ท้าทายลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 59 ของปลอม
ท้าทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 59 ของปลอม
ตอนที่ 59 ของปลอม
หยางต้าเจี้ยผู้ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคเทศบาลได้นำสมาชิกคนสำคัญของคณะกรรมการพรรคเทศบาลและคณะรัฐบาลเทศบาลมาทักทายฮัวเหวินหัวอย่างอบอุ่น
เนื่องจากหยางต้าเจี้ยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเชิญฮัวเหวินหัวผู้มั่งคั่งและร่ำรวยมาที่เมืองนี้เพื่อพัฒนาร่วมอุตสาหกรรมส่งและเสริมเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดความสำเร็จและผลประโยชน์ต่อเนื่องนี้มากขึ้น นอกจากนี้เขายังมีแผนที่จะหารือเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวกับฮัวเหวินหัว
และเมื่อหยางเจี้ยนหมิงเห็นบิดาของตนเองเดินเข้ามาในงานในทันใดหลังของเขาก็ตั้งตรงตระหง่านขึ้นราวกับว่ามีวิญญาณของสุภาพบุรุษเข้าสิ่งด้วยท่าทีที่สง่าผ่าเผย
แต่เมื่อหยางต้าเจี่ยเห็นหยางชื่อเหมยยืนอยู่ด้านข้างฮัวเหวินหัวจึงเอ่ยถามด้วยความสับสนว่า
“คุณฮัวผู้หญิงคนนี้”
และทันทีที่เด็กสาวเห็นใบหน้าของหยางต้าเจี้ย เธอก็รู้สึกไม่พอใจ แต่พวกต่างก็มีสายเลือดที่เชื่อมโยงกัน ทำให้เธอจึงไม่สามารถร่ายเวทย์มนต์ใส่เขา ดังนั้นจึงทำได้แค่เพียงรอโอกาส
อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้แสดงความเกลียดชังให้คนอื่นได้ล่วงรู้ โดยยังคงยืนนิ่งขณะที่ริมฝีปากของเด็กสาวอุ้มเล็กน้อยด้วยดวงตาที่เย็นชาคู่นั้น
แต่ฮัวเหวินหัวยังไม่ทันได้ตอบคำถามของเขา ทันใดนั้นคนที่ยืนอยู่ด้านข้างหยางต้าเจี้ย ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า
“สาวน้อยคนนี้เป็นลูกของหยางชิงไม่ใช่เหรอ?”
อย่างไรก็ตามผู้ชายคนนี้เป็นคนหมู่บ้านหยางเช่นเดียวกับหยางซื่อเหมยกับหยางต้าเจี้ย อีกทั้งตอนนี้เขาเป็นคนขับรถของหยางต้าเจี้ย และในวันที่หยางชิงย้ายครอบครัวเข้ามาอยู่ในเมือง ผู้ชายคนนี้เคยไปเยี่ยมและได้พบกับหยางซื่อเหมย
” ทำไมลูกสาวของหยางชิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ตอนสมัยเรียนชั้นประถมหยางต้าเจี้ยกับหยางซิงเรียนอยู่ห้องเดียวกัน
“ลุงอี้กัวหยางชิงคือใคร?” หยางเจี้ยนหมิงเอ่ยถามทันที
“เขาย้ายจากหมู่บ้านเข้ามาเป็นครูในเมือง” หยางอี้กัวตอบ
“เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของเขา? ฉันเคยเจอเธอมาแล้วครั้งหนึ่ง”
เมื่อหยางเจี้ยนหมิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็เบริมฝีปากอย่างดูถูกเหยียดหยาม เนื่องก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหยางซื่อเหมยเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล แต่ปรากฏว่าเธอเป็นเพียงสาวบ้านนอก โดยเขาเกือบจะถูกหลอกด้วยรูปร่างหน้าตาของเธอ
และดูเหมือนว่าเหตุผลที่ฮัวเหวินหัวชื่นชอบเด็กผู้หญิงคนนี้ ก็คงจะเป็นเพราะหลงใหลในรูปร่างหน้าตาเช่นเดียวกับเขา และเขาคงต้ องการที่ลองอะไรใหม่ ๆ
จากนั้นฮัวเหวินหัวก็ได้เหลือบมองไปที่หยางซื่อเหมย ทำให้พบว่าเธอยังคงมีท่าทีเฉยเมยภายใต้สายตาคาดเดาของทุกคน โดยที่เธอไม่ต้องการแสดงหรืออธิบายอะไร และเธอทำเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ราวกับว่าสิ่งที่พวกเขากำลังสนทนากันนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ
และเมื่อเห็นคนเหล่านั้นกล่าวถึงหยางซื่อเหมยราวกับว่ากำลังดูถูก ฮัวเหวินหัวก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดี เนื่องจากเขาไม่สามารถอธิบายตัวตนของหยางซื่อเหมยในฐานะอาจารย์ได้ เพราะคงจะไม่มีใครเชื่อและอาจทำให้เธอเดือดร้อนเขาจึงไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรออกมา
สำหรับหยางต้าเจียเมื่อได้ยินว่าหยางซื่อเหมยเป็นบุตรสาวของผู้ชายที่ชื่อหยางชิงซึ่งเป็นเพียงครูธรรมดา เขาจึงขี้เกียจที่จะสนใจเธอ เนื่องจากเขาก็คิดเหมือนกับบุตรชายของตนเองโดยคิดว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวที่ฮัวเหวินหัวให้ความสนใจเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
ส่วนหยางซื่อเหมยก็ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ที่ทำให้เธอเกลียดชัง ดังนั้นเด็กสาวจึงเดินไปหาซงซวน
และในตอนนั้นซึ่งซวนกำลังชื่นชมตราหยกที่มีสัญลักษณ์สมัยสงคราม ซึ่งมันแกะสลักด้วยลวดลายเมฆอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในสมัยรัฐสงคราม อีกทั้งยังมีความประณีตและเรียบง่าย ขณะที่สังเกตเห็นว่าท่าทางของเขาดูเหมือนจะชอบมันมาก
อย่างไรก็ตามหยางซื่อเหมยไม่พบโบราณวัตถุชิ้นใดในบริเวณนี้ที่มีพลังงานทางจิตวิญญาณที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งมีหยกเพียงบางชิ้นเท่านั้นที่ส่องแสงจาง ๆ ออกมาให้เห็น ทำให้เธอมั่นใจว่าวัตถุโบราณชิ้นนี้เป็นของปลอมที่ลอกเลียนแบบได้เหมือนมาก
“คุณซ่งชอบวัตถุโบราณชิ้นนี้เหรอคะ?” หยางซื่อเหมยเอ่ยถาม
ซงซวนพยักหน้าก่อนที่จะกล่าวว่า
“ตราหยกชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นเดียวในโลกที่มีชื่อเสียง เนื่องจากมันอยู่ในสมัยสงคราม และผมมีวัตถุโบราณประเภทนี้อยู่หลายชิ้นจึงอยากจะสะสมให้มันครบชุด
“คุณซ่งคะ แล้วถ้ามันเป็นของปลอมล่ะ?” หยางซื่อเหมยเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
และด้วยประโยคนี้ซ่งซวนก็มีอาการตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า
“วัตถุโบราณทุกชิ้นที่สามารถเข้าร่วมการประมูลได้จะต้องเป็นของแท้ที่ได้รับการประเมินโดยผู้ประเมินที่เชื่อถือได้และไม่มีใครกล้าลอกเลียนแบบเด็ดขาด”
” หรือบางที่ผู้ประเมินอาจจะดูไม่ออกว่ามันเป็นของปลอม”
ซงซวนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เนื่องจากในความเป็นจริงแล้วคงไม่มีใครในโลกที่มีดวงตาเฉียบคมจนสามารถแยกแยะระหว่างของแท้กับของปลอมได้อย่างแม่นยำ และเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้ก็ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน เนื่องจากพวกเขาสามารถทำของเลียนแบบได้เหมือนของจริงมากจนแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่าง
อย่างไรก็ตามเขาคุ้นเคยกับงานประเภทนี้มากและสิ่งนี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับของที่เขามีอยู่ แล้วมันจะเป็นของปลอมได้อย่างไร?
แต่ด้วยจิตใต้สำนึกของเขา มันมีบางอย่างบอกให้เชื่อคำกล่าวของหยางซื่อเหมยสักครั้ง และเชื่อว่าเธอมีความสามารถพิเศษในการดูโบราณวัตถุตั้งแต่ตอนที่เธออายุห้าขวบ และนี่ก็ผ่านมาแล้วหลายปิดังนั้นความสามารถของเธอจึงน่าจะเพิ่มมากขึ้น
และในตอนนี้การประมูลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และผู้ที่เข้าร่วมการประมูลหลายคนจะเข้าร่วมการประมูล โดยที่นั่งของฮัวเหวินหัวอยู่ตรงกลางซึ่งเป็นตำแหน่งที่มุมมองดีที่สุด
ส่วนทางด้านขวาคือหยางต้าเจี้ยและผู้ติดตามของเขาสำหรับทางด้านซ้ายมือคือมู่หรงหยุนชิงและเลขาของเขาแต่ซึ่งซวนกับหยางซื้อเหมยนั้นนั่งอยู่แถวที่สองซึ่งอยู่ด้านหลังของพวกเขา
และการประมูลเริ่มจากวัตถุโบราณชิ้นแรกซึ่งเป็นของตกแต่งบ้านในสมัยราชวงศ์ฮั่นซึ่งเริ่มต้นที่หนึ่งแสนห้าหมื่นเหรียญ โดยมู่หรงหยุนชิงเป็นคนรับมันไปในราคาห้าแสนเหรียญเพื่อเตรียมให้เป็นของขวัญสำหรับคุณย่าของเขา
จากนั้นชิ้นที่สองที่ปรากฏในการประมูลก็คือ จานโบราณที่มีลวดลายรูปปลาคู่ในราชวงศ์ซ่งเหนือของหยางซื่อเหมย โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่สองแสนเหรียญแต่ฮัวเหวินหัวที่ดูเหมือนจะชอบจานใบนี้มากได้เสนอราคาห้าแสนเหรียญทันทีหลังจากที่เริ่มทำการประ
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผู้ชมต่างก็ตกตะลึงและเริ่มติดตามการประมูลไปจนในที่สุดฮัวเหวินหัวก็ได้ครอบครองวัตถุโบราณชิ้นนี้ไปในราคาแปดแสนห้าหมื่นเหรียญ ขณะที่หยางซื่อเหมยหรี่ตาของเธอด้วยรอยยิ้มเนื่องจากเธอซื้อมันมาในราคาเพียงแค่สิบห้าเหรียญเท่านั้น
และอาจเป็นไปได้ว่าหลังจากได้ยินคำกล่าวของหยางซื่อเหมยแล้วงซวนก็ไม่ได้สนใจที่จะร่วมประมูลตราหยกที่เขารู้สึกชื่นชอบและไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดหลังจากที่เปิดประมูลวัตถุโบราณชิ้นนี้ในทันใดท่านเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลก็เริ่มประมูลด้วยตัวเอง ทำให้ทุกคนไม่กล้าเข้าร่วมทำการประมูล
ดังนั้นหยางต้าเจี้ยจึงใช้เงินเพียงแค่สองแสนเหรียญในการได้เป็นเจ้าของตราหยกในยุคอาณาจักรแห่งสงคราม…แต่เขาคงไม่ทราบว่ามันเป็นของปลอม!
คอมเม้นต์