Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 190 ได้รับบทเรียนน้อยเกินไป
Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์ ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 190 ได้รับบทเรียนน้อยเกินไป
บทที่ 190 ได้รับบทเรียนน้อยเกินไป
เสียงร้องเรียกของหนาซานดึงดูดความสนใจของทุกคน แม้แต่หนาสู่ยก็ข่มกลั้นความเจ็บปวดพร้อมกระโดดขาเดียวไปตามเสียงนั้น
ก้อนผลึกมนุษย์ที่พบในร่างอสูรหินเศียรสุนัขปรากฏตราอักขระโบราณซึ่งเป็นตําราเคล็ดวิชาขั้นปถพี่ที่ทรงพลังยิ่ง เช่นนั้นอสูรหินเศียรพยัคฆ์ที่มีความแข็งแกร่งมหาศาลตัวนี้จะมีก้อนผลึกที่ทรงอานุภาพเพียงใด?!
หัวใจของทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวัง ส่วนเยี่ยฉวนก็รู้สึกกระตือรือร้นไม่น้อย!
เคล็ดวิชาการฝึกตนที่มาจากโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อาจเป็นมรดกที่มังกรปีศาจทิ้งร่องรอยไว้ แม้ภพชาติก่อนเขาเคยเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาสามพันอย่าง แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกับเคล็ดวิชาที่เขาไม่เคยพานพบ!
หากเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาเหล่านั้นจนบรรลุ ในอนาคตเขาอาจล่วงรู้ความลึกลับอันน่าอัศจรรย์ของโลกอีกใบ ทั้งยังสามารถขึ้นไปสู่ความรุ่งโรจน์สูงสุดแห่งยุทธภพได้อีกด้วย สําหรับเยี่ยฉวนผู้เคยเป็นมหาปราชซ่อนเร้นสวรรค์ด้วยฝามือในภพชาติก่อน เคล็ดวิชาดังกล่าวช่างหอมหวานน่าดึงดูดกว่าเคล็ดวิชาทั่วไปหลายเท่า!
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่! มาดูทางนี้เถิดขอรับ! ในร่างของมันมีก้อนผลึกมนุษย์อยู่จริงๆ แต่รอบนี้เป็นสีฟ้า….ขนาดของมันใหญ่กว่าอันก่อนหน้านี้เล็กน้อย!” หนาซานศิษย์สํานักเบญจลักษณ์กล่าวด้วยน้ําเสียงตื่นเต้นขณะล้วงเอาก้อนผลึกนั้นออกมาจากอกที่ปริแตกของอสูรหินเศียรพยัคฆ์
ก้อนผลึกมนุษย์ที่พวกเขาพบในอสูรหินเศียรสุนัขมีสีขาว แม้เนื้อมีลักษณะเป็นผลึกใสแต่ยังปรากฏสีสันชัดเจน บางครั้งก็สะท้อนเป็นสีขาวอมเทา แต่ก้อนผลึกมนุษย์ที่พบในอสูรหินหัวพยัคฆ์มีสีฟ้า
บริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปน ทั้งยังสามารถระบุได้ว่าเป็นสมบัติมากมูลค่าเพียงใช้สายตาสํารวจผ่านๆเพียงแวบเดียว บนพื้นผิวปราศจาก ตราอักขระโบราณ มีเพียงจุดและเส้นสีแดงที่พาดผ่านตลอดลําตัว ซึ่งบ่งบอกถึงเคล็ดวิชาระดับสูง!
“นายท่าน! นี่คือเคล็ดวิชาจากโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เช่นกันขอรับ! ข้าสัมผัสถึงพลังแห่งความสูงส่งที่บรรจุอยู่อย่างหนาแน่นในก้อนผลึกสีฟ้านี้!”
เสียงของวิญญาณร้ายเฮยกุ้ยดังขึ้นจากภายในโคมบงกชสีคราม กระตุ้นให้ความรู้สึกตื่นเต้นในใจของเยี่ยฉวนลุกโชนกว่าเดิมหลายเท่า! กลิ่นอายประหลาดจากก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าทําให้ชายชราผู้สถิตอยู่ในตุ๊กตาปีติยินดียิ่ง!
หลิวหงหยิบก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าจากฝ่ามือหนาซานขึ้นพิจารณาของถ้วนถี่ พบว่าบนพื้นผิวของมันถูกแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตร ครั้นถืออยู่ในมือนางพลันรู้สึกถึงกระแสน้ําไหลเย็นที่ซึมซับเข้าสู่ ร่างกายและค่อยๆไหลเวียนอย่างเชื่องช้าไปในทิศทางเดียวกับเส้นสีแดงที่พาดผ่านรอบลําตัว
เมื่อสังเกตให้ดีจึงพบความจริงอันน่าทิ้งอีกประการ คือภายในก้อนผลึกมีตําราเคล็ดวิชาบางอย่างที่ลึกซึ้งจารึกไว้! ไม่แน่ว่าอาจถูกจัดอยู่ในระดับปฐพีหรือแม้แต่ระดับเทวาลัย!
ทั่วอาณาบริเวณแห่งสํานักเบญจลักษณ์ ปรากฏตําราเคล็ดวิชาที่มีระดับสูงส่งถึงขั้นเทวาลัยเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
หากนางมีสิทธิ์ครอบครองมันและนํากลับไปยังสํานัก อาจได้รับการยกย่องชื่นชมมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย! ถึงเวลานั้นทั้งตําแหน่งศิษย์พี่หญิงใหญ่และตําแหน่งรักษาการแทนเจ้าสํานักผู้สาบสูญจะไร้ข้อกังขา ต่อให้ท้ายที่สุดนางค้นหาบิดาในอาณาจักรสวรรค์แห่งนี้ไม่พบ นางจะเป็นคนแรกที่มีสิทธิ์ได้รับช่วงต่อโดยชอบธรรม
หลิวหงไตร่ตรองเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างรวดเร็ว ในที่สุดจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าตนจะต้องเป็นผู้ครอบครองก้อนผลกชิ้นนี้
ตั้งแต่เล็กจนโตเหตุผลเดียวที่นางมักสวมเสื้อผ้าหรูหรา และเดินเตร่ไปมาท่ามกลางศิษย์ร่วมสํานัก มีเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น!
นางต้องการให้บิดากุมอํานาจเบ็ดเสร็จของสํานักเบญจลักษณ์ไว้อย่างมั่นคง ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดนางเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่กระหายในอํานาจ หากสิ่งที่ควรเป็นของตนตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นนางคงทนไม่ได้เป็นแน่ ตอนนี้บิดาของนางถูกพลังลึกลับดูดจนสาบสูญไปในอาณาจักรสวรรค์ กระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่อาจล่วงรู้ว่า เขาตายตกไปหรือยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นนางต้องคิดหาหนทางเพื่อเสริมความชอบธรรมของตนในการขึ้นไปสู่จุดนั้นให้จงได้ หากทําไม่สำเร็จโอกาสที่นางมั่นหมายอาจถูกผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งของสํานักยึดครองอย่างแน่นอน!
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิวสรวจจนพึงใจแล้วหรือยัง? หากพิจารณาดีแล้วก็ส่งคืนให้ข้าเถิด!”
เยี่ยฉวนเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัยบนใบหน้า พร้อมสบตาหลิวหงที่ปรารถนาในก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าไม่ต่างกันก่อนกล่าวต่อ “ครู่นี้เจ้ากล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าสมบัติที่ได้จากอสูรหินเศียรพยัคฆ์ต้องตกเป็นของข้า ศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิว…หากเจ้าใจกว้างเหมาะสมกับตําแหน่งหัวหน้าคงไม่คิดคืนคําใช่หรือไม่?
“เรื่องนั้น…”
ใบหน้าหลิวหงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก๋อย่างรู้สึกอับอายเมื่อเยี่ยฉวนทวนคําพูดก่อนหน้า แม้อยากครอบครองก้อนผลึกดังกล่าวแต่อีกฝ่ายกลับทวงถามถึงสัญญาเช่นนี้นางควรทําอย่างไรดี?
หลิวหงหันมองทางซ้ายและขวาเพื่อมองหาตัวช่วยและแสร้งทําเป็นไม่ได้ยินคําพูดของเขา ครั้นเหลือบไปเห็นหนาสู่ยที่ยืนด้วยขาเพียงข้างเดียว ความคิดบางอย่างจึงแวบเข้ามาในสมอง “คุณชายเยี่ย ข้าไม่ต้องการสมบัติชิ้นนี้หรอก…แต่ข้าเห็นว่าพี่หนาสู่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้การเสียสละขาหนึ่งข้างไม่นับว่ายิ่งใหญ่ อย่างน้อยก็ควรยกย่องเขาที่ร่วมต่อสู้อย่างหนักหน่วง ทุกคนคงเห็นชัดแล้วว่าพี่หนาสู่ยเหลือขาเพียงหนึ่งข้างเท่านั้น เหตุใดเราไม่มอบก้อนผลึกให้เขาไปเล่า?”
“ข้าเห็นควรด้วย! พี่หนาสู่ยรุดไปด้านหน้าโดยไม่คํานึงถึงความปลอดภัย หากไม่ใช่เพราะเข้าที่บุกเข้าจู่โจมเป็นคนแรก คนที่ควรขาขาดหนึ่งข้างคงไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน!” หนาซานศิษย์สํานักเบญจลักษณ์กล่าวสนับสนุน
“ก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าชิ้นนี้ควรเป็นของข้าต่างหาก!” หนาสุ่ยเอ่ยเสียงแหบแห้งขณะจ้องเขม็งไปทางเยี่ยฉวนอย่างชิงชัง
เยี่ยฉวนมีความสามารถถึงขั้นเหยียดขาออกจนอสูรหินเศียรพยัคฆ์สะดุดล้มครืน แต่กลับไม่เข้ามาป้องกันจนเขาต้องเสียขาไปหนึ่งข้าง หนาสู่ยปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายจงใจกลั่นแกล้งตนเป็นแน่!
สีหน้าของเขาทิ้งตึงและโหดเหี้ยม ในอนาคตหากสบโอกาสเขาจะชําระแค้นกับเยี่ยฉวนทันที!
เขาไม่สามารถตามล้างแค้นกับอสูรหินเศียรพยัคฆ์ซึ่งตายตกไป แล้วจึงพุ่งเป้าความโกรธทั้งมวลลงที่เยี่ยฉวน เดิมที่เขาเพียงไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเท่านั้น ทว่าตอนนี้กลับจงเกลียดจงชังเข้ากระดูกดําที่เดียว!
จากนั้นหลิวหงจึงหันไปหาพี่ใหญ่ลู่พลางส่งสายตาหวาน
“เอ่อ…ตามหลักแล้ว…” พี่ใหญ่ลู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ําเสียงกระท่อนกระแท่น เขาตระหนักดีว่าสิ่งนี้ควรเป็นของเยี่ยฉวนแต่กลับมอบให้ หนาสุ่ยเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรม แต่ความเห็นของหญิงสาวก็มีเหตุผลหนักแน่น ครั้นหันไปสบดวงตากลมโตสุกสว่างคําพูดประโยคถัดมาพลันขาดหาย เขาพูดติดขัดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงรวบรวมสติและ กล่าวในสิ่งที่ขัดกับความคิด “จริงอยู่ที่อาการของพี่หนาสู่ยสาหัสนัก เขาเสียขาข้างหนึ่งไปจากการต่อสู้ครั้งนี้ ดังนั้นควรมอบให้เขาจึงจะเป็นการดีที่สุด!”
“หึ! ตาบ้านว่าง่ายเสียจริง!!
หลิวหงมองชายหนุ่มพร้อมเผยรอยยิ้มกว้าง ก่อนหันไปมองโทวปาเซียงเนียวและเอ่ยถาม “เซียงเพียว…เจ้าคิดว่าผู้ใดคู่ควรได้รับสมบัติชิ้นนี้?”
“ข้าขอไม่ออกความเห็น” โท่วปาเซียงเนียวมองหนาสุยผู้เหลือ ขาเพียงหนึ่งข้าง จากนั้นจึงหันไปมองเยี่ยฉวนด้วยสายตาลําบากใจ ในที่สุดจึงตัดสินใจงดออกเสียง
ในกลุ่มที่มีจํานวนหกคนสี่คนเห็นควรที่จะมอบก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าให้กับหนาสุย เสียงส่วนน้อยต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ แม้คัดค้านก็คงไร้ประโยชน์ ต่อให้นางมีใจคิดช่วยเหลือเยี่ยฉวนเพียงใดก็ได้อํานาจตัดสินใจในครั้งนี้
“คุณชายเยี่ย ทุกคนต่างคิดเห็นเช่นนั้น…”
หลิวหงหันกลับไปหาเยี่ยฉวนอีกครั้งขณะใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ตนได้ครอบครองก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้า ยิ่งมีพี่ใหญ่ล่คอยให้การสนับสนุนนางยิ่งเพิ่มแรงกดดันไปที่เยี่ยฉวนมากขึ้น ทว่าแสร้งทําที่เหมือนลําบากใจเต็มทน ทั้งยังพยายามแสดงความปราดเปรื่องในการคิดแก้ไขปัญหาท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ลงตัว
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิวเป็นหัวหน้าย่อมมีสิทธิ์ตัดสินใจ ในเมื่อเจ้าลงความเห็นไปแล้วจะถามข้าซ้ําอีกด้วยเหตุใด?!”
เยี่ยฉวนรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งที่มองหญิงสาวตรงหน้าผิดถนัด เขามองไปที่หนาสุ่ยผู้เผยสีหน้าทิ้งตึงก่อนกล่าวออกด้วยน้ําเสียงราบเรียบ “พี่หนาสุ่ย ข้าขอแสดงความยินดี…ตอนนี้ท่านเป็นผู้ครอบครองก้อนผลึกชิ้นนี้แล้ว ในอนาคตการบรรลุสู่ขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าคงไม่ไกลเกินเอื้อม เสียดายจริง! บนพื้นผิวก้อนผลึกมีเส้นสีแดงโยงใยไปทั่ว เจ้าขาดขาไปข้างหนึ่งเช่นนี้จะฝึกฝนจนบรรลุได้อย่างไร?!”
เมื่อกวาดสายตามองหลิวหง หนาซานและหนาสุ่ย เขายิ่งจับพฤติกรรมไม่สบอารมณ์ของทั้งสามได้อย่างชัดเจน
หนาสุยผู้นี้เหลือขาเพียงข้างเดียวทว่ายังละโมบใคร่ครอบครองก้อนผลึกมากมูลค่าชิ้นนี้ ดูเหมือนเขาจะได้รับบทเรียนน้อยเกินไปเสียแล้ว….คงต้องเสียขาอีกข้างจึงจะรู้สึกหลาบจํา!
“ฮึ่ม! เจ้าเลิกกังวลแทนตัวข้าเสียจะดีกว่า!”
หนาสุยพ่นลมหายใจแรงก่อนรับก้อนผลึกจากมือหลิวหง จากนั้นจึงยกมันขึ้นพิจารณาอย่างใกล้ชิดด้วยความตื่นเต้นยินดีหาใดเปรียบ!
คอมเม้นต์