Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 172 หัตถ์สัมฤทธิ์เคลือบสี
Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์ ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 172 หัตถ์สัมฤทธิ์เคลือบสี
ทุกค่ําคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ช่วงเวลาตั้งแต่ห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง หมอกโลหิตภายในหุบเขามังกรปีศาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อานุภาพแห่งอาณาเขตโบราณก็คลายตัวลงเช่นกัน ทว่าเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียงสองชั่วยามเท่านั้น ครั้นเวลาผันผ่านไปอาณาเขตโบราณจะปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ ส่วนหมอกโลหิตจะกลับมารวมตัวอย่างหนาทึบอีกครั้ง! ความน่าสะพรึงกลัวของมันทําให้ถูกใช้เป็นสถานที่ลงโทษผู้ฝึกตนกระทําการทรยศต่อสํานักมานานหลายปี แม้แต่ยอดฝีมือหลายรายยังต้องจบชีวิตลงที่นี่
ตอนนี้เวลาเหลือไม่มากนัก แต่เยี่ยฉวนต้องขึ้นบันไดหินไปอีกสามร้อยขั้น สถานการณ์ตรงหน้าเต็มไปด้วยความคับขันและท้าทาย เขาได้แต่หวังว่ากระดิ่งลมของอาวุโสลําดับเจ็ดจะดังขึ้นไปถึงเบื้องบนจนเขาลงมาช่วยเหลือได้ทันท่วงที!
เสียงกระทบกันของกระดิ่งโลหะดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ…
เยี่ยฉวนเริ่มหายใจติดขัดประสาทการรับกลิ่นสัมผัส เพียงออร่าแห่งความตาย ความกลัวค่อยๆกัดกินหัวใจของเขาทีละน้อย หมอกโลหิตที่แทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังกําลังกัดกร่อนจนเขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปถึงกล้ามเนื้อ กระดูก เลือด จนถึงอวัยวะภายใน ทันใดนั้นเขาก็ลื่นไถลจนร่างล้มลงกองกับพื้น นอกความเร็วในการหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ไม่เพิ่มขึ้น เขายังสูญเสียการทรงตัวอีกด้วย!
“จบเห่แล้ว….คราวนี้พวกเราคงจบสิ้นกันจริงๆ!
ภายในโคมบงกชสีคราม ตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่มีดวงวิญญาณร้ายเฮยกุ๋ยสิงสู่กําลังคร่ําครวญด้วยความสับสนมึนงง ดวงตาของมันฉายแววแห่งความสิ้นหวัง
ด้วยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิต แม้ตัวจะอยู่ในโคมบงกชสีครามทว่ายังสัมผัสถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกได้อย่างแจ่มชัด หากเยียฉวนไม่เรียกมันก็จนปัญญาที่จะหนีออกไป ดังนั้นเขาจึงทําได้เพียงร้องตะโกน และรอคอยความตายโดยไม่สามารถทําสิ่งใดได้ ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานยิ่งกว่าการถูกดาบทื่อเลื่อยตัดคออย่างช้าๆเสียอีก!
กริ้งกริ้ง
เสียงกระดิ่งลมยังคงดังกังวานอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เยี่ยฉวนที่ทรงตัวไม่อยู่และทรุดตัวลงกองกับพื้นไม่สิ้นหวัง เช่นวิญญาณร้ายเฮยกุ๋ย ในสถานการณ์คับขันที่มีอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ เขายังคงมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนจึงยังไม่หยุดสั่นกระดิ่ง ด้วยความเชื่อมั่นว่าอาวุโสลําดับเจ็ดผู้สวมชุดคลุมสีฟ้าจะสามารถช่วยให้ตนรอดชีวิต
ท่ามกลางหมอกโลหิตหนาทึบที่ปกคลุมทั่วชั้นบรรยากาศ แสงสีทองสว่างวาบพลันปรากฏขึ้น!
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนจึงเห็นฝ่า มือขนาดใหญ่ยื่นลงมา พื้นผิวของมันแวววาวและเปล่งประกายระยิบระยับประหนึ่งหลอมขึ้นจากทองคําบริสุทธิ์ ครั้นพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจึงพบว่าด้านนอกเคลือบด้วยสีทอง แต่ด้านในเคลือบสีสันสดใส แม้มันเคลื่อนผ่านหมอกโลหิตหนาทึบหลายชั้นก็ปราศจากร่องรอยการสึกกร่อน ฝ่ามือดังกล่าวทําให้เขานึกถึงเคล็ดวิชาหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานของดินแดนรกร้างหัตถ์สัมฤทธิ์เคลือบสี ทั้งตามตํานานยังกล่าวขานว่ามันเป็นเคล็ดวิชาที่นิยมใช้ในเชิงพุทธศาสนาโบราณอีกด้วย
ฝ่ามือสีทองขนาดใหญ่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์และพุ่งตรงมาคว้าลําตัวเยี่ยฉวนอย่างรวดเร็ว เสียงหวีดหวิวของกระแสลมดังขึ้นข้างหู ความเร็วที่ถูกกระชากขึ้นสู่เบื้องบนทําให้เขารู้สึกคล้ายร่างกายกําลังจะฉีกขาดออกจากกัน ทั้งยังรู้สึกราวเหาะอยู่เหนือกลุ่มเมฆ ขณะนั้นสมองของเขาขาวโพลนไปชั่วครู่
ช่วงเวลาที่เขาสัมผัสดูเนิ่นนาน ทว่ามันเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น ตอนนี้กระแสลมแปรปรวนสงบลงแล้ว หมอกโลหิตอันน่าสะพรึงก็สลายตัวไปจนสิ้นแล้วเช่นกัน เยี่ยฉวนค่อยๆสงบสติอารมณ์ลงและกวาดสายตามองโดยรอบ จึงพบว่าเขากลับขึ้นมาจากหุบเขามังกรปีศาจโดยราบรื่น ครั้นหันไปมองอีกทางจึงพบว่าอาวุโสลําดับเจ็ดในชุดคลุมสีฟ้านั่งขัดสมาธิอย่างสงบเงียบอยู่ไม่ไกล ราวช่วงเวลาตั้งแต่เขาลงไปยังก้นเหวกับตอนนี้ชายชราไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายแต่อย่างใด
แกร๊ง…
เสียงระฆังรอบที่เก้าดังขึ้นพร้อมกับเสียงประหลาดลาก ยาวที่ดังขึ้นจากโลกใต้พิภพในหุบเขามังกรปีศาจ
ทันใดนั้นทั่วทั้งหุบเขามังกรปีศาจพลันปกคลุมไปด้วยพลัง ปราณมหาศาลอันไร้ขอบเขต คนนอกไม่สามารถเข้าไปได้ทันเวลา ทว่าภูตอสุรกายจากภายในสามารถออกมาจากที่ของมันได้โดยง่าย
อาณาเขตโบราณของหุบเขามังกรปีศาจถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์! โชคดีที่เยี่ยฉวนรอดพ้นจากวาระสุดท้ายมาได้อย่างหวุดหวิด!
“เป็นพระคุณยิ่งขอรับท่านอาวุโสลําดับเจ็ด!”
เยี่ยฉวนโค้งคํานับเพื่อขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริงทันทีที่กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
บุรุษชุดคลุมสีฟ้าผู้นี้คือยอดฝีมือผู้มีวรยุทธ์สูงส่งโดยแท้
เขาบรรลุการฝึกตนขั้นมหาปราชญ์ฝึกหัดเช่นเดียวกับราชินีอสูรเกศาขาว หรือบรรลุถึงขั้นมหาปราชญ์อันทรงเกียรติแล้วกันแน่?!
เยี่ยฉวนลอบสํารวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่ง! ภพชาติก่อนเขาเคยพบเจอยอดฝีมือหลายรายที่บรรลุถึงขั้นมหาปราชญ์ ทว่าภพชาตินี้ยากนักที่จะพบเจอผู้ฝึกตนที่มีความสามารถสูงส่งถึงเพียงนั้น ดินแดนรกร้างว่างเปล่าในอดีตเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายประการ ทําให้ยอดฝีมือที่บรรลุถึงขั้นนักปราชญ์มีจํานวนลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?!” ชายชราเอ่ยถาม
“ไม่เลวเลย หากมีเวลาสํารวจมากกว่านี้สักหน่อยคงดีไม่น้อย!” เยี่ยฉวนกล่าวตอบ
ตอนนี้หมอกโลหิตภายในหุบเขามังกรปีศาจกลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว ทั้งยังม้วนตัวอย่างพลุ่งพล่านอย่างต่อเนื่อง พลังทําลายล้างของมันทวีขึ้นถึงขีดสุดประหนึ่งจะกลืนกินเทีอกเขาหมอกเมฆาที่ทอดยาวทั้งหมด หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆที่ลงไปสู่ก้นเหวลึกและบังเอิญรอดจากความหายนะดังกล่าว คงหวาดกลัวจนไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้ขุมนรกแห่งนี้ไปตลอดชีวิต ทว่าเยี่ยฉวนกลับแตกต่าง…เขายังมีความกระตือรือร้นที่จะลงไปสํารวจเบื้องล่างอีกครั้ง!
แม้เยี่ยฉวนในภพชาติที่แล้วเคยเป็นถึงมหาปราชญ์ผู้ซ่อนเร้นสวรรค์ไว้ด้วยฝ่ามือก็ตาม แต่เขาไม่เคยเดินทางเข้าไปในอาณาเขตโบราณอันชั่วร้ายเช่นนี้มาก่อน ถึงกระนั้นเขาก็ตระหนักดีว่ายิ่งสถานที่ดังกล่าวมีความอันตรายร้ายแรงเพียงใด หากเข้าไปสํารวจจะยิ่งพบเจอสมบัติล้ําค่าที่มีประโยชน์นานัปการมากเท่านั้น!
ด้วยขั้นการฝึกตนของเขาในปัจจุบันที่บรรลุเพียงขั้นซิวฉือระดับที่สอง ทําให้เขาไม่สามารถรับมือกับภยันตรายต่างๆได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะคว้าโอกาสอันดีเหล่านั้น แต่หากเป็นตัวเขาในอนาคตล่ะ? ตราบใดที่เขาฝึกตนจนบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋า หรือแม้แต่ขั้นซิวฉือที่มียันต์กลืนกินสวรรค์จํานวนมากกว่าที่มีอยู่เดิม เหตุการณ์คงแตกต่างออกไป!
ภายในโคมบงกชสีคราม วิญญาณร้ายเฮยกุ๋ยที่สิงสถิตอยู่ในตุ๊กตาหุ่นกระบอกกลับมามีสติอีกครั้ง ครั้นรู้ว่าตนรอดพ้นจากหายนะจึงปิติยินดียิ่ง! แต่เมื่อได้ยินคําตอบของเยี่ยฉวนจึงกลอกตาด้วยคิดว่าตนหูฝาดไปเป็นแน่ พวกเขาเพิ่งหลบหนีออกจากหุบเขามังกรปีศาจมาได้อย่างหวุดหวิด แล้วจะกลับลงไปอีกครั้งด้วยเหตุอันใด?!
เฮยกุ๋ยส่ายศีรษะด้วยความไม่เชื่อ หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เยี่ยฉวนกล่าวล้วนสัตย์จริง!
“เช่นนั้นรึ?!”
ชายชราชุดคลุมสีฟ้ากล่าวเพียงเท่านั้นโดยไม่แสดงความคิดเห็นใด จากนั้นจึงกล่าวต่อโดยที่สีหน้าปราศจากความประหลาดใจ “เจ้าพบศิษย์น้องที่กําลังตามหาหรือไม่?”
“ข้าพบเพียงกระบีประจํากายของเขาตกอยู่ที่ก้นเหวนั้น แต่ข้าไม่มีวันยอมแพ้…สักวันจะต้องตามหาศิษย์น้องหนานเทียนโตวจนพบ ต่อให้จะเหลือเพียงโครงกระดูกก็ตาม!”
เยี่ยฉวนสายศีรษะพร้อมพ่นลมหายใจ การลงไปสํารวจในหุบเขามังกรปีศาจในครั้งนี้ แม้จะทําให้เขาพบเจอกับอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตแต่กลับได้กําไรที่ไม่คาดคิดมาไม่น้อย ตอนนี้เข้าตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเบื้องล่างนั้นอย่างถ่องแท้ อีกทั้งยังสามารถปราบปรามวิญญาณร้ายเฮยกุ๋ยซึ่งเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งที่มีวรยุทธ์สูงส่งไร้เทียมทานให้กลายมาเป็นสาวก น่าเสียดายที่เขามีเวลาไม่เพียงพอที่จะค้นหาร่างของหนานเทียนโตว ท่ามกลางโครงกระดูกมากมายที่ไม่สามารถระบุตัวตนทับถมกันอยู่เบื้องล่าง หากค้นหาคงไม่ต่างอะไรไปจากการงมเข็มในมหาสมุทร
อาวุโสลําดับเจ็ดยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บริเวณข้างหุบเขาเช่นเดิมอย่างสงบเงียบโดยไม่มีวี่แววว่าจะลุกเดินจากไป ทันใดนั้นเขาจึงปริปากทําลายความเงียบ “เจ้าเห็นทางเข้าสู่โลกใต้พิภพชั้นแรกหรือไม่?”
“ข้าพบทางเข้าซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบ…มีกองกระดูกมนุษย์สุมอยู่เป็นกองพะเนิน
ดวงจิตของเยี่ยฉวนสั่นไหวเมื่อชายชรากล่าวถึงจุดประสงค์หลัก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีเป้าหมายบางประการ จึงตั้งหลักปักฐานฝึกตนอยู่ข้างหุบเขามังกรปีศาจในค่ําคืนนี้ เขาหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อ “ข้าพบสวนหางของสัตว์อสูรบางชนิดที่ไม่รู้จักอยู่ในบริเวณเดียวกันอีกด้วย”
“ลักษณะเป็นอย่างไร?” ชายชราเอ่ยถาม
“พื้นผิวปกคลุมไปด้วยเกล็ดแข็งที่ซ้อนตัวเรียงกันเป็นระเบียบคล้ายหางของมังกรหรืออสรพิษยักษ์” เยี่ยฉวนกล่าวตอบ
ชายชราชุดคลุมสีฟ้าเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วเจ้าทันสังเกตหรือไม่ว่าปัจจุบันมันเป็นสีใด?”
“ข้าเห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น ไม่อาจระบุชัดว่าเป็นสีดําหรือสีเทาเข้ม” เยี่ยฉวนกล่าวตอบอย่างระมัดระวัง
ชายชราไม่ได้ถามอย่างขอไปทีว่าส่วนหางดังกล่าวเป็นสีใด ทว่าลงลึกไปถึงรายละเอียดว่า “ปัจจุบัน” เป็นสีใด หากตีความอีกนัยหนึ่งคือก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคงเคยลงไปสํารวจเบื้องล่างของหุบเขามังกรปีศาจมาครั้งหนึ่ง และเห็นหางปริศนาที่ยื่นออกมาจากโลกใต้พิภพกับตาตนเอง!
แท้จริงแล้วชายชราที่เรียกตนเองว่าอาวุโสลําดับเจ็ดผู้นี้คือใครกันแน่?! เหตุใดเขาจึงกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเขามังกรปีศาจอย่างเห็นได้ชัด? หรือเขาจะเป็น…
เยี่ยฉวนลอบสํารวจชายชุดคลุมสีฟ้าอีกครั้ง ความสงสัยบางประการปรากฏขึ้นในจิตใจ เดิมทีเขาคิดว่าจะใช้วิธีพูดคุยทางอ้อมเพื่อหลอกถามถึงตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย ทว่าไม่สบโอกาสเลยสักครั้ง ชายหนุ่มจึงล้มเลิกความคิดนั้นและยันตัวให้ลุกยืนขึ้นอย่างช้าๆ
“หุบเขามังกรปีศาจมีอันตรายมากมายที่เจ้าไม่อาจล่วงรู้ ขั้นการฝึกตนในปัจจุบันของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ หนุ่มน้อย…จงอย่าคิดสันเอาชีวิตตนเข้าไปเสี่ยง” ชายชราชุดคลุมสีฟ้ากล่าวเสียงเรียบพร้อมยันตัวลุกขึ้นเช่นกัน จากนั้นจึงหมุนตัวกลับก่อนเดินจากไป
“ทราบแล้ว….ขอบคุณท่านอาวุโสลําดับเจ็ดสําหรับคําเตือน!”
เยี่ยฉวนโค้งคํานับขณะที่แผ่นหลังของชายชราค่อยๆห่างออกไป จากนั้นจึงหันกลับมามองหมอกโลหิตที่ม้วนตัวอย่างบ้าคลั่งเหนือหุบเขามังกรปีศาจอีกครั้ง ครั้นเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดแปลกจึงหมุนกายจากไป แต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวฝีเท้าก็หยุดชะงัก…
สตรีสวมชุดเกราะพร้อมรบและชุดคลุมเจ็ดสีผู้มีท่าทางเย็นชา เดินออกมาจากหลังหินก้อนใหญ่ท่ามกลางความมืดสลัว
สตรีพรหมจรรย์หงจือเซียปรากฏตัวขึ้นโดยที่เขาไม่รู้แน่ชัดว่านางซ่อนกายอยู่บริเวณนั้นมานานเพียงใดแล้ว กิริยาอันงามสง่าของนางดึงดูดให้เขาประทับใจจนไม่อาจละสายตา…
คอมเม้นต์