ยอดวิถีแห่งปีศาจ – ตอนที่ 199 บังเอิญ (1)
บทที่ 199 บังเอิญ (1)
ลู่เซิ่งอ่านคัมภีร์ลับตรงหน้าทีละเล่ม ตรวจสอบอย่างละเอียด คัมภีร์ลับมีจำนวนคำไม่มาก เนื้อหาหลักๆ คือภาพตรึกตรอง
เขาจดจำแก่นแท้มรรคายุทธ์ในภาพตรึกตรองขั้นผนึกจิตทีละอย่าง สิ่งไหนหลอมรวมกับระบบวิชาของตัวเองได้ ก็ดูดซับเข้ามา สิ่งไหนหลอมรวมไม่ได้ ก็ใช้ขยับขยายเส้นทางและวิสัยทัศน์ในภายหลังได้
ด้วยพลังฝึกปรือและความรู้ด้านมรรคายุทธ์ในปัจจุบันของเขา ความแม่นยำของสายตาสุดที่ระดับเอกะฟ้าธรรมดาจะจินตนาการได้
เทียบกับยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าในโลกคนธรรมดา เขาเป็นสัตว์ประหลาดสะท้านโลกที่ฝึกฝนมาเป็นเวลาพันปีโดยไม่ตาย มีพลังยุทธ์น่าตื่นตระหนก เรียกได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
‘มีแต่เราที่ใช้การหลอมรวมวรยุทธ์ยกระดับมรรคายุทธ์ขณะเรียนรู้ได้ เพียงแต่ปัจจุบันปราณหยินเราเหลือแค่ห้าสิบกว่าหน่วย เลยเพิ่มระดับไม่ได้สักวิชา’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
‘ดีปบลู’
ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยน
กรอบสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินปรากฏขึ้นตรงหน้า แสดงวิชาวรยุทธ์หลายแถวอย่างละเอียด เครื่องมือปรับเปลี่ยนที่ยึดติดกับสมองและร่างของเขาเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพที่แท้จริงของเขาโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งมองจากบนลงล่างรอบหนึ่ง
นอกจากมรรคายุทธ์สามสายที่แข็งแกร่งที่สุดได้แก่ วิถีหยางโชติช่วงที่กำหนดระดับความแข็งแกร่งของวิชาแข็งกร้าวและกายเนื้อ รวมถึงวิถีหยินโชติช่วงและปราณหยินหยางขวดสมบัติซึ่งกำหนดพลังฝึกปรือปราณภายในแล้ว ที่เหลือเป็นวิชากระบวนท่า เช่นวิชาดาบวาฬแดง ดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้า แปดสิบเอ็ดดาบนางแอ่นถลาลม และวิชาดาบพยัคฆ์ดำ
พวกมันเป็นกระบวนท่าสำหรับใช้งานเท่านั้น เป็นวิชากำลังภายนอกที่แสดงพลังภายในและวิชาแข็งกร้าวออกมาได้ชัดเจน
‘จะว่าไป สิ่งที่ใช้บ่อยที่สุดตอนที่เราต่อสู้ยังเป็นอานุภาพเกรียงไกลของดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้า แต่วิชาดาบชุดนี้มีแค่สองกระบวนท่า หลายๆ ครั้งต้องพึ่งกายเนื้อที่แข็งแกร่งรับมือ เพียงแต่ว่าวิธีที่พึ่งพาแค่ความเร็วกับพละกำลังเข้าปะทะมีประสิทธิผลต่ำมาก…อาจจะเจอระบบกระบวนท่าที่เหมาะกับเราก็ได้’
ลู่เซิ่งนึกถึงวิธีซ่อนตัวของสมาคมหทัยร่อนเร่ที่ก่อนหน้านี้ตนสัมผัสไม่ได้ รวมถึงตอนต่อสู้อย่างมากสุดตนก็มีแค่ความตรงไปตรงมา ขาดท่าเท้าการเคลื่อนไหว
‘แล้วถ้าเจอศัตรูระยะไกลล่ะ’ ลู่เซิ่งพลันนึกได้ ‘ถึงความเป็นไปได้จะมีต่ำมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เจอเลย ถ้าเจอศัตรูประเภทนี้ แล้วเร็วสู้อีกฝ่ายไม่ได้ เข้าถึงตัวไม่ได้ อย่างงั้นก็ได้แต่ถูกอัดสถานเดียว’
เขานั่งใคร่ครวญกลางห้องลับพร้อมมองคัมภีร์ลับกองหนึ่งตรงหน้า
‘มรรคายุทธ์พวกนี้มีระบบของตัวเอง สมบูรณ์แบบมาก จะตัดแบ่งประกอบกันมั่วซั่วไม่ได้ อานุภาพไม่เพิ่มขึ้น รังแต่จะลดลง งั้นก็ได้แต่เลือกฝึกฝนจากในนี้แล้ว…’ ลู่เซิ่งครุ่นคิด แม้ไม่มีปราณหยินมากพอจะยกระดับวิชาหลัก แต่ว่าวิชาขั้นผนึกจิตเหล่านี้ยังคงเพิ่มระดับได้อย่างง่ายดาย
ขอแค่ใช้กระบวนท่าวรยุทธ์ส่วนหนึ่ง แล้วใช้ปราณภายในเพิ่มระดับ อานุภาพจะเหี้ยมหาญเหมือนกับดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้า
‘ถ้าอย่างนั้นก็เลือกวิชากำลังภายนอกสำหรับโจมตีระยะไกลวิชาหนึ่ง กับวิชาตัวเบาที่เร่งความเร็วได้อีกวิชาหนึ่ง…’ ลู่เซิ่งกวาดมองคัมภีร์ลับ แล้วหยิบขึ้นมาเล่มหนึ่ง
‘เงาพันปีศาจ’
นี่เป็นวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยมซึ่งจอมมารระดับเอกะฟ้าคนหนึ่งเชี่ยวชาญ เคยใช้มันหนีรอดจากการไล่ล่าของตระกูลขุนนางหลายครั้งหลายครา สุดท้ายตายด้วยน้ำมือสหายสนิทที่เป็นขั้นเอกะฟ้าเหมือนกัน
สหายสนิทคนนั้นก็คือโอวหยางชีที่ปัจจุบันสวามิภักดิ์กับลู่เซิ่ง
สาเหตุที่โอวหยางชีสังหารสหายสนิทของตัวเอง เป็นเพราะเขาค้นพบอย่างคาดไม่ถึงว่าจอมมารระดับเอกะฟ้าคนนี้ลอบเล่นงานตัวเอง คิดจะชิงวิชาที่ตนร่ำเรียน ดังนั้นเขาจึงชิงลงมือก่อน
ทว่าเงาพันปีศาจแข็งแกร่งนั้นแข็งแกร่ง แต่ระดับความยากในการฝึกฝนเทียบได้กับการปีนป่ายสวรรค์ ดังนั้นหลังจากโอวหยางชีทดลอง ก็ไม่อาจฝึกฝนได้สำเร็จ จึงมอบให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งอ่านคัมภีร์เล่มนี้ กวาดตาอ่านสักพัก ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที
หน้าแรกเขียนเงื่อนไขของผู้ฝึก
‘แบ่งจิตเป็นสาม ผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนวิชาตัวเบาใดๆ มาก่อน น้ำหนักไม่เกินร้อยชั่ง ฝึกฝนวิชานี้ได้’
ด้านหลังมีคำอธิบาย ‘หลังฝึกวิชานี้ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหนึ่งร้อยสิบชั่ง วิชาจะไร้ผล จงจำไว้’
ลู่เซิ่งพลิกบันทึกด้านหลัง พบว่าวิชาตัวเบาวิชานี้ซับซ้อนมากจริงๆ มันรวมวิชาคำนวณที่คล้ายคณิตศาสตร์เอาไว้ บอกให้ผู้ฝึกฝนวิชาเพ่งสมาธิทั้งหมดยามก้าวเดิน คำนวณตำแหน่งของตัวเองตามปัจจัยสภาพแวดล้อมเช่นสภาพอากาศ ดวงดาว และภูมิประเทศ
‘มิน่านอกจากจอมมารตนนั้นก็ไม่มีใครฝึกสำเร็จ’ ลู่เซิ่งส่ายหน้า วางวิชาลง หยิบวิชาตัวเบาอีกวิชา
‘ก้าวหยกมายา’
ชื่อของวิชาตัวเบานี้เลือนรางเลื่อนลอยเหมือนกัน ภาพตรึกตรองเป็นนักพรตชราขี่กระเรียนเซียน กำลังจะล่องลอยเพื่อกลายเป็นเซียน โบยบินอยู่ในฟากฟ้า
แต่เงื่อนไขการฝึกฝนก็คล้ายกัน ขอให้น้ำหนักไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบชั่ง ทั้งยังต้องรักษาพรหมจรรย์
ลู่เซิ่งจะแต่งงานแล้ว ยังต้องรักษาพรหมจรรย์เพื่อวิชาตัวเบาวิชาเดียว ไม่ใช่ไร้สาระหรอกหรือ
เขาทิ้งวิชาตัวเบาวิชานี้อีกรอบ แล้วพลิกดูในกองคัมภีร์ลับ ครั้งนี้ไม่ได้หาคัมภีร์วิชาตัวเบาเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นท่าเท้าที่มาพร้อมวิชากำลังภายในวิชาอื่น จำเป็นต้องเข้ากับผลพิเศษของวิชากำลังภายในที่เขาฝึกฝนเป็นหลักได้ จึงจะทรงประสิทธิภาพ
ลู่เซิ่งอ่านรอบหนึ่ง รู้สึกว่าหาวิชาตัวเบาที่เหมาะกับตนเอง หลังจากขนาดตัวเปลี่ยนไปได้ยากยิ่ง
อย่าเห็นว่าปัจจุบันเขามีร่างกายปกติ ไม่ต่างจากคุณชายธรรมดา ทว่านั่นเป็นเพราะกระดูกและกล้ามเนื้อเบียดอัดกันอยู่ จนเกิดเป็นภาพลวงตา
เกิดปล่อยการควบคุมกายเนื้อของตัวเอง ลู่เซิ่งจะกลับไปอยู่ในสภาพสูงเกือบสองสามหมี่ในพริบตา นั่นเป็นร่างที่แท้จริงในยามปกติของเขา
ขนาดตัวห้าหมี่หลังจากเปลี่ยนร่างไปอยู่ในสภาพหยางโชติช่วง เป็นการยกระดับผลพวงการขยายบนพื้นฐานของร่างจริงนั้นต่อ
‘ร่างจริงของเราอย่างน้อยก็หนักสามร้อยชั่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบชั่ง’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วพลางวางคัมภีร์ลับลง ลำบากใจอยู่บ้าง
เขาไตร่ตรองสักพัก พลันนึกถึงคลังยุทธ์ของพรรควาฬแดง ลู่เซิ่งเคยจดจำวรยุทธ์ไม่น้อยในคลังยุทธ์ ในนี้มีวิชาตัวเบาอยู่ด้วย
วิชาตัวเบาเหล่านั้นแม้จะเป็นแค่ระดับพลังปลอดโปร่ง ไม่ใช่ระดับสำนึกปลอดโปร่งสักวิชา
‘แต่เรามีปราณหยิน! ในเมื่อไม่มีวิชาตัวเบาที่เหมาะกับเรา อย่างนั้นก็สร้างขึ้นมาสักวิชา!’ ลู่เซิ่งความคิดทำงาน
‘เราใช้วิชาตัวเบาที่ไม่สนใจน้ำหนักเป็นแกนหลัก แล้วใช้ปราณหยินเรียนรู้วิชาตัวเบาที่เหมาะกับเราออกมา!’
ลู่เซิ่งพลันตื่นเต้น
‘เรามีทั้งพละกำลังและพลังระเบิด แต่เป็นเพราะน้ำหนักมากเกินไป ดังนั้นได้แต่เลือกวิชาตัวเบาที่ไม่สนใจพื้นฐานด้านน้ำหนัก วิชาตัวเบานี้แทบเหมือนทักษะการออกแรงอย่างง่าย’
เขานึกทบทวนอย่างละเอียดว่ามีวิชาตัวเบาในคลังยุทธ์ที่อยู่ในความทรงจำว่ามีวิชาไหนบ้างที่ไม่ให้ความสำคัญกับน้ำหนัก
แต่เป็นเพราะสิ่งที่เขาจดจำมีแค่วิชาสองสามวิชาที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและคัดเลือกแล้ว จึงนึกรายละเอียดและคำอธิบายของวิชาที่เพียงอ่านแนวคิดและการฝึกฝนคร่าวๆ ไม่ออก…
คิดถึงตรงลี้ ลู่เซิ่งฉุดเชือกบนกำแพงแต่ไกล
ปราณภายในไร้รูปร่างสายหนึ่งพลันพุ่งออกไปรัดเชือก แล้วดึงลงด้านล่าง ติ้งๆๆ
เสียงกระดิ่งดังขึ้นด้านนอก
“แจ้งสวีชุยให้ส่งคัมภีร์ลับวิชาตัวเบาในคลังยุทธ์มาให้ข้า”
“ขอรับ!”
องครักษ์ใกล้ชิดด้านนอกพลันส่งเสียงขานรับ จากนั้นก็เป็นเสียงฝีเท้าที่รีบร้อนผละไป
ลู่เซิ่งหลับตาหล่อเลี้ยงปราณ ปรับลมหายใจครู่หนึ่ง ไม่นานประตูห้องลับก็ถูกเคาะเบาๆ
“ข้าน้อยสวีชุย ส่งคัมภีร์ลับมาแล้ว” เสียงสวีชุยดังขึ้นด้านนอก
คัมภีร์ลับเหล่านี้ทั้งหมดเป็นระดับพลังปลอดโปร่ง ไม่ต้องกลัวว่าสวีชุยจะทำรั่วไหล ในฐานะประมุขโถงอินทรีเหินของพรรค เขาต้องการใช้ระดับคุณูปการแลกวิชาตัวเบาแบบนี้ เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
ทว่าพลังของสวีชุยบรรลุถึงขั้นสูงสุดของระดับพลังปลอดโปร่ง ปัจจุบันลู่เซิ่งยังถ่ายทอดวิชาให้ ในสภาพปกติอานุภาพของการต่อสู้เทียบได้กับระดับผนึกจิต จึงไม่สนใจคัมภีร์ลับระดับต่ำเหล่านี้
“เอาเข้ามา” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ
หลังจากเสียงเขาขาดลง ปราณภายในตาข่ายโลหิตด้านในห้องลับพลันผนึกเป็นลำ แล้วยกดานประตูโลหะที่ปิดห้องลับไว้ขึ้น
ครืนๆ…
ประตูหินเคลื่อนออก สวีชุยเดินเข้ามาอย่างพินอบพิเทา วางตู้ใบเล็กประณีตลงด้านหน้าลู่เซิ่ง จากนั้นก็โค้งตัวถอยออกไป
ประตูหินงับปิด ดาลประตูหล่นลง
ลู่เซิ่งลุกขึ้นเดินไปถึงหน้าตู้ แล้วเปิดออก คัมภีร์วิชาตัวเบาหลายเล่มวางอยู่ด้านในอย่างสงบ
จั๊กจั่นเร่งรุดแปดเก้า วิชากระโจน วารีลอยตัว วิชาจิ้งจก ย่ำหิมะไร้รอย วิชากระเรียนทะยาน วิชาล่องลอย… วิชาตัวเบามากมายวางอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง
เขาหยิบขึ้นมาอ่านทีละเล่ม พอเห็นว่ามีเงื่อนไขต่อน้ำหนักตัว ก็ข้ามไป
ไม่นานเขาก็ได้คัมภีร์หลายเล่มที่ไม่สนใจขนาดร่างและน้ำหนักตัว
‘วิชาเกาทัณฑ์เมฆา’ ‘ก้าวอาชาโบยบิน’ ‘วิชาปราณหนักเบา’ ‘วิชาสามพบจรจาก’ ‘วิชาพายุปั่นป่วน’ ‘วิชาแสงมายา’
วิชาตัวเบาหกวิชานี้ ทั้งหมดเป็นแค่ระดับพลังปลอดโปร่ง ไม่มีแม้แต่แก่นแท้มรรคายุทธ์ เป็นแค่ระบบที่เกิดจากการประสานทักษะท่าเท้าอันกระจัดกระจาย
พึงทราบไว้ก่อนว่า เมื่อรวมแก่นแท้ของวรยุทธ์ที่มีแก่นแท้มรรคายุทธ์เข้าด้วยกัน จะได้ระบบรวมระบบหนึ่ง เมื่อเน้นใช้ด้านใดด้านหนึ่ง วรยุทธ์ระดับสำนึกปลอดโปร่งย่อมมีอานุภาพมากกว่าระดับพลังปลอดโปร่ง
‘เราอยากได้วิชาตัวเบาที่เร็วกว่านี้ คล่องแคล่วกว่านี้ ไม่ใช่วิชาตัวเบาที่ตรงไปตรงมา’ ลู่เซิ่งคัดเลือกอย่างละเอียด สายตาในที่สุดก็อยู่บนวิชาแสงมายา
ในวิชาระดับพลังปลอดโปร่งเหล่านี้ หลังจากฝึกฝนวิชาแสงมายาสำเร็จ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะสอดคล้องกับความต้องการของเขามากที่สุด
หลังจากวิชาแสงมายาประสบความสำเร็จ จะเคลื่อนไหวได้ทั้งในที่ลับที่แจ้ง ลวงจริงไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงทิศทางได้ตลอดเวลา ทำให้ความเร็วโดยรวมเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง มันยังบอกด้วยว่า ถ้าเป็นผู้ฝึกฝนวิชากำลังภายใน จะสามารถเพิ่มความเร็วท่าเท้าผ่านการถ่ายปราณไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างได้
นี่มีให้เห็นน้อยมากในวิชากำลังภายในระดับพลังปลอดโปร่ง
‘เล่มนี้แหละ!’ ลู่เซิ่งหยิบคัมภีร์ลับมาอ่านหน้าแรกอย่างละเอียด
วิชาแสงมายามีทั้งหมดสามระดับ
หลังจากฝึกระดับแรกสำเร็จ ขณะวิ่งจะเปลี่ยนทิศทางได้อย่างเป็นธรรมชาติ ความเร็วเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
หลังฝึกระดับสองสำเร็จ ยามพุ่งตัวสุดกำลัง จะเปลี่ยนแปลงทิศทางได้อย่างเป็นธรรมชาติ ความเร็วโดยรวมสูงขึ้นบางส่วน
หลังฝึกฝนระดับสามสำเร็จ ขณะพุ่งสุดกำลัง สามารถรุกถอยและเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวได้ทุกเวลา ความเร็วโดยรวมเพิ่มมากกว่าครึ่ง
ลู่เซิ่งลุกขึ้น เริ่มก้าวเดินและออกแรงตามวิธีการฝึกฝนของวิชาแสงมายา
วิชาแสงมายานี้ส่วนใหญ่เป็นการฝึกฝนทักษะการใช้แรงของกล้ามเนื้อบางมัด กล้ามเนื้อที่ใช้เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่คนธรรมดานึกไม่ถึง และใช้ไม่ได้
ลู่เซิ่งลองฝึก รู้สึกส่วนขาชาดิก กลุ่มกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่ปกติไม่ได้ใช้ถูกกระตุ้น บวกกับเขาหนักสามร้อยกว่าชั่ง พอฝึกเป็นครั้งแรก กล้ามเนื้อจึงรับไม่ไหว
‘แต่ไม่เป็นไร’ ลู่เซิ่งสั่งความคิด กระตุ้นปราณหยินหยางขวดสมบัติให้ไหลไปทั่วกล้ามเนื้อกลุ่มเล็กที่เหนื่อยล้าและฉีกขาดอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง เขาใช้ปราณภายในเล็กน้อย ก่อนนั่งลงพักผ่อนหลายสิบอึดใจ เมื่อยืนขึ้นอีกครั้ง ความชาคันที่กล้ามเนื้อก็หายไปโดยสิ้นเชิง
‘มาอีก!’
เขาเริ่มฝึกฝนตามท่าเท้าของวิชาแสงมายาอีกรอบหนึ่ง
ท่าเท้านี้มีวิธีฝึกพิลึกอยู่บ้าง จึงติดๆ ขัดๆ กล้ามเนื้อส่วนขาของลู่เซิ่งชาคันไปห้าหกรอบ ใช้ปราณภายในฟื้นตัวด้วยความเร็วสูงซ้ำๆ ค่อยเริ่มจับเคล็ดได้
วิชาเดินลมปราณในวิชาแสงมายากับเคล็ดลับการออกแรงก็ติดขัดมากเช่นกัน ต้องใช้แรงในทิศทางที่ออกแรงลำบากที่สุด แค่ไม่ระวังนิดเดียวเอ็นเท้าก็จะได้รับบาดเจ็บ
……………………………………….
คอมเม้นต์