘ถ้าตอนที่เราโคจรวิชาทมิฬพิฆาตใช้วิชาหยินหยางกระเรียนหยกได้พร้อมกันเล่า’
ลู่เซิ่งตื่นเต้น มือซ้ายใช้วิชาโลหิตพิฆาต มือขวาใช้วิชาหยินหยางกระเรียนหยก กระแทกสองฝ่ามือออกไปพร้อมกัน
แกว๊ก
เสียงร้องแหลมเสียงหนึ่งพลันดังกึกก้องในห้องเพาะดอกไม้
ต้นไม้ขนาดเท่าปากชามตรงหน้าถูกโจมตีทั้งซ้ายและขวา เสียงดังโครมเมื่อถูกกระแทกหักลง ลำต้นท่อนบนล้มลงพื้น ส่วนที่หักดำเกรียมกลายเป็นรูๆ เหมือนรังผึ้ง
ลู่เซิ่งยังไม่หยุดยั้ง หมุนตัวกระแทกสองฝ่ามือใส่พื้น
เปรี้ยง!
แผ่นหินบนพื้นดังแกร่ก แยกออกจากกันเกิดรอยฝ่ามือสภาพไม่เหมือนกันสองรอย
เขาก้มลงไปดู
รอยฝ่ามือวิชาโลหิตพิฆาตข้างขวาเป็นสีดำเกรียม ลึกนิ้วหนึ่ง
รอยฝ่ามือวิชาหยินหยางกระเรียนหยกข้างซ้ายที่เป็นก้อนกรวดกลายเป็นหลุมขนาดเล็ก ขอบหยัก ลึกมากกว่าสองนิ้ว
‘พละกำลังเท่ากันทั้งสองด้าน พลังทำลายล้างของวิชาหยินหยางกระเรียนหยกรุนแรงกว่าวิชาโลหิตพิฆาตมาก’ ลู่เซิ่งพลันเข้าใจแล้ว
‘นี่ยังนับเป็นวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตหรือ’ เขาหมดคำพูดอยู่บ้าง ‘แต่ว่าตัววิชาโลหิตพิฆาตกำลังถูกวิชาลมปราณแดงฉานเปลี่ยนถ่ายอย่างต่อเนื่อง วันหน้าผลตามความจริงของอานุภาพปราณวิชาลมปราณแดงฉานสมควรไล่ตามทัน เพียงแต่ตอนนี้ วิชาหยินหยางกระเรียนหยกกลับกลายเป็นไพ่ตายใบหนึ่งของเราแล้ว’
ลู่เซิ่งคิดไม่ถึงว่าอานุภาพของวิชาหยินหยางกระเรียนหยกหลังจากหลอมรวมจะรุนแรงขนาดนี้ แทบเป็นสองเท่าของวิชาโลหิตพิฆาต ใช้ตอนที่อีกฝ่ายคาดไม่ถึง สามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ต่อสู้ได้ในพริบตา
เขาหลับตาปรับลมหายใจอยู่พักหนึ่งในห้องเพาะดอกไม้ แล้วค่อยๆ เดินออกไปพักผ่อนกินอาหารในห้องเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง
ห้องเล็กๆ เป็นกระท่อมสีน้ำตาล ใช้โคลนดำชนิดพิเศษอัดเป็นอิฐตากให้แห้งแล้วก่อขึ้น ปกติเป็นที่กินอาหารของคนทำสวนและผู้ดูแล ตอนนี้ลู่เซิ่งเมื่อมาถึงก็ได้ย้ายตำแหน่งพวกเขาไป
อาหารเป็นสามกับสี่น้ำแกงที่ลู่เซิ่งให้สำนักสาขาของพรรคในเมืองส่งมาโดยเฉพาะได้แก่ เนื้อวัวย่างถั่วดิน ลูกไก่ตุ๋นเห็ด หนังหมูแช่แข็ง กับน้ำแกงกระดูกเสือโสมภูเขา
อาหารล้วนเป็นของบำรุงชั้นเลิศที่มีแต่ลู่เซิ่งรับประทาน เนื้อวัวลูกไก่อันใด คนปกติไม่กิน
“สวัสดิการนี้ไม่เหมือนลูกหลานบ้านรวยทั่วไปจริงๆ” ลู่เซิ่งมองกับข้าวตรงหน้า สะท้อนใจอยู่บ้าง
“ย่อมแน่นอน คุณชายยังไม่ทราบ พวกเราพรรควาฬแดงทุกปีมีพวกเดียวกันเลี้ยงฝูงวัวจำนวนมาก ยังมีโสมภูเขากับกระดูกเสือต่างเป็นพวกพรานในป่าล่ามาด้วยตัวเอง เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ใช้ผลงานพรรคจึงแลกมาได้ สำหรับพลพรรคทั่วไป คุณูปการเล็กน้อยแม้ไม่มาก แต่ถ้าสั่งสมจากน้อยเป็นมาก สามารถแลกเปลี่ยนคัมภีร์ลับวรยุทธ์ที่ดีกว่าเดิมได้” นิ่งซานที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวอย่างนบน้อม
ตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านตระกูลซ่ง ลู่เซิ่งก็ให้เขาอยู่ข้างตัว ไม่ใช่เหตุใดอื่น แต่เป็นเพราะนิ่งซานผู้นี้นอนกับผีกลุ่มใหญ่ได้นานขนาดนั้นยังปลอดภัยไร้เรื่องราว ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจอยู่บ้าง
บวกกับคนผู้นี้มีความอดทน มีมารยาทรู้จักรุกรู้จักถอย เข้าใจหลักครองตนในสังคมดียิ่ง ลู่เซิ่งค่อยๆ คุ้นชินให้เขาอยู่ข้างกายแล้ว
“กับข้าวไม่เลว แต่เผ็ดน้อยไปหน่อย” ลู่เซิ่งกินหมูแช่เย็น ด้านในเป็นรสเปรี้ยว ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าจะไปบอกพ่อครัวใหญ่” นิ่งซานรีบเอ่ย
“อืม” ลู่เซิ่งพยักหน้า ยกน้ำแกงในถ้วยไม้ขนาดเท่าหัวคนขึ้นซดลงไปอึกๆ
เขาซดน้ำแกงกระดูกเสือคำเดียวหนึ่งในสามส่วน ใช้ตะเกียบเขี่ยด้านใน ตักเนื้อกับโสมเข้าปากเคี้ยว กระดูกถูกตุ๋นจนอ่อน น้ำแกงสดชื่นเหลือประมาณ แทรกกลิ่นหอมของโสมคนจางๆ ไม่เลวยิ่ง
ลู่เซิ่งกินอาหารตรงหน้าไปมากกว่าครึ่งอย่างรวดเร็วเหมือนพายุพัดเมฆ
ในตอนนี้เอง ด้านนอกแว่วเสียงม้าตะบึงมาปานลมกรด
“คุณชาย! แย่แล้ว! สถานการณ์ไม่ดี!” ต้วนเหมิ่งอันเหงื่อเหม็นโชกตัว ถลันเข้ามาในห้อง สีหน้าหวาดกลัวอยู่บ้าง
“เรื่องอะไร นั่งลงค่อยพูด” ลู่เซิ่งไม่รีบร้อน ยกถังข้าวขึ้นใช้ช้อนตักใส่ปากคำโต เคี้ยวสองสามครั้งก็กลืน จากนั้นเงยหน้ามองต้วนเหมิ่งอันอย่างเอ้อระเหย
ชายฉกรรจ์ใจนักเลงตอนนี้หน้าซีด เหงื่อแตกเต็มศีรษะ กำกระดาษสีขาวเหมือนเทียบเชิญใบหนึ่ง
“คุณชาย! แย่แล้วขอรับ! รองประมุขพรรคใต้เท้ากงซุนส่งสาสน์ท้ารบมาหาท่านด้วยตัวเอง! ยังเป็นสาสน์เป็นตายอีกด้วย!” เขารีบส่งสาสน์ในมือไปตรงหน้าลู่เซิ่ง
“สาสน์เป็นตายหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว “ดูเหมือนหลานเขาใกล้ตายแล้ว เจ้าลูกเต่าตัวนี้ในที่สุดก็ลงมือ”
ถึงไม่ทราบขีดความสามารถของกงซุนจางหลาน แต่ต่อให้เขาแข็งแกร่งแล้วจะยังแข็งแกร่งกว่าประมุขพรรคเฒ่าอีกหรือ ต่อให้ใกล้เคียงกับเขา ปราณภายในที่ยิ่งใหญ่ของเขายังกลัวจะไม่ลากถ่วงอีกฝ่ายจนตายเลยหรือ
“คุณชาย! นั่นมันรองประมุขพรรคกงซุนจางหลาน! ผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดที่ตอนหนุ่มเคยสร้างผลงานนับหมื่น สังหารโจรสิบสามคน ทำให้โจรมากกว่าพันคนตกใจหนีกระเจิงเชียวนะ!” ต้วนเหมิ่งอันขลาดกลัว ทั้งๆ ที่เป็นคนรูปร่างล่ำสัน แต่นิสัยกลับขี้ขลาดกลัวตาย ไม่เหมือนนิ่งซาน รูปร่างไม่กำยำ แต่นิสัยหนักแน่น
“แล้วจะเป็นไร ข่าวลือมักเกินความจริง บวกกับคุณชายไหนเลยเป็นคนกลัวเรื่องราว ตอนที่ทำร้ายกงซุนจิ้งนั่นสมควรมีการคาดการณ์แล้วมิใช่หรือ’ แม้นิ่งซานจะแตกตื่น ใจเต้นระทึกเหมือนกัน แต่ตอนนี้สีหน้ายังคงสงบนิ่ง เอ่ยเสียงเย็นชา เขาพนันสมบัติทั้งหมดกับตัวของลู่เซิ่งแล้ว
แตกต่างจากต้วนเหมิ่งอันที่โง่งม นิ่งซานมองออกตั้งนานแล้วว่าลู่เซิ่งตั้งใจทำร้ายกงซุนจิ้ง หมายจะสร้างความขัดแย้งโดยตรงระหว่างตนกับกงซุนจางหลาน ในเมื่อลู่เซิ่งทำตัวเอง เช่นนั้นสมควรมีความมั่นใจไม่น้อย คิดทะยานกลายเป็นคนใกล้ชิดของผู้จัดการภารกิจภายนอกลู่ โอกาสนี้ไม่อาจพลาดไป
“ในเมื่อผู้เฒ่าที่ไม่ยอมตายนั้นจำเป็นต้องลงมือแล้ว สาสน์ท้ารบนี้ข้าขอรับไว้” เขาหยิบสาสน์ท้ารบขึ้นมาพลิกเปิดเบาๆ ด้านบนมีข้อความแถวหนึ่ง
‘สามวันให้หลังก่อนอาทิตย์ตกดิน หุบเขากาลนาน ศึกเป็นตาย – กงซุนจางหลาน’
“น่าสนใจ หุบเขากาลนานอยู่ที่ใด” ลู่เซิ่งถาม
“เรียนคุณชาย อยู่ในส่วนลึกของเขาบูรพา เป็นหุบเขาที่ว่ากันว่ามีเสือดำเข้าออก” นิ่งซานตอบ
“เจ้ารู้ทางหรือไม่” ลู่เซิ่งถามอีก
พอถูกถาม นิ่งซานพลันนิ่งอึ้ง จากนั้นก็ใคร่ครวญ ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนยิ่ง ถ้าเขารู้ทางเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องเป็นคนพาลู่เซิ่งไป อันตรายที่แฝงเร้นในนั้นสุดที่คนธรรมดาจะรับได้
เกิดว่าลู่เซิ่งแพ้ เผชิญหน้ากับกงซุนจางหลานที่กำลังเดือดดาล เขาไม่แน่ว่าจะรอดมาได้
ความคิดแล่นปราด นิ่งซานเงียบไปพักหนึ่ง
“รู้จัก!”
ลู่เซิ่งมองเขาอย่างล้ำลึก ยิ้มกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ดี ถึงเวลาเจ้านำทาง พวกเราไปด้วยกัน”
นี่ไม่ใช่ศึกเป็นตายที่ได้รับการรับรอง เป็นแค่ศึกเป็นตายสำหรับแก้ไขบุญคุณความแค้นเป็นการส่วนตัว ดังนั้นสองฝ่ายไม่คิดป่าวประกาศ
หลังกินอาหาร ลู่เซิ่งไม่ได้กลับเมืองเลียบคีรี แต่ตรงไปที่เรือวาฬแดง มุ่งหน้าสู่สถานที่เก็บคัมภีร์ที่ล้ำค่าและสำคัญที่สุดของพรรควาฬแดง ศาลาประกาศยุทธ
ศาลาประกาศยุทธตั้งอยู่ใจกลางเรือวาฬแดง รอบๆ คุ้มกันแน่นหนา เป็นหอเล็กๆ แยกเดี่ยวที่สร้างขึ้นในตัวเรือ
หอเล็กสีดำสนิทตั้งตระหง่านอย่างสงบอยู่ในเรือ ยอดฝีมือกำลังภายนอกที่ร่างกำยำหลายกลุ่มเฝ้าอยู่รอบๆ อย่างระมัดระวัง
ลู่เซิ่งหยิบป้ายคำสั่งของตนออกมา ผ่านการตรวจสอบโดยด่านชั้นหนึ่ง เข้าไปสู่ชั้นหนึ่งของศาลาประกาศยุทธ
หอแรกเป็นวรยุทธ์พื้นฐานหลากประเภท ส่วนใหญ่เป็นวิชาโจมตีทั่วไปที่ธรรมดายิ่งกว่าดาบถลาลมและหัตถ์หมีขยุ้ม วิชาเดินลมปราณด้านลมปราณพละกำลังไม่เห็นแม้แต่เงา วิชาดาบวาฬแดงก็เป็นวรยุทธ์ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายของที่นี่
ลู่เซิ่งยังพบท่าเท้าแปดสมบัติที่ตนเคยเรียนอยู่ที่นี่ ท่าเท้านี้ถูกเขาแก้ไขถึงระดับสูงสุดแล้ว จึงไม่ธรรมดาเหมือนก่อนหน้า แต่สุดท้ายก็เป็นแค่วรยุทธ์ต่ำกว่าระดับสาม คุณค่าน้อยนิด
ลู่เซิ่งกวาดมองแวบหนึ่ง พบว่าวรยุทธ์ระดับหนึ่งนี้ต่างเป็นของธรรมดาที่ไม่ถึงระดับพลังปลอดโปร่งด้วยซ้ำ จำนวนคนที่ยืมอ่านก็ไม่น้อย เข้าๆ ออกๆ เห็นคนหยิบพลิกอ่านอยู่ทุกที่
เขาจึงไม่เสียเวลาอีก ไปยังหอที่สอง
คนในหอที่สองน้อยลงมาก มีแค่สิบกว่าคนกระจัดกระจายกันอยู่ ต่างอ่านวรยุทธ์ที่ตัวเองต้องการอย่างสงบ
วรยุทธ์ที่จำเป็นต้องใช้ผลงานส่วนหนึ่งมีแค่ชื่อกับการแนะนำ เล่มจริงไม่ได้อยู่ในชั้น
ลู่เซิ่งมองไปตามชั้นหนังสือแต่ละแถว ไม่ทันไรก็เจอตำแหน่งที่หัตถ์หมีขยุ้มในวิชาแข็งกร้าวอยู่ เป็นวิชาแข็งกร้าวที่ไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างที่คิด
ด้านข้างยังมีวิชาแข็งกร้าวอีกหลายชนิด แต่ต่างมีแค่ชื่อกับการแนะนำ
‘วิชาด้ายทอง’ ‘กำปั้นตัดวิญญาณ’ ‘วิชาเสาสมบัติ’ ‘วิชาโอสถกลองพลบค่ำ’
วิชาแข็งกร้าวแต่ละชนิดจัดเรียงอยู่ด้านบน เงื่อนไขที่จำเป็นในการฝึกฝนก็เขียนไว้อย่างละเอียดชัดเจน
ลู่เซิ่งสนใจวิชาแข็งกร้าวมาก อย่างไรก็เป็นสิ่งที่รักษาชีวิตได้ ถ้าฝึกได้อีกหลายวิชา ก็มีโอกาสรอดในเวลาสำคัญ
แต่ว่าตอนนี้ เขาพลันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง
‘ความสามารถที่เราเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ พละกำลัง สมาธิ สารจำเป็น ปราณ จิตที่ใช้ก็มากมายนัก แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือลงทุนกระจัดกระจายเกินไป การยกระดับต่อการต่อสู้จริงไม่ได้มากอย่างที่คิดไว้
‘บางทีเราควรเลือกวรยุทธ์ชนิดหนึ่งฝึกฝนเป็นหลัก เรียนรู้ยกระดับมันอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันไปถึงขั้นที่สุดจินตนาการ ไม่อย่างนั้นฝึกฝนวรยุทธ์อย่างอื่นมากกว่านี้ ก็รังแต่จะเละเทะ ซับซ้อนไร้แก่น’
เขาตกสู่ห้วงความคิดหน้าชั้นหนังสือ
สักพักหนึ่ง ลู่เซิ่งค่อยๆ ได้สติกลับมา
‘วิชาลมปราณแดงฉานกว้างไกลลึกซึ้งมีเจ็ดระดับ ฝึกได้อีกนาน ใช้มันเป็นวิชาฝึกฝนหลัก นอกจากนี้วิชาหยินหยางกระเรียนหยกก็มีอานุภาพแข็งแกร่ง ใช้เป็นการเก็บสำรองตอนยกระดับวรยุทธ์ได้ ให้เป็นวิชาหลักที่สอง และไพ่ตาย กระบวนท่าถึงแก่ชีวิตในเวลาสำคัญ’
คิดแผนเสร็จ ลู่เซิ่งก็มองวิชาเหล่านี้อีกครั้ง มีความมั่นใจแล้ว
‘เลือกวิชาแข็งกร้าวที่ดีเอาไว้ปกป้องชีวิต ประสานเสริมกับวิชาลมปราณแดงฉาน อานุภาพการลงมือเด็ดขาดมากพอ’
สายตาของเขาค่อยๆ กวาดผ่านชั้นหนังสือวิชาแข็งกร้าว วิชาแข็งกร้าวเกือบเก้าส่วนต่างต้องใช้ยาลูกกลอนน้ำแกงโอสถที่ทำพิเศษช่วยเหลือ ไม่มีทักษะด้านนี้ ลู่เซิ่งก็ไม่กล้ามอบสิ่งสำคัญเกี่ยวกับชีวิตและการฝึกฝนของตัวเองให้คนอื่นจัดการ ต่อให้เป็นโอสถหยางชาด เขาก็เคยหาหมอมาถามไถ่ส่วนประกอบเช่นกัน ภายหลังยังใช้กระต่ายทดลองดู
ดังนั้นวิชาแข็งกร้าวที่ต้องใช้วัตถุดิบยาเสริมต่างถูกเขาตัดทิ้งไป
วิชาแข็งกร้าวมีชั้นหนังสือเพียงสองชั้น ทั้งหมดมีสิบห้าเล่ม นี่เป็นการสั่งสมทั้งหมดที่พรรควาฬแดงรวบรวมไว้ มีทั้งขอบเขตพลังปลอดโปร่งถึงสำนึกปลอดโปร่ง แต่ว่าของขอบเขตผนึกจิตที่ดีกว่าไม่มี
………………………………………….
คอมเม้นต์