ยอดวิถีแห่งปีศาจ – ตอนที่ 216 เลื่อนระดับติดต่อกัน (2)
บทที่ 216 เลื่อนระดับติดต่อกัน (2)
‘ดูดปราณหยินก่อนแล้วค่อยว่ากัน สิ่งที่ได้มาไว้ในมือถึงจะเป็นของตัวเอง’ ที่แล้วมาลู่เซิ่งให้ค่ากับผลประโยชน์ตรงหน้า กินก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เขาถือแหวนไว้ ดูดซับมันก่อน
ปราณหยินหลายสายไหลตามนิ้วเข้าไปในร่างของเขาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
หนึ่งหน่วย สองหน่วย ห้า สิบ สิบสอง!
‘มีปราณหยินสิบสองหน่วยเลยเหรอเนี่ย! ไม่เลว!’ ตอนนี้ลู่เซิ่งใช้การคำนวณตรวจสอบปริมาณปราณหยินได้คร่าวๆ
จากนั้นก็เป็นคันฉ่องสำริดบานนั้น
เขาหยิบคันฉ่องที่แตกหักขึ้นมา ทาบมือบนผิวกระจก ให้พื้นที่สัมผัสมีมากกว่าเดิม ทันใดนั้น ปราณหยินหลายสายเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวกรากจากทำนบแตก ทะลักเข้าไปในมือเขาอย่างรวดเร็ว
สิบหน่วย ยี่สิบหน่วย สามสิบ… สามสิบห้า…
‘รวมกับปราณหยินส่วนหนึ่งที่เรามีอยู่แล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ เราจะมีปราณหยินสี่สิบกว่าหน่วย’ ลู่เซิ่งวางคันฉ่องสำริดลง ยิ้มอย่างพอใจ
นี่เป็นลาภลอยของแท้ แม้ว่าสำหรับเขาในตอนนี้ ปราณหยินไม่กี่สิบหน่วยจะไม่นับว่ามาก แต่ก็ใช้ยกระดับวิชาไร้มูลเหตุได้พอดี
‘เอาล่ะ ต่อจากนี้ควรเริ่มปลดปราณมารเพื่อรับการกระตุ้นกายเนื้อได้แล้ว’ เขานั่งขัดสมาธิ ทิ้งแหวนกับคันฉ่องสำริดไปด้านข้าง กล้ามเนื้อและผิวหนังทั่วร่างเริ่มผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ ปลดรูขุมขนที่วิชาไร้มูลเหตุปิดไว้
ซู่!
หมอกพิษหลายสายเริ่มรวมตัวกันที่ตัวเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
หมอกพิษหนาทึบทำให้ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตอนแตะต้องปราณมารในครั้งแรกอีกครั้ง
เจ็บปวด ทั่วร่างชาดิก กายเนื้อเหมือนแช่อยู่ในกรดฤทธิ์แรง ถูกละลายและกัดกร่อน ปราณขวดสมบัติโคจรด้วยความเร็วสูง ซ่อมแซมกายเนื้อกับอวัยวะภายในที่ถูกหมอกพิษกัดกร่อนอย่างคลุ้มคลั่ง
‘เริ่มกันเลย ลองดูว่าถ้าวิชาลับเลื่อนขั้นไปถึงระดับหนึ่ง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบไหนกับตัวเรา น่าคาดหวังจริงๆ…’ ลู่เซิ่งหลับตาลงช้าๆ
‘ดีปบลู’
เครื่องมือปรับเปลี่ยนสีน้ำเงินโผล่ขึ้นด้านหน้าเขา
กดปุ่มปรับเปลี่ยน สายตาของลู่เซิ่งอยู่ด้านในกรอบวิชาไร้มูลเหตุ จากนั้นก็กดปุ่มยกระดับด้านหลังกรอบอย่างแน่วแน่
ซู่…
ปราณหยินหายไป กรอบสั่นไหว ไม่กี่อึดใจ ก็ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง
ตัวหนังสือที่ปรากฏเป็นไปตามที่ลู่เซิ่งคาดไว้ กลายเป็นสภาพแบบใหม่
[วิชาไร้มูลเหตุ: ระดับที่แปด ผลพิเศษ: เพิ่มความแข็งแกร่งระดับแปด สำนึกมารระดับห้า]
‘เลื่อนระดับง่ายจริงๆ ทั้งใช้ปราณหยินไม่มาก แค่ห้าหน่วยเท่านั้น’ ลู่เซิ่งปลดรูขุมขนบนร่างอีกรอบ
ปราณมารที่ถูกกายเนื้อของเขาชักนำมาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นกำลังจะผนึกตัวเป็นของเหลว
หยดน้ำสีดำอันเล็กจิ๋วหลายหยดปรากฏบนผิวลู่เซิ่ง จากนั้นถูกดูดซับเข้าไปอย่างรวดเร็ว ความเข้มข้นที่สูงถึงขนาดนี้รุนแรงกว่าหมอกพิษเป็นอย่างยิ่ง
กระนั้นสำหรับลู่เซิ่งในตอนนี้แล้ว วิชาไร้มูลเหตุระดับแปดถูกยกระดับความต้านทาน การต้านพิษของกายเนื้อจึงได้รับการเลื่อนระดับอีกครั้ง ดังนั้นการกระตุ้นที่เกิดจากพิษจึงอ่อนแอลง
‘อยู่ด้านนอก ถ้าไม่มีปราณมารกระตุ้น ก็ไม่แน่ว่าจะเลื่อนระดับได้ราบรื่นขนาดนี้’ ลู่เซิ่งขบคิด
การฝึกฝนวิชาไร้มูลเหตุเน้นชุบหลอมด้วยการกระตุ้นจากปราณมาร หลังออกห่างการกระตุ้นด้วยพลังภายนอก คิดจะเลื่อนระดับวิชาไร้มูลเหตุ ต่อให้ใช้ปราณหยินก็ไม่แน่ว่าจะทำสำเร็จ
หรือต่อให้สำเร็จ ปราณหยินที่ต้องใช้ก็จะมากกว่าเดิม
‘อุตส่าห์เจอทำเลทองแบบนี้ ปราณหยินเองก็มีมากพอ รายละเอียดกับจุดสำคัญของวิชาไร้มูลเหตุในระดับต่อไป ผู้อาวุโสใหญ่ก็บอกมาเกือบหมดแล้ว ทดลองตรงๆ เลยดีกว่าว่าจะเลื่อนระดับวิชาไร้มูลเหตุให้สมบูรณ์ในรวดเดียวได้ไหม’
ลู่เซิ่งเห็นปราณหยินหายไปแค่นิดเดียว จึงเกิดแผนการในใจ
วิชาไร้มูลเหตุเป็นหนึ่งในวิชาพื้นฐานของสำนักมารกำเนิด ถึงขั้นยังไม่ถูกนับเป็นวิชาลับระดับกลาง วิชาลับในภายหลังเป็นการสืบทอดในสาย หลังเลื่อนระดับถึงจะมีคุณสมบัติฝึกฝนวิชาลับวิชาใหม่
ก่อนหน้านี้ต่อให้เป็นเฟยหวงจื่อที่พลังฝึกปรือแข็งแกร่งที่สุดในสำนัก ก็เพิ่งเลื่อนระดับวิชาไร้มูลเหตุ เริ่มฝึกฝนวิชาลับวิชาถัดไป
ถ้าบอกว่าสำนักมารกำเนิดมีผู้นำ เช่นนั้นก็ได้แต่เป็นเฟยหวงจื่อ เด็กน้อยเฟยหวงจื่ออยู่ต่ำกว่าระดับเบญจลักษณ์ส่วนวิชาลับของสำนักมารกำเนิดเดิมก็อ่อนแอกว่าสำนักอื่นๆ อยู่แล้ว
ระดับผู้นำแบบนี้ คิดจะชิงอันดับในชุมนุมร้อยเส้นสายกับสำนักอื่นๆ ไม่ต่างกับคนปัญญาอ่อนเพ้อฝัน
‘ฉวยโอกาสนี้ลองอีกครั้ง!’ ลู่เซิ่งมองปราณมารหมอกพิษที่มากขึ้นและเข้มขึ้นกว่าเดิมรอบๆ ตัว เพ่งสายตาที่ด้านหลังกรอบวิชาไร้มูลเหตุอีกหน
‘ยกระดับอีกรอบ ถึงระดับเก้า!’ เขากดความคิดลงบนปุ่มปรับเปลี่ยนด้านหลังวิชาไร้มูลเหตุอย่างแรง
ครึ่กๆ!
เดิมลู่เซิ่งนึกว่าการเลื่อนระดับรอบนี้น่าจะเหมือนน้ำรวมตัวกลายเป็นคลอง นึกไม่ถึงว่าปราณหยินจะหายไปด้วยความเร็วสูงในการยกระดับรอบนี้
ทว่าสิ่งที่หายไปเหมือนกันก็คือ ปราณมารหมอกพิษด้านนอกนับไม่ถ้วนซึ่งถูกดูดเข้าสู่ตัว!
ปราณมารอันมหาศาลกลายเป็นวังวนยักษ์ ชักนำปราณมารหมอกพิษทั้งหมดในรัศมีหลายสิบหมี่เข้ามา รอจนถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง ปราณมารหมอกพิษทั้งหมดก็รวมตัวเป็นหยดน้ำที่เหมือนจับต้องได้ ปกคลุมผิวของเขา ก่อนจะถูกดูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ถ้ำสั่นสะเทือนเล็กน้อย ถูกกระแสหมอกพิษที่กระเพื่อมออกมาจากทั่วตัวลู่เซิ่ง กระแทกใส่จนเกิดเสียงดังหึ่งๆ
ไม่มีความเจ็บปวด ต่างจากความรู้สึกก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง ลู่เซิ่งรู้สึกว่าเหมือนวิญญาณออกจากร่าง ลอยอย่างเบาหวิวอยู่เหนือศีรษะชุ่นหนึ่ง ก้มหน้ามองหมอกสีดำอันมหาศาลทะลักเข้าไปในร่างตนเอง จากนั้นก็มองเห็นร่างของตัวเองกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ซึ่งอธิบายไม่ได้
เยื่อสีดำจางๆ ชั้นหนึ่งค่อยๆ งอกขึ้นบนผิวหนัง
‘นี่คือ…??!’ ลู่เซิ่งมองไปมองมา ค่อยๆ รู้สึกว่าสิ่งนี้ดูคุ้นตามาก
เนื้อเยื่อชั้นนั้นโผล่ขึ้นโดยสมบูรณ์ ปกคลุมทั่วร่าง ลู่เซิ่งเริ่มสัมผัสได้ว่าสติถูกดึงกลับไปในร่าง
เขามองกรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนอีกครั้ง
เนื้อหาที่โผล่ออกมาใหม่ทำให้เขาอดอ้าปากตาค้างไม่ได้
[วิชาไร้มูลเหตุ: ระดับเก้า ผลพิเศษ: เยื่อดำเอกะลักษณ์ ตัวอ่อนจิตมาร]
‘เยื่อดำนี่นา!!?’
ลู่เซิ่งงุนงงอยู่บ้าง
เขาได้พบลูกหลานตระกูลขุนนางมากมาย และได้พบผีปีศาจระดับพันธนาการจำนวนมาก พวกเขาต่างก็มีเยื่อดำที่ทุกคนรู้จักดี
นี่เป็นธรรมชาติอันแข็งแกร่งของระดับพันธนาการ เป็นการแบ่งระดับใหญ่สุดระหว่างพวกเขากับคนธรรมดา
มนุษย์ธรรมดาไม่ว่าอย่างไรก็ทำลายเยื่อดำระดับพันธนาการไม่ได้ นี่เป็นกฎที่ถูกกำหนดไว้ เป็นกฎเหล็ก เยื่อดำมาจากอาวุธเทพศัสตรามาร เป็นแสงของอาวุธเทพ และแสงของศัสตรามารสาดส่องสายเลือดตระกูลขุนนาง เป็นพลังงานอันแข็งกล้าที่ทำให้กลายพันธุ์ แล้วส่งต่อไปยังรุ่นสู่รุ่น
ในตระกูลขุนนาง ทุกคนรู้ว่าเยื่อดำเป็นสิ่งที่มีเมื่อเกิดในตระกูลใหญ่ ขอแค่สายเลือดเข้มข้นเพียงพอ ตอนถือกำเนิดก็จะมีได้เอง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเยื่อดำมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่
ตอนนี้ลู่เซิ่งได้เห็นด้วยตาว่าเยื่อดำเกิดขึ้นได้อย่างไร
‘ถ้าปราณมารหมอกพิษอันมหาศาลรวมตัวกัน และฝึกฝนวิชาลับที่ชุบหลอมกระตุ้นกายเนื้ออย่างวิชาไร้มูลเหตุถึงจุดสูงสุด จะผนึกรวมเยื่อดำออกมาได้เหรอเนี่ย’
ลู่เซิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ
‘ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่เยื่อดำในความหมายที่สมบูรณ์ เพียงแต่กลิ่นอายกับรูปลักษณ์ดูคล้ายกันมาก นี่เป็นชั้นป้องกันซึ่งได้มาจากการที่ปราณมารหมอกพิษผนึกรวมกับวิชาไร้มูลเหตุ’
ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบจุดที่แตกต่าง
เยื่อดำเป็นพลังไร้รูปร่างซึ่งเชื่อมติดกับร่างกายของลูกหลานตระกุลขุนนางทั้งในและนอก อยู่ลึกลงไปในสายเลือด ส่วนเยื่อดำนี้เพียงปรากฏบนผิวตัว ไม่ได้ละลายเข้าสู่ส่วนลึกของเลือดเนื้อและกระดูก เพียงแต่คล้ายๆ กัน
เห็นดังนั้น ลู่เซิ่งก็ถอนใจ บอกไม่ถูกว่าผิดหวังหรือเป็นความรู้สึกอะไร
‘แต่แบบนี้ก็ดี เราใช้มันปลอมสถานะลูกหลานตระกูลขุนนางได้โดยสมบูรณ์ แบบนี่ไม่ต้องห่วงว่าภายหลังสถานะจะถูกเปิดเผย อย่างน้อยเปลือกนอกก็ดูเหมือน แม้แต่กลิ่นอายก็คล้ายมาก’
หลังพิจารณาเยื่อดำ ลู่เซิ่งก็มองผลพิเศษที่สอง เมื่อฝึกวิชาไร้มูลเหตุถึงระดับเก้าอันเป็นจุดสูงสุด นี่เป็นผลพิเศษที่ต้องโผล่มา
ตัวอ่อนจิตมาร
ลู่เซิ่งเขม้นมองผลพิเศษนี้ครู่หนึ่ง อยู่ๆ จิตใจก็สั่นไหว
ซู่!
ในหมอกดำรอบๆ ตัวเขาผนึกรวมกระแสอากาศรางเลือนกึ่งโปร่งใสออกมาสายหนึ่งอย่างฉับพลัน
กระแสอากาศนี้เหมือนมัจฉาแหวกว่าย มีขนาดแค่เท่าแขน ว่ายวนรอบลู่เซิ่งด้วยความเร็วสูง เกิดเสียงประหลาดแผ่วต่ำ เหมือนมีคนพึมพำข้างหู ชวนให้จิตใจร้อนรุ่มปั่นป่วน มีความคิดอยากจะอาละวาดอย่างไม่รู้ตัว
‘นี่เป็นตัวอ่อนจิตมารที่เกิดจากสำนึกมารมารวมตัวกัน…’ ลู่เซิ่งพิจารณากระแสอากาศที่เวียนว่ายรอบๆ ตัวเองอย่างถี่ถ้วน เห็นใบหน้าคนที่พร่ามัวบนกระแสอากาศได้รางๆ เป็นใบหน้าของเขาเอง
มันเหมือนปลากึ่งโปร่งแสงที่มีใบหน้าของเขา พิลึกกึกกือยิ่ง
‘ตามที่ผู้อาวุโสใหญ่บอก จิตมารนี้ไม่ใช่กระแสอากาศ แต่เป็นวัตถุที่ประกอบด้วยความคิดฟุ้งซ่านและความปราถนาซึ่งตนขจัดออกมา พวกมันได้แต่เลือกปล่อยและเก็บไว้ ควบคุมไม่ได้ เมื่อคนธรรมดาเห็นมัน จะได้รับการปนเปื้อน ถูกกระตุ้นความชั่วร้ายและความฟุ้งซ่านในใจจนเสียสติไป สำหรับยอดฝีมือระดับเดียวกัน สิ่งนี้สามารถใช้รบกวนอารมณ์และการตัดสินใจของศัตรูได้ ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในความสามารถหลักของวิชาต่อๆ ไปด้วย’
ในใจลู่เซิ่งปรากฏเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
‘หลังผนึกรวมตัวอ่อนจิตมารได้ ถ้าเลื่อนระดับอีก ก็จะเป็นเคล็ดวิชาหน้ามารที่จะฝึกฝนต่อไป’ ลู่เซิ่งขบคิด
ช่วงนี้ผู้อาวุโสใหญ่บังคับยัดเคล็ดวิชาลับจำนวนมากเข้ามาในหัวของเขา ไม่สนใจว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ ยัดเข้าไปก่อนค่อยว่ากัน
บางทีผู้อาวุโสใหญ่อาจรู้ว่าภายหลังลู่เซิ่งก็ไม่อาจทำความเข้าใจวิชาลับจำนวนมากได้ แต่เวลาบีบคั้น ชุมนุมร้อยเส้นสายกำลังจะถูกจัด เพื่อไม่ให้การสืบทอดขาดสะบั้น เขาจึงต้องทำแบบนี้
กระนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่ได้โยนวิชาลับทั้งหมดให้ลู่เซิ่งเฉยๆ เขาใช้แบบแผนพิเศษจัดระเบียบเนื้อหาเคล็ดวิชาสำคัญๆ ส่วนหนึ่ง แล้วให้ลู่เซิ่งจดจำไว้
เพียงแต่ว่าวิธีเข้ารหัสง่ายๆ แบบนี้ กลับไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อยสำหรับลู่เซิ่งที่ชาติก่อนเคยศึกษาวิทยาการเข้ารหัสลับมาก่อน เหมือนเด็กน้อยใช้กระดาษบังไว้ก็นึกว่าตัวเองใส่กางเกงแล้ว
ลู่เซิ่งถอดรหัสได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็จัดระเบียบวิชาลับต่างๆ ใหม่
เพียงแต่เคล็ดวิชาหน้ามารซึ่งเป็นวิชาที่อยู่ต่อจากวิชาไร้มูลเหตุ ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้เข้ารหัส แต่ว่าถ่ายทอดให้ลู่เซิ่งตามต้นฉบับ
สำนักมารกำเนิดในยุคสมัยรุ่งโรจน์ เมื่อฝึกฝนวิชาไร้มูลเหตุถึงจุดสูงสุด หลังเลื่อนระดับแล้ว จะเลือกได้หลายสาย ปลายทางที่เดินไปถึงในตอนสุดท้ายก็ไม่เหมือนกัน
ทว่าปัจจุบันมีแต่ผู้อาวุโสใหญ่ที่อ่อนแอที่สุดในตอนนั้นถ่ายทอดให้ เส้นทางและวิชาลับที่เหลือจึงหายไป
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงไร้ทางเลือกอื่น ได้แต่เลือกเคล็ดวิชาหน้ามาร
‘ยังมีปราณหยินเหลืออยู่ เลื่อนระดับต่อได้’ ลู่เซิ่งสัมผัสสภาพในร่างกาย ความแข็งแกร่งของกายเนื้ออย่างน้อยสูงขึ้นสองถึงสามส่วน พลังภายในเหมือนได้รับผลกระทบ ความเร็วในการโคจรติดขัดมากขึ้น แต่ทุกครั้งที่โคจรครบหนึ่งรอบ ปราณภายในที่เกิดขึ้นจะเข้มข้นกว่าเดิม สีของปราณเหลวค่อยๆ เป็นสีดำ แสดงให้เห็นว่าได้รับผลกระทบจากปราณมารหมอกพิษ
……………………………………….
คอมเม้นต์