ท้าทายลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 57 คนคุ้นเคย
ท้าทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 57 คนคุ้นเคย
ตอนที่ 57 คนคุ้นเคย
อย่างไรก็ตามตอนนี้หยางซื่อเหมยได้ขมวดคิ้วขึ้น เนื่องจากหมอกที่ปล่อยออกมาจากกระถางธูปหยกที่มีลวดลายหงส์นี้ไม่ใช่สีขาวแต่กลับเป็นสีดําซึ่งหมายถึงวิญญาณที่มีความชั่วร้ายที่ค่อนข้างร้ายกาจ
และแม้จะมองผ่านตู้กระจกนี้ หยางชื่อเหมยก็ยังคงสัมผัสได้ถึงวิญญาณชั่วร้ายอย่างชัดเจนที่แผ่กระจายออกมา
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ถูกนําออกมาจากสุสานของคนชั่วร้ายดังนั้นมันจึงเต็มไปด้วยพลังหยินและความเคียดแค้น ซึ่งมันจะส่งผลให้คนอยู่ใกล้มันเกิดความไม่สมดุลกันระหว่างพลังหยินและหยาง
และในเวลานี้หยางเจี้ยนหมิงก็ได้บีบตัวเข้ามาพร้อมกับจ้องมองไปที่กระถางธูปหยกด้วยความโลภและตะโกนเสียงดังว่า
” ฉันต้องการสิ่งนี้ วันนี้ฉันจะต้องนํามันกลับบ้านให้ได้ ถ้าใครคิดจะมาแย่งล่ะก็ โดนดีแน่!”
และเมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าว ผู้คนที่ต้องการประมูลกระถางธูปหยกนี้ก็รู้สึกเสียใจมาก แต่พวกเขาก็ทําอะไรไม่ได้ เพราะหากพวกเขาต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขในเมืองนี้ก็คงไม่สามารถทําให้ท่านเลขานุการผู้ซึ่งเป็นบิดาของผู้ชายคนนี้ขุ่นเคืองใจได้มิฉะนั้นปัญหาที่ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เมื่อหยางซื่อเหมยได้ยินดังนั้นเธอก็รู้สึกมีความสุข เนื่องจากสิ่งที่ดีที่สุดคือให้หยางเจี้ยนหมิงได้สิ่งนี้ไปครอบครองจากนั้นก็ทําเพียงแค่อวยพรให้ครอบครัวของพวกเขามีความผิดปกติของพลังหยินและหยาง
สําหรับหยางเจี้ยนหมิงเธอต้องการที่จะสั่งสอนเขา แต่เธอก็ไม่สามารถทําอะไรได้ เนื่องจากพวกเขาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน และแม้ว่าพวกเขาจะไม่สนิทกันแต่ก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดดังนั้นคาถาของเธอจึงไม่สามารถใช้กับเขาได้โดยตรง
แต่ออีกผลหนึ่งที่เธอเกลียดครอบครัวหยางเจี้ยนหมิงเป็นเพราะในชาติที่แล้วครอบครัวของเธอต้องพังพินาศเพราะผู้ใหญ่บ้านหยางต้าหมิงผู้ซึ่งเป็นอาของเขา
และในชาตินี้เมื่อเธอได้กลับมาเกิดอีกครั้งนี้แต่กระดูกของเธอต้องหักจนไม่สามารถลงมาจากเขาได้เป็นเวลาถึงสิบปีก็เป็นเพราะบิดาของหยางเจี้ยนหมิงซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคเมืองที่ชื่อหยางต้าเจี้ยได้เชิญปรมาจารย์มาทําลายรูปแบบที่เธอสร้างขึ้น
โดยเธอต้องการแก้แค้นนี้โดยตลอดแต่ยังไม่ถึงเวลาที่สมควรจนถึงขณะนี้เธอก็ยังไม่ทราบว่าปรมาจารย์คนที่ทําลายรูปแบบของเธอในวันนั้นคือใครและท่านอาจารย์หยูชิงก็ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเธอโดยกล่าวว่าเธอควรจะปล่อยวางความคับแค้นใจ ซึ่งมัน แนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
จากนั้นเมื่อลงจากเขามาเธอก็พยายามสอบถามอีกทั้งยังใช้หลายวิธีเพื่อสืบหาคนผู้นี้แต่ก็ไม่พบว่า ใครคือปรมาจารย์ที่ฝ่าฝืนกฏของเพื่อนร่วมอาชีพทําให้เธอไม่สามารถล้างแค้นให้ตัวเองได้จึงจําเป็นต้องรอให้ถึงเวลา
และครั้งนี้ถ้าหยางเจี้ยนหมิงนํากระถางธูปหยกกลับบ้านคาดว่าน่าจะมีข่าวดีในเร็ว ๆ นี้
เธอจะตั้งตารอ …
จากนั้นหยางซีเหมยก็พบว่าบริเวณด้านหน้าของตู้โชว์ที่อยู่ไม่ไกลมากมีชายคนหนึ่งในชุดสูทสีเทาดํายืนอยู่เคียงข้างกับหญิงสาวในชุดหรูหรา ซึ่งน่าจะเป็นเลขานุการ โดยที่เธอผู้นี้กําลังถือสมุดเพื่อจดบันทึกสิ่งที่ชายคนนั้นกล่าว
ขณะที่หยางซื่อเหมยมีความรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้ดูคุ้นเคยและเมื่อมองใกล้ ๆ ทําให้พบว่าเขาคือพ่อค้าชาวฮ่องกงที่มีชื่อว่า ฮัวเหวินหัว ผู้ซึ่งมอบเงินหนึ่งแสนเหรียญให้กับเธอเป็นรางวัลในวันนั้น
และแม้ว่าจะผ่านไปแล้วสิบปี แต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยอีกทั้งบุคลิกของเขายังแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของคนที่ประสบความสําเร็จ อย่างไรก็ตามในตอนนี้มีริ้วสีแดงจาง ๆ ที่บริเวณคิ้วของเขาซึ่งมันบ่งบอกว่าจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น จากนั้นหญิงสาวก็ได้ยินเสียงจากด้านข้าง
” หลิงหลิง! คุณรู้ไหมว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?” เสียงของหยางเจี้ยนหมิงดังขึ้น
“ไม่รู้สิ! แต่ดูเหมือนจะเป็นคนรวย”
“เขาเป็นผู้จัดงานประมูลวัตถุโบราณในครั้งนี้ มีชื่อว่า ฮัวเหวิ นหัวและเป็นคนที่ร่ํารวยที่สุดของฮ่องกงเมื่อวานนี้พ่อพาผมไปเยี่ยมเขามา” หยางเจี้ยนหมิงกล่าวด้วยน้ําเสียงที่พึงพอใจ
“โอ้โห! มันวิเศษมากที่คุณได้รู้จักกับคนที่ร่ํารวยขนาดนี้”
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา! เพราะผมเป็นคนมีระดับ
จากนั้นหยางเจี้ยนหมิงก็จงใจเดินผ่านมาทางหยางซื่อเหมยด้วยท่าทางภาคภูมิใจพร้อมกับกล่าวว่า
“คนแถวนี้คงไม่มีโอกาสที่จะได้รู้จักกับคนที่ร่ํารวยระดับนั้นและถ้าผมไม่พาคุณมาที่นี่คุณก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นว่าสังคมชั้นสูงมันเป็นอย่างไร?”
และเมื่อได้ยินเช่นนี้ หยางซื่อเหมยก็รู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียน
“ไป! ผมจะพาคุณไปรู้จักกับฮัวเหวินหัว”
หยางเจี้ยนหมิงกล่าวพร้อมกับกอดคอหลิงหลิงที่อยู่ด้านข้างเพื่อเดินเข้าไปหาฮัวเหวินหัวและร้องเรียกอย่างคุ้นเคยว่า
สวัสดีครับคุณฮัว”
หลังจากได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา ในทันใดฮัวเหวินหัวก็เงยหน้าขี้นมองเขาเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มลงมองไปที่จานโบราณเช่นเดิม
และเมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่สนใจเขาอย่างสิ้นเชิง ในฉับพลันใบหน้าของหยางเจี้ยนหมิงก็เปลี่ยนไปพร้อมกับตะโกนดัง ๆ ใส่ฮัวเหวินหัวว่า:
“คุณฮัว! คุณจําผมไม่ได้เหรอ?! ผมเป็นลูกชายของเลขาธิการพรรคเทศบาลไง”
”ผมจําได้ แต่ตอนนี้ได้โปรดอย่ารบกวนผม” ฮัวเหวินหัวกล่าวด้วยความสุภาพ
จากนั้นหยางเจี้ยนหมิงก็ดูเหมือนจะรู้สึกอับอายขณะที่เงยหน้ามอง ทําให้เห็นการเยาะเย้ยซึ่งปรากฏขึ้นที่บริเวณริมฝีปากและคิ้วของหยางชื่อเหมย ส่งผลให้เขารู้สึกเสียหน้ามากยิ่งขึ้น และหันกลับไปจ้องมองที่ฮัวเหวินหัวด้วยความโกรธแค้น
แต่ไม่กล้าที่จะโจมตี เพราะผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถทําให้ขุ่นเคืองได้ แต่เขากลับเห็นว่าเด็กสาวคนนี้กําลังเดินตรงเข้าไปหาฮัวเหวินหัว
“คุณฮัวคะ!”
หยางซื่อเหมยเดินเข้าไปหาฮัวเหวินหัวพร้อมกับกล่าวทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
และเมื่อถูกรบกวนอีกครั้ง ฮัวเหวินหัวก็เงยหน้าขึ้นมามองเด็กสาวอย่างไม่พอใจ ขณะที่พบว่า เธอคนนี้มีอายุประมาณสิบห้าปี จากนั้นเมื่อได้เห็นไฝเม็ดเล็ก ๆ ระหว่างดวงตากลมโตและคิ้วของเธอทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างเป็นประกายขึ้นด้วยความสุข
เนื่องจากในวันนั้นเด็กหญิงตัวน้อยที่รู้วิธีมองหาทําเลฮวงจุ้ยที่ยอดเยี่ยม ซึ่งมันทําให้เขารู้สึกประทับใจมาก และตั้งแต่บิดาของเขา ถูกฝังอยู่ที่จุดนั้นธุรกิจของเขาทุกอย่างก็เริ่มดําเนินไปอย่างก็ราบรื่น
ส่งผลให้เขากลายเป็นตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต่อมาเขาก็ทําธุกิจเกี่ยวกับหยกโบราณซึ่งเขาก็โชคดีอีกโดยสามารถทําเงินได้มากมายและไต่ขึ้นสู่สิบอันดับแรกของรายชื่อเศรษฐีของนิตยสารฟอบส์ได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับที่เธอกล่าวในวันนั้น
หากจะให้เล่าย้อนกลับไปเขาเคยเชิญปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ยที่มีชื่อเสียงหลายคนเพื่อช่วยสํารวจสถานที่ฝังศพ และทุกคนได้กล่าวว่าตําแหน่งที่เด็กน้อยเลือกให้นี้เป็นจุดที่ดีซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจมีความเจริญรุ่งเรือง
“น้องสาวตัวน้อยที่ชื่อ หยางซื่อเหมยใช่หรือเปล่า?” ฮัวเหวินหัวเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
หยางซื่อเหมยหัวเราะชอบใจก่อนที่จะกล่าวว่า
“ใช่ค่ะ คุณฮัวมีความจําที่ดีมาก ไม่แปลกใจเลยที่ธุรกิจของคุณเติบโตขึ้นมากขนาดนี้
” ทั้งหมดนี้เกิดจากพรที่คุณมอบให้”
เขากล่าวด้วยความรู้สึกขอบคุณอีกว่า
“ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่า วันนี้เราจะได้พบกันอีกครั้ง!นับว่าเป็นวาสนาที่ได้พบคุณ.ผมมีความสุขมากจริง ๆ”
คอมเม้นต์