ท้าทายลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 74 ถนนหมอดู
ตอนที่ 74 ถนนหมอดู
หลังจากชายหนุ่มชุดด่ากลับเข้ามาในรถ จูกัดหลางก็จ้องมองเขาด้วยความสับสน และอยากรู้อยากเห็น ท่าให้พบว่าใบหน้าที่หล่อเหลาของเพื่อนคนนี้เด่นชัดด้วย ดวงตาสีด่าที่เป็นประกายแห่งแสงสว่างของความสุข
แน่นอนว่าตอนนั้นเขาเห็นแล้วว่า อาหลงเอื้อมมือไปกอดเด็กสาวผิวขาวและจับมือ เธอเอาไว้ มันจึงทําให้เขารู้สึกแปลกใจมากยิ่งกว่าการที่โคลัมบัสได้ค้นพบทวีปใหม่
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่า เพื่อนของเขาเป็นพวกที่ไม่ชอบเพศตรงข้ามและจะไม่สนใจสิ่งมีชีวิตที่เป็นเพศหญิง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่มนุษย์จากต่างดาว
แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะวิ่งไล่ตามเด็กสาวบนถนน อีกทั้งยังเข้าไปสวมกอดเธอ มิหนําซ้ํายังจะดึงมือผู้หญิงคนนั้นกลับมาอีก
ด้วยสิ่งนี้มันจึงทาให้เขาขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยเกี่ยวกับหญิงสาวชุดขาว และอยากรู้จริง ๆ ว่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นสาวผิวขาวคนนี้เป็นคนอย่างไรจึงสามารถทําลายความสงบของเพื่อนเขาได้!
เนื่องจากความสนใจนี้ เขาก็ส่งสายตาเพื่อสํารวจโดยการจ้องไปที่กระจกมองหลัง ของรถเพื่อดูเด็กสาวผู้บอบบางที่กําลังยืนอยู่เมื่อมองผ่านกระจก จากนั้นร่างของเธอก็เล็กลงเรื่อย ๆ และในที่สุดก็หายไปจากกระจก
และด้วยการหายตัวไปนี้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเองว่างเปล่าราวกับว่า เขามันถูกดึงออกมา ทําให้จูกัดหลางอดกลั้นไม่ได้และเอ่ยถามออกมาดัง ๆ
“เธอเป็นใคร?”
“หยุดความคิดทั้งหมดของแก และห้ามยุ่งกับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด” เขากล่าวพร้อมกับจ้องมองไปที่จูกัดหลางอย่างเย็นชาเหมือนกับทุกครั้ง
ทําให้จูกัดหลางรู้สึกเหมือนถูกดาบคมแทงทะลุหัวใจ ราวกับว่าเขาเกลียดชังภรรยาของตนเองอย่างจริงจัง
เพื่อนของเขาตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้แล้วเหรอ?
ความรักของอาหลงจะแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น ๆ หรือเปล่านะ?
อย่างไรก็ตามเขารู้จักหญิงสาวในชุดขาวตั้งแต่เมื่อไหร่?
อันนี้คงไม่ใช่รักแรกพบใช่หรือเปล่า?
“ถ้าแกไม่บอกฉันว่าแกกาลังรักเธอ..ฉันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่จีบเธอ…”จูกัดหลางหรี่ตามองเพื่อนอย่างตั้งใจ
“แกกล้าเหรอ?”
จูกัดหลางชําเลืองมองเขาอีกครั้ง ท่าให้รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เย็นชาและคมชัดขึ้น ดังนั้นเขาจึงรีบหดคอ
แน่นอนว่า เขาคงไม่มีความกล้ามากถึงขนาดนั้น!
อย่างไรก็ตามยิ่งเพื่อนของเขาไม่ต้องการเล่ามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับหญิงสาวในชุดขาวมากขึ้นเท่านั้น!
จะต้องตรวจสอบภูมิหลังของเธอสักหน่อยเมื่อมีเวลาว่าง!
***
เมื่อเห็นว่าอาหลงได้จากไปแล้ว ตอนนี้มินกังที่กําลังนั่งอยู่บนอานจักรยานด้วยอารมณ์หดหูต้องการสอบถามหยางซื่อเหมยว่าเขาเป็นใคร แต่ก็ไม่กล้า เนื่องจากเขากับเธอยังไม่ค่อยคุ้นเคยกัน จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเอ่ยถาม
“ขึ้นรถสิ!” เขากล่าวกับเธอเท่านั้น
หยางซื่อเหมยอยากจะกระโดดขึ้นรถและทันใดนั้นก็นึกถึงประโยคที่อาหลงกล่าว นมาได้ ต่อไปนี้ห้ามนั่งเบาะหลังของเด็กผู้ชายอีก
จากนั้นราวกับเธอต้องมนต์สะกดและหยุดทันที และกล่าวด้วยความรู้สึกผิดต่อมันถึง:
“ขอบคุณมาก ฉันอยากเดินและจากที่นี่บ้านก็อยู่ไม่ไกลมาก”
“อย่างนั้นฉันจะไปกับคุณ!”
“ไม่จําเป็น..ฉันอยากกลับเอง” หยางซื่อเหมยปฏิเสธ
เมื่อเด็กสาวกล่าวจบประโยค ใบหน้าของมินกุ้งก็ฉายแววผิดหวังและมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอพร้อมกับกล่าวด้วยน้ําเสียงที่หดหูว่า
“โอเค! คุณระวังตัวด้วย ผมจะกลับบ้านละ”
“บาย”
“พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน!”
มินกังฝืนยิ้มพร้อมกับโบกมือให้หยางซื่อเหมยและถีบจักรยานออกไป ขณะที่หยางซื่อเหมยมองไปยังแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่กําลังเคลื่อนตัวห่างจากตนเองไปเรื่อย ๆ พลางถอนหายใจอย่างแผ่วเบาและเดินไปตามถนนอย่างช้า ๆ
ทันใดนั้นมีคนดึงกระโปรงของเธอและกล่าวว่า
“คุณ! ตาแหน่งหยินถังของคุณเป็นสีดํา ดังนั้นจะมีหายนะเกิดขึ้น…”
และเมื่อหยางซื่อเหมยหันหน้าไปมองจึงพบว่า อันที่จริงแล้วเธอได้เดินเข้าไปในถนนหมอดูโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงพบว่ามีการตั้งแผงทํานายโชคชะตาหลายแห่ง
อย่างไรก็ตามเธอเคยใช้เวลาส่วนใหญ่บนถนนสายนี้ในชาติที่แล้ว ดังนั้นเธอจึงรู้จักกับหมอดูทุกคนที่ยืนอยู่ที่นี่ โดยชื่อเล่นของหมอดูที่สวมแว่นกันแดดและตาบอดคนนี้คือ วูตง
โดยภรรยาพิการของวตงเสียชีวิตก่อนเวลาอันสมควรและทิ้งบุตรชายสองคนเอาไว้ให้เขาเลี้ยง แต่บุตรชายทั้งสองคนเป็นคนที่อกตัญญมาก เนื่องจากเขาติดการพนัน และดื่มเหล้าอีกทั้งยังไม่ทํามาหากินและมักจะรีดไถเงินจากชายชราผู้น่าสงสารคนนี้
เวลานั้นหยางซื่อเหมยกําลังตั้งแผงขายของอยู่ด้านข้างเขา แม้ว่าเธอจะมีอาชีพเหมือนผู้ชายคนนี้ แต่เขาก็รู้สึกสงสารกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องหาเงินเลี้ยงชีพด้วย ตนเองตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นเขาจึงสอนเคล็ดลับมากมายในประกอบอาชีพหมอดู
ในชาติที่แล้วถือได้ว่าหยางซื่อเหมยเป็นที่โปรดปรานของเขามาก ทําให้เด็กสาวต้องการที่จะช่วยเขา ดังนั้นเธอจึงแสร้งทําเป็นเชื่อฟังเขาคุยโม้อย่างจริงจังและให้เงินห้าสิบเหรียญที่ตนเองน่าติดตัวมาด้วยก่อนที่จะจากไป
จากนั้นทูตงจึงรับเงินห้าสิบหยวนนั้นมาพร้อมกับสัมผัสมันอย่างระมัดระวัง เพื่อตรวจดูว่ามันเป็นธนบัตรจริงหรือไม่ และมันก็ทําให้เขามีความสุขมากเนื่องจากคิดว่าตนเองสามารถหลอกคนโง่เขลาได้จริงๆ
ขณะนั้นเมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนี้ได้เงินแล้วคนขี้อิจฉาที่อยู่อีกฟากหนึ่งก็รู้สึกไม่พอใจ ดังนั้นเมื่อหยางซื่อเหมยเดินผ่านไปเขาจึงจงใจใช้ไม้ค้ําในมือจิ้มมาที่เด็กสาว
“คุณหนู ใบหน้าของคุณเป็นสีชมพูแต่ดวงตาของคุณหมองหม่น มิหนําซ้ําจุดสําคัญบนใบหน้าของคุณยังดําคล้ํา ดังนั้นจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับคุณอย่างแน่นอน ตอนนี้โชคร้ายก่าลังคืบคลานเข้ามาหาคุณ แต่ผมสามารถช่วยแก้ไขให้คุณได้”
หยางซื่อเหมยเฝ้าดูอย่างเย็นชาขณะที่เขากําลังคุยโม้ต่อไป และเขาคนนี้ก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนที่เธอเกลียดชังมากที่สุดในชาติที่แล้ว
เนื่องจากบุคคลผู้นี้มีความเห็นแก่ตัวและโลภมากเสียจนไม่มีจริยธรรมเอาเสียเลย อีกทั้งเขามักจะใส่ร้ายเพื่อนร่วมอาชีพเพื่อแย่งลูกค้า และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาจงใจเหยียบย่าหมอดูอย่างหยางซื่อเหมย…
ตอนนี้เธอลืมตาขึ้นมองเขาเพื่อเอ่ยถามอย่างประชดประชัน
“คณบอกว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับฉัน แต่ฉันสงสัยว่าคุณเคยค่านวณหรือเปล่าว่า ในอนาคตจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นกับคุณเมื่อไหร่?”
“ผมเป็นเทพที่มีชีวิต ดังนั้นแน่นอนว่าโดยธรรมชาติแล้วผมสามารถช่วยคุณหลีกเลี่ยงความชั่วร้ายได้…ถ้าคุณไม่เชื่อ…”
แต่เขายังกล่าวไม่ทันจบ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นทันใดนั้นกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณเหนือศีรษะของเขาก็หักลงมาและตีลงบนไหล่ของผู้ชายคนนี้อย่างรุนแรงจนกระแทกเขาไปทั่วทั้งร่าง
ทําให้มุมริมฝีปากของหยางซื่อเหมยเชิดเล็กน้อยและเดินลอยหน้าลอยตาออกไ
นี่คือเทพเจ้าที่มีชีวิตเหรอ!
ใครกันแน่ที่โชคร้าย!
คอมเม้นต์