ท้าทายลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 51 น้องสาวจมน้ําตาย
ท้าทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 51 น้องสาวจมน้ําตาย
จากนั้นหยางซื่อเหมยได้เงยหน้าขึ้นเพื่อสังเกตดูที่ชั้นหนังสือ และพบว่ามีหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับเรื่องของวัตถุโบราณอยู่บนนั้น
“เมื่อสิบปีที่แล้วคุณซ่งเคยบอกว่าจะสอนความรู้เกี่ยวกับโบราณวัตถุให้กับฉัน แต่ฉันผิดสัญญาไม่ทราบว่าตอนนี้ฉันยังจะพอมีหวังอยู่หรือเปล่า?”
“ผมรอคุณอยู่เสมอ” ซงซวนกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกาย
“วันธรรมดาฉันต้องไปโรงเรียน เอาเป็นว่าฉันจะมาทุกวันเสาร์และอาทิตย์เพื่อเรียนรู้จากคุณแต่ตอนนี้ฉันขอยืมหนังสือกลับไปอ่านได้หรือเปล่า?”
“ไม่มีปัญหา!”
ซงซวนพยักหน้าทันทีและรีบยืนขึ้นเพื่อหยิบหนังสือออกมาจากชั้น โดยหนังสือนั้นมีชื่อว่า <คู่มือการตรวจสอบวัตถุโบราณเบื้องต้น> มอบให้กับหยางซื่อเหมยพร้อมกับกล่าว
“ลองดูหนังสือเล่มนี้ก่อน หลังจากนั้นเราจะสามารถแยกความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านออกเป็นกลุ่มเพื่อเรียนรู้”
“ตกลง” หยางซื่อเหมยได้รับหนังสือเล่มนี้ที่มีความหนาเท่ากับอิฐด้วยรอยยิ้มสดใส
“ขอบคุณค่ะคุณซ่ง!”
“ซื้อเหมย ถ้าคุณต้องการที่จะเข้าร่วมการประมูลจานปลาคู่ใบนี้ ผมจะต้องนํามันไปลงทะเบียนและประเมินราคาก่อนมิฉะนั้นจะไม่สามารถจัดวางไว้ในห้องโถงนิทรรศการ การประมูลได้” ซงซวนกล่าวขณะที่มองไปยังจานปลาคู่
“อืม! ถ้าอย่างนั้นฉันจะฝากมันไว้ที่นี่ รบกวนช่วยดูแลมันแทนฉันด้วย”
ในเรื่องนิสัยส่วนตัวของซงซวนนั้น หยางซื่อเหมยมีความเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าเขาไม่มีวันที่จะหลอกลวงหรือคดโกงตนเองอย่างแน่นอนแม้ว่าทุกคนบนโลกจะหลอกลวงเธอก็ตาม
“ขอบคุณที่ไว้วางใจผม” เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มีอาการลังเลหรือระแวงเขาแม้แต่น้อย ซึ่งช่วนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
“ฉันไว้ใจคุณเสมอ” หยางซื่อเหมยกล่าวขณะที่จ้องมองไปยังเขาอีกครั้ง
“อาจารย์ซ่งมีคนที่มีคุณธรรมสูงส่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา”
และเมื่อได้รับคําชมจากเธอเช่นนี้ ซึ่งส่วนก็มีความรู้สึกราวกับว่า ตนเองก้าวขึ้นไปบนก้อนเมฆซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับตนเองกําลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ด้วยความคิดที่ว่าตราบใดที่เธอเชื่อใจเขาแค่นี้ก็เพียงพอแล้
เมื่อเดินออกมาจากถนนเหวินไหลแล้วเธอก็มุ่งหน้ากลับบ้านทันที โดยพบว่าคุณปู่กําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายและสูบบุหรี่จากท่อยาวส่วนบิดากําลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยแว่นตาที่หนาเตอะ
ขณะที่น้องสาวตัวน้อยวัยสิบขวบที่ชื่อหยางซื่อซีกําลังเอนกายอยู่เหนือโต๊ะพร้อมกับท่าการบ้านกองโตและน้องชายฝาแฝดตัวน้อยของเธอก็กําลังวิ่งไล่กันอย่างสนุกส นานแต่มารดากับคุณย่าของเธอกลับกําลังวุ่นวายอยู่กับการ เตรียมอาหารในห้องครัว
และทุกครั้งที่เธอได้เห็นภาพครอบครัวอันอบอุ่นที่อยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็ทําให้หยางชื่อเหมยยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยความรู้สึกขอบคุณสวรรค์อย่างสุดซึ้ง ที่ในชาตินี้ครอบ ครัวของเธอไม่ได้สูญสลาย
คุณย่าที่เดินออกมาจากห้องครัวเมื่อครู่เห็นเธอยืนอยู่ตรงบริเวณทางเข้าจึงรีบเดินเข้าไปสอบถาม
“ซื้อเหมย วันนี้ไปโรงเรียนในเมืองวันแรกเป็นยังไงบ้าง?เพื่อนร่วมโรงเรียนรังแกหนูหรือเปล่า?”
“คุณย่าไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ พวกเขาทุกคนดีกับหนูมาก”หยางซื่อเหมยยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปเช็ดเม็ดเหงื่อจากบริเวณขมับของคุณย่า
“ที่โรงเรียนสนุกมาก หนูชอบมากเลยค่ะ!”
“ดีจัง! ตอนแรกย่าก็กลัวว่าหนูจะไม่ชินเพราะหนูไม่เคยไปโรงเรียนมาก่อน”
“คุณย่าดูหนูสิคะ หนูมีความอดทนเหมือนต้นกระบองเพชร แม้ว่าจะถูกโยนลงไปในทะเลทรายก็ยังสามารถเติบโตและเบ่งบานได้”
หยางซื่อเหมยกล่าวพลางถอดรองเท้าและเข้าไปในบ้านจากนั้นเธอก็หันไปทักทายคุณปูและบิดาของเธอ
“ซื้อเหมย ถึงแม้ว่าลูกจะศึกษาเนื้อหาทั้งหมดของโรงเรียนมัธยมต้นด้วยตัวเองแล้ว แต่ก็มีความรู้มากมายที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากตําราเรียนดังนั้นลูกจะต้องฟังการบรรยายของอาจารย์อย่างจริงจังเข้าใจหรือเปล่า?” หยางชิงใช้น้ํา เสียงของอาจารย์ผู้สอนตามปกติเพื่อแนะนําบุตรสาว
“ค่ะ หนูจะตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน” หยางซื่อเหมยพยักหน้า ขณะที่คุณปู่กล่าวแทรกพร้อมกับปล่อยควันออกมาจากปากว่า
“เป็นเด็กผู้หญิงเรียนมากไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกเพราะต่อไปเธอก็ต้องแต่งงานและให้กําเนิดลูก”
“ตาแก่! คุณกําลังพูดอะไรอยู่? ถ้าไม่ใช่เพราะซื้อเหมยครอบครัวของเราจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองที่สะดวกสบายแบบนี้เหรอ”คุณย่ากล่าวด้วยความไม่พอใจอีกว่า
“ถึงแม้ชื่อเหมยจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่เธอก็ยังดีกว่าเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ แน่นอน และแม้แต่นักบวชผู้อาวุโสก็ยังกล่าวเช่นนั้นหลานสาวของเราเป็นอัจฉริยะและในอนาคตเธอจะต้องประสบความสําเร็จอย่างมากแน่นอน”
“การประสบความสําเร็จมันไม่สําคัญเท่ากับความปลอดภัยนะแม่” หยางชิงเปล่งเสียงออกมาจากทางด้านข้าง
หยางซื่อเหมยยิ้มอย่างสุขใจเนื่องจากสิ่งที่เธอหวงแหนคือครอบครัวของตนเอง แม้คุณปูมักจะดูถูกว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงแต่เธอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ซึ่งนอกจากเขา แล้วคนอื่นๆก็รักเธอมาก
“พี่ใหญ่ช่วยดูโจทย์เลขข้อนี้ให้หนูหน่อยสิ”
หยางซื่อซีหันหน้ามาทางพี่สาวคนโตและเรียกด้วยน้ําเสียงที่น่ารัก ขณะที่ซื้อเหมยเห็นว่าน้องสาวคนนี้เติบโตและน่ารักมากขึ้นทุกวัน โดยเด็กน้อยมีใบหน้าที่กลมและอวบอิ่มเหมือนซาลาเปากับดวงตากลมโตที่ดูราวกับว่ามันยิ้มได้อยู่ คู่หนึ่งเหมือนมารดา
อีกทั้งน้ําเสียงของเธอนั้นก็แสนจะน่ารักเหมือนเด็กเล็กทําให้เกิดความรู้สึกเอ็นดูและรักใคร่เมื่อได้เห็นเด็กคนนี้
และทุกครั้งที่หยางซื่อเหมย เห็นน้องสาวคนนี้เธอก็จะนึกถึงร่างของน้องสาวตัวน้อยที่กลายเป็นสีเขียวปนม่ วงเนื่องจากเธอจําได้ว่าในชาติที่หยางซื่อซีจมน้ําตาย ดังนั้นในตอนนี้เธอจึงรู้สึกรักน้องสาวคนนี้มาก
จากนั้นผู้เป็นพี่สาวก็นั่งลงด้านข้างหยางซื่อซีและอธิบายอย่างใจเย็นจนสามารถทําให้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนนั้นกลายเป็นเรื่องที่สามารถทําความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย
หลังจากได้ฟังคําอธิบายแล้ว หยางซื่อซีก็กะพริบตาถี่ยิบและกล่าวด้วยสีหน้าที่ชื่นชมว่า
“พี่ใหญ่เก่งมาก! พี่สามารถแกโจทย์ปัญหาที่ซับซ้อนนี้ด้วยการมองเพียงแค่ครั้งเดียว และถ้าหนูฉลาดเท่าพี่ใหญ่ก็คงจะดี”
“ชื่อซีก็ฉลาดมาก แต่ยังไม่เข้าใจก็เท่านั้น”หยางซื่อเหมยกล่าวขณะที่เธอลูบผมที่นุ่มสลวยนั้นเบา ๆ
“จริงเหรอคะ?”
หยางซื่อเหมยพยักหน้าตอบรับ ขณะที่มารดาส่งสัญญาณให้ทุกคนมารับประทานอาหาร
ต่อมาหลังจากที่ทั้งครอบครัวรับประทานอาหารร่วมกันเสร็จแล้ว หยางซื่อเหมยก็สนทนากับพวกเขาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะกลับไปที่ห้องของตนเอง จากนั้นเธอก็รีบเก็บของที่ซื้อมาก่อนหน้านี้เอาไว้ในลิ้นชักจากนั้นจึงหยิบหนังสือที่อา จารย์ซ่งชวนให้ยืมออกมาเปิดอ่าน
และเมื่อกล่าวถึงการท่องจําก็ไม่เคยเป็นปัญหาสําหรับเธอนอกจากนี้เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ก็ค่อนข้างเป็นความรู้พื้นฐานดังนั้นหลังจากอ่านแล้วเธอก็พอที่จะสามารถเข้าใจ
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาห้าทุ่มอย่างรวดเร็ว เธอจึงวางหนังสีอลง และเดินไปที่บริเวณระเบียงบ้านเพื่อรับแสงจันทร์อ่อนๆในขณะที่รวบรวมพลังลมปราณในร่างกายของเธอ
ซึ่งหากมีมาคนเห็นเธอในเวลานี้ พวกเขาก็คงจะต้องตกใจอย่างแน่นอนเมื่อพบว่าสภาพแวดล้อมดูเหมือนจะมีแสงแห่งจิตวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนกลั่นตัวเข้าหาหญิงสาวในชุดขาวที่กําลังนั่งขาดสมาธิซึ่งดูแล้วช่างเป็นเหมือนกับภาพลวงตาหรือภาพในความฝัน
คอมเม้นต์