Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 222 ชายหนุ่มชุดคลุมสีม่วง

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 222 ชายหนุ่มชุดคลุมสีม่วง อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 222 ชายหนุ่มชุดคลุมสีม่วง

 

พระราชวังจ้าวเทียนมีขนาดมโหฬารคล้ายอาณาจักรใต้ดินรูปจัตุรัส ฝูงชนยืนอยู่ด้านหน้า แยกเป็นสองถึงสามกลุ่มจำนวนคนรวมแล้วมีมากกว่าหนึ่งพันราย…

 

เมื่อทุกคนโลงศพหินสีเทาตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นบูชาซึ่งมีโครงกระดูกสีขาววางราบอยู่ สีหน้าของฝูงชนนับพันกลับแปรเปลี่ยนเป็นลังเล ฝีเท้าทุกคู่ซึ่งวิ่งตรงไปยังแท่นดังกล่าวหยุดชะงักโดยพร้อมเพรียง ในบรรดาคนเหล่านั้นคือเจ้าสำนักโท่วป่าเชียง อาวุโสเฟิงเหริน และยอดฝีมือไร้สังกัดสองรายที่พำนักอยู่บนเทือกเขาหมอกเมฆา

 

ขอบเขตทรงพลังถึงเพียงนี้…ในโลงศพหินนั้นผนึกสมบัติล้ำค่าประเภทใดไว้ภายในกันแน่?!

 

จิตใจของทุกคนสั่นคลอนขึ้นมาโดยพลันสายตาทุกคู่จับจ้องไปยังหมอกหนาทึบที่ลอยปกคลุมเหนือโลงศพหินด้วยความหวาดกลัว ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่คิดแม้แต่จะถอยหนี ดวงตาฉายแววแห่งความปรารถนาในสมบัติดั่งเปลวเพลิงที่แผดเผา

 

ภยันตรายและโชคลาภมักปรากฏขึ้นพร้อมกันเสมอ ยิ่งสถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตรายเพียงใด สมบัติอันทรงอานุภาพย่อมถูกผนึกไว้ภายในบริเวณดังกล่าว!

 

โท่วป่าเซียงก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างช้าๆ หม้อสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่วางอยู่บนบ่าเปล่งประกายแสงสีแดงสว่างจ้า เขาถ่ายเทพลังปราณทั้งหมดไปที่หม้อใบนั้นเพื่อเตรียมการใช้มันทุบฝาโลงหินโดยตรงและกอบโกยสมบัติที่อยู่ภายในออกมา ส่วนเฟิงเหรินผู้มีร่างกายซูบผอมราวเสาไม้ไผ่ไม่พุ่งไปด้านหน้าแต่กลับขยับกายไปทางซ้ายและขวา ทันใดนั้นลมกรดพลันปรากฏขึ้นรอบกาย ชายชราทำการถ่ายเทพลังปราณไปที่มันในทำนองเดียวกัน โดยมีบรรดาศิษย์สำนักเบญจลักษณ์และสำนักเครื่องนิลที่รอดชีวิตกรูกันมายืนอยู่ด้านหลังคนทั้งสองอย่างต่อเนื่อง

 

หลังฝ่าฟันค่ายกลหมากรุกราชาปีศาจทั้งสามด่านมาได้อย่างหวุดหวิด จากจำนวนศิษย์ของสำนักหมอกเมฆาประมาณยี่สิบคน มีเพียงเยี่ยน ซื้อเจียและจ้าวต้าจอที่รอดชีวิต คนอื่นๆ ต่างสิ้นชีพหรือหายสาบสูญ นับว่ายังดีที่ศิษย์ส่วนใหญ่ที่เหลือตัดสินใจรออยู่ด้านนอก มิเช่นนั้นจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายอาจมากกว่านี้ 

แตกต่างจากสำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ที่ก่อนหน้านี้ยกไพร่พลมาเกือบทั้งหมดแต่จำนวนผู้รอดชีวิตในปัจจุบันกลับเหลือน้อยอย่างน่าประหลาดใจ! ด้านหลังโท่วป่าเชียงปรากฏสาวกผู้ติดตามเพียงสามสิบคน และศิษย์สำนักเบญจลักษณ์อีกไม่ถึงยี่สิบคนที่อยู่ด้านหลังอาวุโสเฟิงเหริน ค่ายกลหมากรุกกำจัดกำลังพลของพวกเขาไปมากกว่าครึ่ง!

 

ผู้รอดชีวิตที่หลงเหลืออยู่ล้วนเป็นศิษย์ชั้นเลิศของทั้งสองสำนัก ครั้นกวาดสายตามองโดยรอบอีกครั้ง เยี่ยฉวนก็พบว่าไม่ได้มีเพียงโท่วป่าเชียงซึ่งคุ้นเคย แต่หลิวหงผู้สวมกระโปรงหนังสัตว์สั้นกุดกลับมีชีวิตรอดโดยอย่างความคาดหมาย! คราวนี้นางไม่ได้ยืนรวมกับกลุ่มคนสำนักเบญจลักษณ์ ทว่ายืนอยู่ทางซ้ายมือของชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีม่วงด้วยท่าทีราวสนิทชิดเชื้อมาแรมปี

 

เด็กหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวผุดผ่องทั้งยังกระจ่างใส ตอนนี้เขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมากและดูโดดเด่นราวต้นหยกที่พลิ้วไหวต้านกระแสลม ฝ่ามือทั้งสองข้างสะอาดสะอ้าน ชุดคลุมสีม่วงตัดเย็บจากผ้าแพรหรูหรารับกับความสง่างามเป็นอย่างดีเพียงแรกเห็นใครๆ ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าเขาต้องมาจากตระกูลที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลสูงส่งถึงกระนั้นพลังปราณที่แปรรูปรวนในร่างยังทรงพลังเกินคาดทั้งยังสร้างแรงกดดันแก่ผู้ที่อยู่รอบข้างไม่น้อย เขาต้องบรรลุการฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับที่ห้าเป็นแน่!

 

แม้อายุยังน้อยแต่มีภูมิหลังที่ประเสริฐยิ่งหนำซ้ำยังมีรูปเป็นทรัพย์…ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ ทั้งยังเปี่ยมด้วยสง่าราศี ความสูงส่งทั้งมวลทำให้ชายหนุ่มชุดคลุมสีม่วงผู้นี้โดดเด่นประหนึ่งนกกระเรียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงไก่ รอบกายเขาห้อมล้อมไปด้วยผู้อารักขาถึงสิบสองคนซึ่งล้วนเป็นสตรีงามผุดผาดทั้งสิ้น นอกจากความอ่อนช้อยทรงเสน่ห์ พวกนางยังบรรลุการฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับที่หนึ่งเท่าเทียมกัน!

 

ลำพังชายหนุ่มเพียงผู้เดียวก็เด่นเป็นสง่าพอแล้ว แต่ยังมีสตรีงามผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าทั้งสิบสองนางคอยคุ้มกันไม่ห่าง ทำให้กลุ่มของพวกเขาดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมากทันที! ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาตัวตนและภูมิหลังของเขาได้ แต่ละคนจึงถอยห่างด้วยไม่ต้องการเข้าใกล้จนเกินควร ทว่าหลิวหงแตกต่างจากคนเหล่านั้น…ทุกคนไม่รู้แน่ชัดว่านางใช้วิธี ได้สร้างสัมพันธ์กับชายหนุ่มผู้นี้จนสนิทสนม บัดนี้นางเจอต้นขาใหม่ที่น่ากอดกว่าเยี่ยฉวนหลายเท่า เสียงหัวเราะสดใสขณะพูดคุยกับอีกฝ่ายดังกังวานจนแม้แต่ผู้ที่อยู่ห่างยังได้ยินถ้อยคำอ่อนหวานเหล่านั้นอย่างชัดเจนกิริยาท่าทางที่น่ารัก น่าเอ็นดูของนางส่งผลให้หัวใจของผู้ที่พบเห็นหลอมละลายโดยง่าย

 

“ฮ่ม! ผู้หญิงอะไรน่ารังเกียจ ไร้ยางอายสิ้นดี! กระโปรงสั้นถึงเพียงนี้สู้ไม่สวมเสียคงดีกว่า นางคงเห็นชายผู้นั้นมีความสามารถสูงส่งกระมังจึงใช้ทุกหนทางเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเขา” จูซื้อเจียปรายตามองหลิวหงก่อนกล่าวตำหนิด้วยอารมณ์เกลียดชัง

 

“เจ้าต้องกล่าวว่านางใช้ทรัพยากรที่อยู่กับตัวอย่างคุ้มค่าจึงจะเหมาะสม ไม่เช่นนั้นเรียวขาขาวผุดผ่องในร่มผ้าพวกนั้นจะมีประโยชน์อะไร? ศิษย์น้องหญิง…เจ้าเองก็ควรเรียนรู้จากนางบ้าง เหตุใดจึงสวมชุดยาวเช่นนี้? ต่อให้เปิดเผยก็ไม่มีผู้ใดกล้าลอบมองเป็นแน่จะอับอายไปไย?!” เยี่ยฉวนพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อปลีกตัวไปอยู่บริเวณมุมหนึ่งของห้องโถง

 

“เยี่ยฉวน! ท่าน…”

 

ชื่อเจียมองอีกฝ่ายอย่างอุ่นเคืองด้วยท่าทีที่ไม่จริงจังนัก ครั้นนึกถึงบางสิ่งใบหน้าของนางพลันแดงก่ำ สองมือลอบดึงชายชุดคลุมที่สวมอยู่ให้ยาวกว่าเดิม แน่นอนว่าในสำนักหมอกเมฆาไม่มีผู้ใดบังอาจมองเรียวขาของนาง แต่ผู้ใดเล่าจะกล้ารับประกันว่าเยี่ยฉวนจอมเจ้าชูผู้นี้ไม่มีทางทำเช่นนั้น แม้แต่ตอนเผชิญหน้ากันเขายังสำรวจเรือนร่างของนางอย่างไม่ละอายลับสายตาไปคงมีเพียงเหล่าเทพเซียนเท่านั้นที่ล่วงรู้ความปรารถนาของเขา!

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ แม้หมอกสีเทาทึบเหนือโลงศพหินนี้จะน่ากลัวไปหน่อย แต่ภายในมีมรดกเก่าแก่ของอาณาจักรสวรรค์ถูกผนึกไว้เชียวนะขอรับ! เราจะยอมแพ้โดยอยู่เฉยเช่นนี้หรือ?” 

 

จ้าวต้าจอเดินตามเยี่ยฉวนและก้าวมายืนด้านข้าง แม้ยังไม่ลืมภาพความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นเมื่อครู่และตระหนักดีว่าตนเพียงรอดชีวิตจากค่ายกลหฤโหดนั้นมาได้ไม่นาน แต่เมื่อเห็นสมบัติมากมายรอคอยอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่ยังแดงก่ำจากการร้องไห้กลับฉายแววลุกโชนอยู่ภายใน เขาอาลัยอาวรณ์สมบัติเหล่านั้นเสียจนน้ำเสียงละห้อย

 

“เจ้าจะรีบร้อนด้วยเหตุใดกัน? ตอนนี้ยังไม่ใช่ตาของเรา รอให้มีคนมาทำลายหมอกพิษเหนือโลงศพหินให้สลายไปเสียก่อน อีกอย่าง…เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามรดกเก่าแก่ของอาณาจักรสวรรค์ถูกผนึกไว้ด้านใน?”

 

เยี่ยฉวนเผยรอยยิ้มจาง บรรดาหมอกพิษที่ลอยอยู่เหนือโลงศพหินอันตรายมาก ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ฝึกตนหลายคนที่ไม่กลัวความตาย ฝูงชนค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหน้าที่ละน้อย หลิวหงติดตามชายหนุ่มชุดคลุมสีม่วงไปไม่ห่าง เยี่ยฉวนมั่นใจว่าขอบเขตป้องกันของมังกรปีศาจแห่งอาณาจักรสวรรค์ย่อมไม่ธรรมดาและอาจอันตรายกว่าที่ คาดคิดดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเฝ้าสังเกตการณ์ อย่างเงียบเชียบเสียก่อนครั้นเฝ้ารอไปสักระยะหนึ่งมังกรปีศาจตัวน้อยก็ยังไม่ปรากฏตัว ราวกับมันเลื้อยหายเข้าไปในวังรองและถูกขอบเขตป้องกันทำร้ายจนตายตกไปแล้ว หรืออาจไปโผล่ในสถานที่อื่น

 

เสียดายจริง!

 

หากเขาทำการขัดเกลามังกรปีศาจตัวน้อยนั้นโดยสมบูรณ์ ตอนนี้คงมีพลังมหาศาลไร้เทียมทานทั้งร่างกายยังแข็งแกร่งกว่าเก่าเป็นเท่าทวี

 

เยี่ยฉวนครุ่นคิดทบทวนและมองว่าเรื่องนี้ช่างน่าเสียดาย เวลานี้เขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าสถานที่แห่งนี้คืออาณาจักรสวรรค์ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยมังกรปีศาจในตำนาน พระราชวังจ้าวเทียนอาจเป็นเพียงวังรองเท่านั้น มรดกที่แท้จริงอาจซ่อนอยู่ในส่วนลึกของตัววังโดยต้องฝ่าฟันเข้าไปที่ละชั้น ชายหนุ่มตระหนักถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เลือกที่จะไม่อธิบายให้จ้าวต้าจ่อฟังและปล่อยให้อีกฝ่ายยืนน้ำลายไหลอยู่อย่างนั้น ในที่สุดเขาจึงยิ้มแหยพร้อมหยิบเอาก้อนผลึกมนุษย์อันเล็กออกมาจากโคมบงกชสีครามและโยนให้ก่อนกล่าวออก “เจ้าอ้วน…ข้าให้สิ่งนี้แก่เจ้ารับ

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ นี่คืออะไรน่ะ?” เจ้าอ้วนรู้สึกพิศวงในสิ่งที่ได้รับ แต่เมื่อสัมผัสพื้นผิวของก้อนผลึกดังกล่าวสัญชาตญาณจึงบ่งบอกทันทีว่ามันคือสมบัติล้ำค่า

 

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าควรหาเคล็ดวิชาขั้นปฐพีมาขัดเกลามันจึงจะเหมาะสม ข้าแนะนำได้เพียงเท่านี้…ที่เหลือจงใช้สัมผัสวิญญาณในการฝึกฝนและเรียนรู้ก็แล้วกัน เข้าใจหรือไม่?” เยี่ยนจวนปรายตามองก้อนผลึกในมืออีกฝ่ายพลางโคลงศีรษะ

 

เคล็ดวิชาขั้นปฐพีงั้นรึ?!

 

ให้กันง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?

 

ทั้งจ้าวต้าจอและจซื้อเจียตกตะลึง! ตอนแรกพวกเขาคิดว่าสิ่งนี้เป็นของปลอมและเยี่ยฉวนต้องการหยอกเล่นเท่านั้น เพราะฝีมือการหลอกล่อของเยี่ยฉวนไม่เคยเป็นสองรองใคร ชั่วกัลปาวสานก็ไม่มีผู้ใดรู้เท่าทัน แต่เมื่อเจ้าอ้วนใช้สัมผัสวิญญาณทำความเข้าใจมันตามที่อีกฝ่ายชี้แนะอยู่ครู่ใหญ่ เขาจึงโพล่งขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ขอบคุณแล้วขอรับศิษย์พี่ใหญ่!”

 

“เจ้าอ้วน เอามาให้ข้าตรวจสอบก่อน! อย่าให้ศิษย์พี่ใหญ่หลอกเจ้าได้!” จูซื้อเจียยื่นมือออกไปหมายคว้าก้อนผลึกจากมือเขามาตรวจสอบอย่างละเอียด

 

ขณะนั้นเองจ้าวต้าจอที่มักทำการใดด้วยความเชื่องช้ากลับเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วพลางซ่อนก้อนผลึกดังกล่าวไว้กับตัวและกล่าวออก “อ๊ะ! มะ…ไม่จำเป็นหรอกศิษย์พี่หญิงเจียเจีย ไม่ต้องตรวจสอบ นี่คือของปลอม!”

 

“เยี่ยฉวน มีของข้าบ้างหรือไม่?” จซื้อเจียละความสนใจจากเจ้าอ้วนก่อนหันไปหาเยี่ยฉวนอย่างกระตือรือร้น

 

“เจียเจีย…เจ้าจับจองทุกพื้นที่ในร่างกายข้าหมดแล้ว ตอนนี้ข้ากลายเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์มีข้าแล้วยังไม่พึงใจอีกรึ? ยังต้องการสมบัติแบบใดกัน?” เยี่ยฉวนยกยิ้มมุมปากแฝงเลศนัย 

 

“ท่าน” จูชื่อเจียพูดได้เพียงเท่านั้นกลับเม้มปากสนิทด้วยความรู้สึกอับอายจนแทบเสียสติครั้นนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ายกลหมากราชาปีศาจ จมูกน้อยๆ กลับส่งเสียงฟืดฟาดพร้อมหยดน้ำตาที่รินไหลลงอาบแก้ม ควรแล้วหรือที่การสารภาพความในใจถูกนำมาล้อเล่นเช่นนี้? เมื่อดอกไม้ที่โหยหาความรักร่วงหล่นลงบนผิวน้ำ…แม้แต่ลำธารที่เย็นเยียบยังกระเพื่อมไหวหากศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกันเลยแม้แต่น้อย นางคงต้องทนทุกข์ทรมานกับความรักที่ไม่สมหวังสินะ!

 

จซื้อเจียผู้เคยมีพลังเต็มเปี่ยมทั้งยังดื้อรั้นเป็นที่สุดกลับกลายเป็นสาวน้อยผู้เปราะบางและอ่อน ไหวเพียงคำนึงไปต่างๆ นานา หยดน้ำตาก็ไหลลงอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว

 

“โธ่…ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น นี่..ชิ้นนี้เป็นของเจ้า” เยี่ยฉวนยื่นมือมาซับน้ำตาให้นางแผ่ว เบาฝ่ามืออีกข้างปรากฏก้อนผลึกมนุษย์อีกชิ้นวางอยู่ เมื่อเทียบกับก้อนผลึกที่จ้าวต้าจื่อได้รับสมบัติชิ้นนี้ดูงดงามและล้ำค่ากว่าหลายเท่า 

 

หลังผ่อนหย่อนใจจนร่างกายคลายความตึงเครียดจากการเข้าไปในค่ายกลหมากรุกราชาปีศาจเยี่ยฉวนจึงมอบก้อนผลึกมนุษย์ตัวน้อยเป็นของกำนัลให้จซื้อเจียโดยไม่ลังเล สมบัติดังกล่าวเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาได้รับมาจากป่าหมื่นอสูร หลิวหงเจ้าแผนการใช้สารพันวิธีเพื่อให้ได้มันไปครอบครอง ทั้งยังได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสำรวจแต่สำหรับเยี่ยฉวนแล้วเขาไม่สนใจมันแม้แต่น้อยของพรรค์นี้มีมูลค่าเพียงขั้นปฐพีเท่านั้น ต่อให้เป็นระดับสวรรค์ก็ยังดูไม่เข้าตา มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาปรารถนาคือก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าซึ่งเป็นเครื่องเชื่อมโยงไปถึงโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด