ยอดวิถีแห่งปีศาจ – ตอนที่ 145 แม่น้ำขาว (1)
บทที่ 145 แม่น้ำขาว (1)
แม่น้ำขาวอันกว้างใหญ่ไหลคดเคี้้ยวดั่งแถบผ้าไปตามทุ่งหญ้า ข้ามเนินเขา ทะลุเทือกเขาและป่าไม้ ไหลเข้าไปในหุบเขาใหญ่สีเขียวอมเทา
ในหุบเขาลึก วัวกระทิงอยู่รวมกันเป็นฝูง กวางกระโดดหนีไปจากข้างธารน้ำ ด้านในพุ่มไม้มีเงาร่างของเสือเลี่ยเป้า (ชีตาห์) กำลังหาอาหาร
แกว๊ก
อินทรีดำบินวนบนฟ้า สอดส่องมองหาเหยื่อด้านล่าง
ข้างต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่งในหุบเขา บุรุษหนุ่มสวมชุดคลุมสีเทาคนหนึ่งค่อยๆ เลิกหน้ากากและหมวกที่สวมอยู่ขึ้นมองเหยี่ยวดำ สายตามองหน้าผาสีขาวกว้างใหญ่กลางหุบเขา
ป้อมปราการขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนหน้าผา ที่นั่นเป็นเมืองสีขาวอมเทาที่งดงาม
กำแพงเมืองหนาสีเทาล้อมรอบคูเมืองไว้ มีขวากหนามหยาบใหญ่ตั้งอยู่รอบๆ หลายชั้น บนเส้นทางภูเขาที่ยื่นลงมาจากประตูเมือง เห็นผู้คนรถราคราคร่ำ
“เมืองอินทรีคู่… ผู้ใดจะคาดคิดว่าร้อยปีให้หลัง ที่นี่จะกลายเป็นดินแดนอันน่ากลัวซึ่งรวบรวมภูตผีปีศาจไว้…” บุรุษหนุ่มถอนใจ เอ่ยเบาๆ
เขาคือหลี่ซุ่นซีที่เพิ่งหนีออกมาจากพันธมิตรบู๊ พันธมิตรบู๊ถูกแทรกซึม ผู้นำปิดด่านกะทันหัน เขาถูกใส่ร้ายป้ายสี โดนไล่ล่าตลอดทาง ความตายของพี่น้องตระกูลหลิ่ว เหตุเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยงกันนี้ทำให้คนหนุ่มที่เพิ่งอายุยี่สิบปีเติบโตอย่างรวดเร็ว
‘ในอนาคตที่เห็นจากหยกลี้ลับ ที่นี่จะเกิดภัยพิบัติใหญ่ เมืองอินทรีคู่ตั้งแต่บนถึงล่างไม่มีใครรอด กลายเป็นเมืองร้าง พรรคแม่น้ำขาวถูกทำลายในคืนเดียว เหลือแค่ไป๋ชิวหลิงผู้ครองโลหิตวิญญาณยักษ์ที่รอดชีวิต’ หลี่ซุ่นซีขมวดคิ้วเข้าหากัน “ต้องหาโลหิตวิญญาณยักษ์ แต่เราไม่อาจทนดูโศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นได้ ในนี้จะต้องมีคนของจวนอู๋โยวคอยก่อกวน… ครั้งนี้จะไม่ให้พวกมันบรรลุเป้าหมาย!’
เขานึกถึงฉากมากมายที่เกิดขึ้นในอนาคตซึ่งตนได้เห็นจากหยกลี้ลับ หยกลี้ลับ อาวุธเทพขั้นสูงสุดของตระกูลหลิ่ว อาวุธสังหารที่มีแต่คนซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษจึงจะใช้ได้ เป็นอาวุธเทพที่จวนอู๋โยวต้องการยึดครองมาโดยตลอด
หลี่ซุ่นซีได้มาอย่างสมบูรณ์ จึงค่อยทราบว่าหยกลี้ลับเป็นสิ่งใด
นั่นเป็นกลุ่มแสงไร้รูปร่างที่พร่ามัว กลุ่มหนึ่ง หมุนวนภายในกายเขาอย่างต่อเนื่อง หลิ่วฉินใช้ความตายของตัวเอง เซ่นสรวงโลหิตทั้งหมดเป็นค่าตอบแทน ให้เขาเห็นชะตาชีวิตในอนาคตของตัวเอง และเห็นตำแหน่งของผู้ถือครองโลหิตวิญญาณยักษ์หลายคน ยิ่งเห็นความเป็นไปได้ว่าควรจะเอาชนะจวนอู๋โยวอย่างไร
การหาโลหิตวิญญาณยักษ์ให้เจอ เป็นกุญแจสำคัญที่อาจคว่ำจวนอู๋โยวได้
‘เราในอนาคตจะเจอสหายที่ถูกกำหนดในชีวิต ไป๋ชิวหลิง สกุลไป๋เป็นเพราะบ้านแตกสาแหรกขาด ทำให้ไป๋ชิวหลิงเข้าสู่เส้นทางแก้แค้นเช่นกัน’ หลี่ซุ่นซีส่ายหน้าน้อยๆ ‘น่าเสียดาย อนาคตแบบนี้ข้าไม่ต้องการ!’ เขาก้าวเท้ายาวๆ เดินไปยังเมืองอินทรีคู่บนหน้าผา
ข้ามที่นาผืนใหญ่ เดินบนเส้นทางภูเขาที่มุ่งสู่เมืองอินทรีคู่ หลี่ซุ่นซีปลอมเป็นนักท่องเที่ยวที่มาจากภายนอก ติดตามขบวนพ่อค้า ใช้จ่ายเงินเล็กน้อย ก็เข้าเมืองอินทรีคู่ได้อย่างราบรื่น
รอบๆ ผู้คนพลุกพล่าน บนถนนมีหน่วยลาดตระเวนของพรรคกลุ่มใหญ่เดินผ่านตลอดเวลา
หลี่ซุ่นซีหาร้านน้ำชานั่งลง
“ท่านลูกค้า ต้องการดื่มอะไร” เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามา
“มีอะไรบ้าง”
“มีชาหิน ชาแดง ชาเขียวอ่อน ราคาไม่เท่ากัน รสชาติไม่เหมือนกัน แต่ว่าที่ขายดีที่สุดคือชาหิน นี่เป็นชาพิเศษของทางเรา!” เสี่ยวเอ้อร์แนะนำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ชาหินมีฤทธิ์อุ่นกะเพาะ เป็นของต้อนรับที่ดีที่สุดของทางเรา!”
“เอามาให้ข้ากาหนึ่ง” หลี่ซุ่นซีไม่สนใจเรื่องเงินทอง แม้หนีตายช่วงหนึ่ง แต่ยังไม่เปลี่ยนโรคใช้จ่ายมือเติบ
น้ำชาถูกยกมาอย่างรวดเร็ว สีแดงอ่อนใส มีใบชาสองสามใบลอยอยู่บนผิว ดูค่อนข้างไม่เลว
หลี่ซุ่นซีดื่มไปสองสามคำ ในความขมมีความหวาน กลิ่นหอมแตะจมูก แสดงสีหน้าพึงพอใจ
“เมื่อวานกำปั้นงูเขียวหลี่จงฮ่าวได้ชัย วันนี้เกรงว่าประมุขพรรคจะส่งหนึ่งในเจ็ดเส้นด้ายกระมัง” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้หนึ่งขณะกำลังดื่มชา มือข้างหนึ่งก็หยิบเนื้อเคี่ยวขึ้นกินอย่างมูมมาม
“นั่นยังไม่แน่ เจ็ดเส้นด้ายเป็นเจ็ดคนที่แกร่งที่สุดของพรรคแม่น้ำขาว ถ้าหากพวกเขาแพ้ไปด้วย ก็ออกจะเสียหน้าเกินไป ประมุขพรรคไม่แน่จะทำเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่งานแลกเปลี่ยนวรยุทธิ์เท่านั้น” อีกคนหนึ่งว่า
“ข้าว่าประมุขพรรคจะแต่งคุณหนูชิวหลิงให้แก่ผู้มีอำนาจของพรรควาฬแดง ขุมกำลังใหญ่สองกลุ่มดองกัน ดั่งพยัคฆ์ติดปีก ยังแลกเปลี่ยนวรยุทธิ์อันใด อย่างไรก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“ผายลม เจ้าเข้าใจอันใด อยู่ไกลกันขนาดนี้ แต่งงานกันก็ไม่มีประโยชน์ อาศัยอะไรแต่งคุณหนูชิวหลิงออกไปรับความลำบาก”
“ดูเจ้าพูดเข้า…”
หลี่ซุ่นซีตั้งใจฟัง สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
‘พรรควาฬแดงหรือ? อีกหลายวันพรรคแม่น้ำขาวจะมีภัยถูกล้างพรรค ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ อนาคตที่เราเห็นไม่มีพรรควาฬแดงนี่’
เขาเชื่อมั่นอนาคตที่เห็นจากหยกลี้ลับอย่างแรงกล้ามาโดยตลอด เป็นเพราะเผชิญกับการล้อมสังหารของจวนอู๋โยวและจัตุรัสแดงตลอดทาง อาศัยหยกลี้ลับทำนายอย่างต่อเนื่อง เขาจึงเจอทางรอด หลบหนีสำเร็จ
ทว่าปัจจุบัน อยู่ๆ พรรควาฬแดงก็จะมาแลกเปลี่ยนวรยุทธิ์กับพรรคแม่น้ำขาวที่เดิมทีจะถูกล้างพรรคในอีกสองสามวัน
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
‘อุปสรรคใหญ่กำลังปะทุ สิ่งที่เร้นลับแบบนั้นใกล้จะถูกปลดผนึก ไม่มีทางขัดขวาง ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ คนของพรรควาฬแดงมาทำอะไรที่นี่’ หลี่ซุ่นซีคิดจะแอบฟังเบาะแสจากการสนทนาของทั้งสองคนนั้น แต่ทั้งสองคนนั้นคุยเรื่องพรรคนิดเดียว ก็เปลี่ยนไปพูดถึงโจรสลัดหลายคนที่ช่วงนี้จวนขุนนางประกาศจับ
หลี่ซุ่นซีเพียงดื่มน้ำชากาใหญ่ไม่ถึงครึ่ง ก็ลุกขึ้นผละจากไป
เขาแยกแยะทิศทาง เดินตรงดิ่งตามเส้นทางไปยังส่วนในสุดของป้อมปราการ
ทะลุถนนหลายสาย ไม่ทันไรคนเดินถนนที่อยู่รอบๆ ก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ร้านค้าเหลือน้อยลง ทำเนียบและบ้านพักอาศัยของระดับสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เห็นรถม้าระหว่างทางของจวนขุนนางและที่ว่าการบริหารส่วนหนึ่งเป็นทางการมากขึ้น มีลักษณะของขุนนางแห่งราชสำนัก
เดินไปได้สักพัก หลี่ซุ่นซีก็หยุดลง
ด้านหน้าเป็นซุ้มประตูสีขาวสูงใหญ่ที่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่ ด้านในเป็นกลุ่มสิ่งก่อสร้างใจกลางป้อมปราการที่กว้างขวาง
หน่วยหลักของพรรคแม่น้ำขาว รวมถึงที่ว่าการจวนขุนนางทั้งหมดอยู่ด้านใน
หลี่ซุ่นซียืนอยู่หน้าซุ้มประตู แสร้งทำเป็นคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน
เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่สองนายเดิมเตรียมมาไล่เขาออกไป พอเห็นท่าทางของเขาก็คร้านจะเปลืองแรง คาดว่าเป็นเด็กน้อยจากบ้านนอกที่เพิ่งเข้ามา เดินเล่นไปเรื่อยๆ ทุกๆ ปีเจอคนแบบนี้ไม่น้อย พวกเขาเห็นจนชินแล้ว
‘จวนอู๋โยวเปิดผนึกหยกปีศาจที่ประมุขพรรคแม่น้ำขาวซ่อนไว้ในที่ลับ นี่ทำให้อันตรายที่ซ่อนในหยกปีศาจปะทุขึ้น ทำลายล้างเมืองอินทรีคู่ในคืนเดียว เราจะต้องหาวิธีปะปนเข้าไป จวนอู๋โยวจะเปิดผนึกหยกปีศาจอย่างไร เรื่องนี้ต้องแจ้งเตือนประมุขพรรค อาจจะเจอโอกาส”
แม้หลี่ซุ่นซีจะทราบว่าความหวังมีน้อยนิด แต่ไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไร
หยกปีศาจ เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้พรรคแม่น้ำขาวกับเมืองอินทรีคู่ถูกทำลายล้าง
หลี่ซุ่นซีแสร้งทำเป็นมองดูอยู่พักหนึ่ง ก็ค่อยๆ หมุนตัวจากไป ท่ามกลางสายตาของยามซึ่งเริ่มสงสัย
..
พรรคแม่น้ำขาว โถงอินทรีผยอง
ไป๋เจิ้นหมิงนั่งบนตำแหน่งประธาน บุรุษหัวล้านร่างกำยำคนหนึ่งนั่งบนตำแหน่งด้านข้างในระดับเดียวกัน
บุรุษผู้นี้คือลู่เซิ่งที่มาจากเมืองเลียบคีรีเพื่อแลกเปลี่ยนวรยุทธิ์
ยอดฝีมือแยกกันยืนอยู่ด้านล่างเป็นสองแถว พรรคแม่น้ำขาวอยู่ทางซ้าย พรรควาฬแดงอยู่ทางขวา ชุดสีขาวสีแดงตัดกันชัดเจน แต่ละฝั่งมองกันไปมา ประจัญหน้ากัน
สาวรับใช้กับข้ารับใช้หลายคนพากันประคองผลไม้และน้ำชาเข้ามา นักดนตรีค่อยๆ บรรเลงเสียงเพลงคลอเคล้า
“เมื่อวานเป็นพรรคแม่น้ำขาวพ่ายแพ้ วันนี้เจ็ดเส้นด้ายของข้าออกโรง จะต้องพลิกสถานการณ์ได้แน่!” ไป๋เจิ้นหมิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นี่เป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีบุคลิกเป็นมิตร ให้กลิ่นอายม้วนหนังสือ มองไปเหมือนกับซินแส ไม่ใช่ประมุขพรรคของพรรคใหญ่
เทียบกันแล้ว ภาพลักษณ์ของลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เค้าโครงกล้ามเนื้ออันล่ำสันของเขาต่อให้เป็นเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ก็ปกปิดไม่ได้ บวกกับหัวล้าน ไม่มีคิ้ว ดวงตาดุร้าย ร่างกายสูงใหญ่ มือเท้าหนา นั่งบนที่นั่ง ตำแหน่งรองรับไม่พอดีตัวอยู่บ้าง
ด้านหลังยังมีพลพรรคสองคนถือดาบใหญ่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่งไว้สองเล่ม นี่เป็นดาบใหญ่ที่ลู่เซิ่งสร้างใหม่ สองเล่มก่อนหน้านี้พังไปในการต่อสู้เมื่อก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว
เทียบกับเขาแล้ว ไป๋เจิ้นหมิงที่อยู่ด้านข้างมีลักษณะอ่อนแอเป็นพิเศษ
“ประมุขพรรคไป๋ใจร้อน แต่ว่าหลายวันก่อนผู้แซ่ลู่เห็นแขกใหม่มาถึง พี่ไป๋ไม่แนะนำสักหน่อยหรือ” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“สองคนนั้นเป็นพี่น้องคนสนิทที่ข้าคบหามานาน แต่พวกเขาไม่ชอบคุยกับคนอื่นๆ ขออภัยพี่ลู่แล้ว” ไป๋เจิ้นหมิงปฏิเสธอย่างเกรงใจ
ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็ไม่พูดมาก “ช่างเถอะ เริ่มการแลกเปลี่ยนวรยุทธ์ในครั้งนี้กันเลย”
ไป๋เจิ้นหมิงพยักหน้า โบกมือ ผู้คนด้านล่างเริ่มเตรียมราวกั้น อาวุธที่ใช้เป็นดาบจริง หอกจริง ไม่ใช่เล่นพ่อแม่ลูก ในการแลกเปลี่ยนวรยุทธิ์สองสามครั้งก่อนหน้านี้ มียอดฝีมือของพรรคแม่น้ำขาวถูกเล่นงานสาหัส ทำให้ทั่วทั้งพรรคแม่น้ำขาวอึดอัดคับข้องใจ
ทั้งสองฝั่งแยกกันส่งคนหนึ่งคนออกมา เดินมาถึงเวทีเรียบตรงกลางโถง ต่างฝ่ายต่างคำนับและคุมเชิงกัน
“ข้าจางเซิ่ง คนบนเส้นทางเรียกราชาบาทาสามเงา ขอให้สหายชี้แนะ” ชายชราคนหนึ่งของพรรควาฬแดงน้ำเสียงกังวานดุจระฆัง ผู้อาวุโสคนนี้ชอบต่อสู้ พอได้ยินว่าลู่เซิ่งนำคณะมาแลกเปลี่ยนวรยุทธ์ ก็อาสาติดตามมาด้วย
ยอดฝีมือพรรคแม่น้ำขาวที่อยู่อีกด้านเป็นนักพรตหญิงวัยกลางคน ถือไม้ปัดฝุ่น
“ข้าซวนเถิง อาวุธที่ใช้บ่อยๆ คือไม้ปัดฝุ่นเหล็ก เป็นหนึ่งในเจ็ดเส้นด้ายแห่งพรรคแม่น้ำขาว ขอให้สหายร่วมเส้นทางโปรดชี้แนะ”
ตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งสองฝั่งก็ส่งบุคคลสำคัญออกมา เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดขั้นสำนึกปลอดโปร่ง
ทั้งสองฝ่ายเป็นยอดฝีมือที่โด่งดังมาหลายปีจากแต่ละแห่ง ครั้งนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงด้านการต่อสู้ ยิ่งไม่อาจพ่ายแพ้
เพียงแต่ขณะที่ด้านล่างค่อยๆ คุมเชิงต่อสู้ ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ด้านบนกลับเหม่อลอย
ไม่ทราบว่าทำไม เขาถึงรู้สึกว่าทุกคนในพรรคแม่น้ำขาวมีความผิดปกติอยู่เลือนราง
โดยเฉพาะไป๋เจิ้นหมิง บนตัวเหมือนซุกซ่อนสิ่งของบางอย่างเอาไว้ ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด
ลู่เซิ่งอาศัยจังหวะที่สมาธิของทุกคนรวมอยู่ที่การประลองเบื้องล่าง กวาดตามองบนตัวคนทุกคนอย่างคลุมเครือ
เขาพบว่าทุกๆ คนในพรรคแม่น้ำขาวแตกต่างจากคนของพรรควาฬแดงจริงๆ ดูเหมือนปกติ แต่บนตัวแผ่ซ่านกลิ่นอายประหลาด
กลิ่นอายนี้ ลู่เซิ่งบอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร แต่ทำให้เขาอึดอัดอยู่บ้าง
ขณะกำลังสำรวจคนอื่นๆ อย่างละเอียด ทันใดนั้นลู่เซิ่งก็เห็นหญิงสวมชุดล่าสัตว์แนบเนื้อ สวมกระโปรงสั้นสีขาวคนหนึ่ง วิ่งออกมาจากประตูข้าง คิดจะมาทางไป๋เจิ้นหมิง กลับถูกองครักษ์ใกล้ชิดด้านข้างขวางไว้
องครักษ์ใกล้ชิดยิ้มฝาด พูดบางอย่างกับหญิงสาว จากนั้นก็มากระซิบกะซาบข้างหูไป๋เจิ้นหมิง
……………………………………….
คอมเม้นต์